Episode-๐๔ อาการอกหัก

1652 คำ
หลายวันผ่านไป ผมฝึกงานแล้วครับ ก็โรงงานอุตสาหกรรมทั่วไปนั่นแหละ เข้าแปดโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น หรือบางทีก็สองทุ่มเช่นวันนี้... “กลับยังไงเหรอ” น้ำเสียงหวานเอ่ยก่อนจะเดินมาข้างผม “พ่อมารับอะพอดีเมื่อเช้าฝนตกก็เลยให้เขามาส่ง” “อ๋อ... คราวหน้าโทรมานะเรามีรถเดี๋ยวเราไปรับก็ได้” “จริงอะ” “จริงสิ” หยอดมาหยอดกลับครับไม่โกง ตรงหน้าผมตอนนี้คือเมล่อน เธอมาฝึกงานเหมือนกัน “ขอเบอร์หน่อยสิ ช่องทางโซเชียลก็ได้” “เอามือถือมา” แน่นอนครับว่าเธอหยิบยื่นให้แต่โดยดี ผมก็กดติดตามไปรวมถึงของตัวเองก็ด้วย “เราไปก่อนนะ” “อืม” ออกมาถึงหน้าโรงงานเธอก็แยกไปครับ ผมก็เช่นกันเพราะพ่อมารออยู่ก่อนแล้ว “สวัสดีครับ” “โตเป็นควายแล้วยังต้องให้มารับมาส่งอีก” ประโยคทักทายสุดน่ารักถูกเอ่ยออกมาจากปากของพ่อผม “โตเป็นควายก็ยังเป็นลูกพ่ออยู่ดีนั่นแหละ” “มึงก็เถียงกูทุกคำนั่นแหละ” “เปล่าสักหน่อยผมแค่อธิบายให้ฟังเฉย ๆ” “เฮ้อ...” ถึงกับถอนหายใจใส่เลยทีเดียว ฮ่า ๆ “วันหยุดที่จะถึงนี้ไปเที่ยวทะเลด้วยกันไหม” “ไม่ไปครับ” “ไม่คิดก่อนตอบหน่อยเหรอ ปกติไม่เคยเห็นแกห่างน้องสักที” “ผมทำงาน” “ทำงานหรือหลบอะไร” “ทำงานครับ พ่อก็รู้ว่าบนโลกใบนี้ผมไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วนอกจากแม่” “แม้แต่กูมึงก็ไม่กลัวเหรอ?” “น้องกลัวแทนแล้ว พ่อไม่ต้องน้อยใจนะ” “แม่ง! อย่างกับเห็นตัวเองเลย ดื้อฉิบหายทั้งพี่ทั้งน้อง” “ผมจะบอกแม่ว่าพ่อบ่น” “ไอ้นี่!” “ฮ่า ๆ” พูดไปอย่างนั้นแหละครับ มีแค่พ่อกับแม่เท่านั้นแหละที่เป็นข้อยกเว้น “เรื่องผู้หญิงให้มันเบา ๆ หน่อยนะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะปรายตามองผม “โทษทีพอดีลูกชายพ่อมันหล่อ” “หล่อให้ดีแล้วกัน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ กูมีหลานแบบไม่ทันตั้งตัวล่ะ” “ผมป้องกันอย่างดีพ่อสบายใจได้” “เออ” ทำงานมาเหนื่อย ๆ แต่พอกลับถึงบ้านก็หายเหนื่อยแล้วครับ เพราะนอกจากจะมีรอยยิ้มของคุณแม่คนสวยแล้วยังมีกับข้าวแสนอร่อยรออยู่ด้วย “คุยกับใครน่ะพามาให้แม่รู้จักบ้างสิ” “เพื่อนที่ทำงานครับ แต่แม่ไม่ต้องรู้จักหรอกเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” “แรงมาก! สาวที่คอลอยู่งอนไปแล้วมั้ง” “ฮ่า ๆ” เมล่อนวางสายไปแล้วจริง ๆ ครับ แต่แล้วยังไงล่ะผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย “แค่คุยกันเฉย ๆ เองครับ” “เราเฉยน่ะใช่แต่ผู้หญิงเขาเฉยด้วยหรือเปล่า” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยพร้อมกับจ้องหน้าผมเขม็ง “อย่าเล่นให้มันเยอะนักนะเดี๋ยวจะเจ็บไม่รู้ตัว” “ไม่หรอก ถ้าจะเจ็บก็คงเป็นเพราะผมเอาความรู้สึกลงไปเล่นมากกว่า” “โธ่... พ่อคนหล่อของแม่ กลัวเจ็บเหมือนกันเหรอลูก” “แม่ครับ! เอาไว้ผมเจอคนที่อยากจะใช้ชีวิตด้วยจริง ๆ ก่อนนะผมจะพามาให้แม่รู้จักคนแรกเลย” “ไม่ต้องรีบหาหรอก ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มก่อนก็ได้ ว่าแต่ลูกกับเอิงเอยเลิกแล้วต่อกันแน่ใช่ไหม?” ไม่แปลกหรอกที่แม่จะถามแบบนี้เพราะทุกครั้งที่เลิกรากันแค่ไม่นานผมก็กลับไปง้อแล้ว รัก ๆ เลิก ๆ เป็นเรื่องปกติครับ “ครับ ครั้งนี้จบจริง ๆ” “ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อทุกอย่างจบลงแล้วก็ขอให้แยกย้ายกันด้วยดี อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นต่อกันอย่างน้อยช่วงเวลาของความสัมพันธ์นั้นก็เกิดขึ้นจากความรู้สึกจริง ๆ ต่างฝ่ายต่างให้ความรู้สึกกันด้วยความเต็มใจเพียงแต่ปลายทางมันไม่ใช่เราเท่านั้นเอง” คำสอนถูกเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับฝ่ามือเรียวที่ลูบศีรษะผมไปด้วย “ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงรักแม่มาก” “เข้าใจแล้วก็อย่าลืมดึงสติตัวเองล่ะ ถ้ายังไม่คิดจริงจังกับใครอย่าพาตัวเองเข้าไปในชีวิตของเขา และอย่าพาเขาเข้ามาในชีวิตของเรา สนุกได้แต่ต้องมีขอบเขต” “ครับ” โชคดีของผมล่ะมั้งที่มีครอบครัวเป็นเซฟโซนที่ดีเพราะไม่ว่าจะเจอปัญหาหรือความรู้สึกไม่ดีมากแค่ไหนแต่พอกลับเข้าบ้านแล้วทุกอย่างจะถูกปลดล็อคทันทีครับ ไม่มีการซ้ำเติมมีแต่การให้กำลังใจและถามไถ่ข้อเท็จจริงเท่านั้น เว้นแต่ว่าผมจะเป็นฝ่ายผิดนั่นแหละ ก่อนเข้าห้องนอนก็ไม่ลืมหอมแก้มแม่อย่างเช่นทุกครั้ง ส่วนพ่อก็แยกเขี้ยวอยู่ข้าง ๆ นี่แหละ “ให้มันน้อย ๆ หน่อย!” ฮ่า ๆ เห็นไหมครับ หวงแม้กระทั่งลูก ในทุกทุกวันผมก็ใช้ชีวิตตามปกติ เช้าทำงานเย็นกลับบ้าน ส่วนเพื่อนฝูงสังสรรค์เฉพาะวันหยุดเท่านั้นครับ “ตัวเล็กไม่มาเหรอวะ” จุ้นห่าวเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นเพียงฝันอย่างเช่นทุกครั้ง “ไปทะเลกับพ่อ แล้วนี่อะไรเจอหน้ากูถามหาแต่น้องกูนะมึง” “น้องเพื่อนก็เหมือนน้องกู” “เออ” ถึงกับส่ายหน้าให้ครับ สนิทกันประหนึ่งเป็นญาติพี่น้องกันมาแต่ชาติปางก่อน “เมื่อวานมึงไปไหนมา” ไอ้แก้มเอ่ยก่อนจะมองผมด้วยสายตาที่ต่างออกไป “มึงกับไอ้เจนนี่ยังไง” “อะไรของมึง” “กูถาม” “ไม่ได้อะไร ก็เพื่อนกัน” “แล้วทำไมมันถึงพูดล่ะว่ากำลังคุยกับมึงอยู่” “...” “กูไม่รู้ว่าระหว่างพวกมึงมันยังไงนะ แต่ถ้าไม่มีเรื่องของความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องก็ช่วยยับยั้งไว้ที่สถานะเพื่อนเหมือนเดิมด้วยเดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติด” ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจมากนัก คิดก็คิดไปสิแต่ผมไม่คิดไง อาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัวแต่ทำไงได้ก็ตอนแรกตกลงกันไว้แล้ว อยู่คุยกันพักใหญ่ผมก็แยกตัวออกมาสูบบุหรี่ข้างหลังบ้านแล้วสายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างของหน้าจอมือถืออยู่มุมหนึ่งครับ ถึงจะค่อนข้างมืดแต่ก็มองออกว่าเป็นใครแถมในมือยังมีเครื่องดื่มอีกด้วย “เป็นเด็กเป็นเล็กดื่มอะไรขนาดนั้น” ผมว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างเสียงเพลง แววตาเหม่อลอยในตอนนี้ไม่เหมือนวันก่อนที่เจอกันเลยครับ “อกหักหรือไง” “อือ” “เจ็บแป๊บเดียวก็หายแล้วไม่ตายง่าย ๆ หรอก” บอกออกไปอย่างไม่คิดอะไรแล้วแย่งเครื่องดื่มในมือของเธอมาดื่มซะเอง “ประโยคนี้มันใช้ได้จริงนะ แต่อันดับแรกต้องยอมรับความจริงก่อนว่าไม่รัก ก็คือไม่รัก” “...” ความเงียบเกิดขึ้นหลายนาที ... เห็นแบบนี้แล้วเหมือนเห็นตัวเองตอนกลับมาโสดวันแรกเลยครับ “อกหักเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ เขาเริ่มต้นใหม่กันทั้งนั้นแหละ” “ระ เริ่มต้นใหม่เหรอคะ” “อืม... เริ่มต้นใหม่” “พี่เคยโดนทิ้งไหมคะ” แววตาคู่สวยเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แม้ว่าปากจะเอ่ยถามผมแต่สายตาของเธอกลับเอาแต่จ้องมองไปยังหน้าจอที่กำลังโชว์รูปคู่ของชายหญิงคู่หนึ่งผ่านโซเชียล “เคยสิ” “เจ็บไหมคะ?” “เจ็บครับ” “หนูก็เจ็บเหมือนกัน” “...” “แต่เป็นแบบนี้ก็ดี เหนื่อยแล้วที่ต้องเป็นฝ่ายเดินตาม หนังสือเล่มเดิมอ่านกี่รอบมันก็จบเหมือนเดิมนั่นแหละ” ผมยังคงเงียบแล้วฟังเสียงเพลงระบายความในใจออกมาอยู่นานสองนาน จะว่าไปแล้วก็เหมือนเห็นตัวเองเหมือนกันนะ “อยากร้องไห้ก็ร้องเลย แต่อย่าดื่มของพวกนี้อีกเพราะมันไม่ช่วยอะไร” ที่กล้าสอนน้องเพราะผมก็เคยลองมาแล้ว สรุปเมาอย่างเดียวที่เหลือไม่มีประโยชน์เลย “ให้ร้องเหรอคะ? ไม่ห้ามหรอกเหรอ” น้ำเสียงสะอื้นเอ่ยก่อนจะละสายตาจากหน้าจอแล้วมองหน้าผม “ห้ามไม่ได้หรอก ตอนนี้เรายังเจ็บ เราจะร้องจะพร่ำเพ้อยังไงก็ได้ แต่พอเวลาผ่านไปมันจะดีขึ้นเอง” “จริงเหรอคะ” “จริงสิ” “อึก! งั้นไม่ร้องแล้ว” ปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะกดอันฟอลโลว์โซเชียลของใครคนหนึ่ง “เขาไม่เห็นเสียใจเหมือนหนูเลย แถมยังมีความสุขดีซะอีก” “นั่นแหละ! ยาวิเศษที่จะทำให้เราเข้มแข็ง” “ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมา “ไอ้มิวรู้ไหมว่าเราดื่มของพวกนี้” พลางยกกระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นตรงหน้าเธอ “ไม่รู้ค่ะ พี่อย่าบอกพี่มิวนะ” “ถ้าไม่อยากให้บอกก็เลิกซะ มันไม่ดี” “เข้าใจแล้วค่ะ” ว่านอนสอนง่ายเชียวครับ นี่ถ้าเป็นเพียงฝันคงย้อนมาแล้ว “พี่ชื่อกำปั้นใช่ไหม” “ครับ” “แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ หนูชื่อเสียงเพลงนะคะ เรียกเพลงเฉย ๆ ก็ได้” รอยยิ้มเล็กปรากฏขึ้นอีกครั้ง แบบนี้สิค่อยสดใสเหมือนวันนั้นหน่อย “พี่รู้นานแล้ว เคยได้ยินแค่ชื่อแต่ยังไม่เคยเห็นตัวจริงสักที” “หนูก็เคยเห็นพี่นานแล้ว หนูติดตามพี่ในโซเชียลด้วยนะ” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังแนบหลักฐานให้ดูด้วยครับ “โปรไฟล์สีดำตามสไตล์คนอกหัก” ผมว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วกดติดตามกลับไปบ้าง “หวังว่าจะเปลี่ยนโปรไฟล์เร็ว ๆ นี้นะ” “ค่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม