ดวงตาคู่สวยกะพริบตื่นขึ้นมาภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลพร้อมกับอาการเจ็บจี๊ดตรงศีรษะเพราะแรงกระแทกตอนเกิดอุบัติเหตุทำให้เธอต้องเย็บถึงสี่เข็ม
“อา...เจ็บจัง”
“ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงนุ่มทุ้มของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดังขึ้นทำให้ภคมนสะดุ้งโหยง เธอรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นตั้งท่าจะวิ่งลงจากเตียงแต่ก็ถูกเฟลิกซ์จับข้อมือเอาไว้แน่น “จะรีบไปไหน หมอยังไม่ได้มาตรวจเลย”
“ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
“พูดอะไรของนาย คนของฉันขับรถชนนาย ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”
“ไม่เป็นไร...” หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพราะได้ยินอีกฝ่ายเรียกเธอว่านาย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจำเธอไม่ได้จริง ๆ
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ให้หมอตรวจดูให้แน่ใจก่อนจะได้รู้ว่าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนร้ายแรง” เขาว่าพลางออกแรงเล็กน้อยดึงเธอให้กลับมานอนลงที่เดิมเพื่อจะให้หมอเข้ามาตรวจดูอาการดูอีกครั้ง
“ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ นอกจากรอยฟกช้ำตามร่างกายแล้วก็แผลที่ศีรษะ เดี๋ยวรับยากลับไปทานที่บ้านแล้วมาล้างแผลตามนัดนะครับ” หมอสรุปผลการรักษาก่อนที่พยาบาลจะเป็นคนส่งบัตรประชาชนของเธอคืนมาให้
“นี่บัตรประชาชนค่ะ”
“เอ่อ...ครับ” ภคมนรีบรับบัตรตัวเองมาเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างดีเพราะกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จะล่วงรู้ความลับของเธอเข้า “นี่คุณเป็นคนเอาบัตรให้หมอเหรอ”
“เปล่า พยาบาลเป็นคนเอาให้ ฉันเป็นคู่กรณีไม่กล้าแตะหรอกกลัวว่าของนายหาย เดี๋ยวจะเป็นอีกเรื่อง” คำตอบนั้นทำให้ภคมนโล่งอกขึ้นมาเปลาะหนึ่งที่อย่างน้อยความลับยังไม่แตก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็รีบลุกพรวดลงจากเตียงไปพยายามดัดเสียงให้ทุ้มที่สุดเพราะตัวเธอค่อนข้างเล็กกลัวว่าเฟลิกซ์จะนึกแปลกใจ
“เดี๋ยวสิ ไม่ไปเอายาเหรอ”
“งั้น...คุณกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมรับยาเอง” เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติแล้วออกจากห้องฉุกเฉินไปรอรับยาอีกห้องไม่คิดเลยสักนิดว่าคนตัวโตจะเดินเข้ามาทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง “คุณ มาทำไม เดี๋ยวผมรับยาเอง”
“ฉันจะมาจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้นายไง”
“งั้นคุณก็ไปรอที่ห้องจ่ายเงินสิ ผมรับยาคนเดียวได้” หญิงสาวพยายามอธิบายเพราะเธอไม่อยากให้เขาได้ยินเจ้าหน้าที่เอ่ยเรียกชื่อจริง
“คุณภคมนค่ะ” ในขณะที่กำลังกังวลอยู่นั้น เสียงเจ้าหน้าที่ก็เอ่ยเรียกชื่อเธอขึ้นมาพอดิบพอดี คนที่กลัวถูกจับได้จึงตัดสินใจวิ่งออกไปจากโรงพยาบาลด้วยความหวาดกลัว
“เดี๋ยวสิ ไม่เอายาเหรอ” เฟลิกซ์ถามด้วยความแปลกใจ รีบวิ่งตามออกไปทันที “นี่นาย เป็นบ้าอะไรทำไมไม่เอายา”
“ผม...รีบน่ะ มีธุระต้องไปทำ แค่ยาแก้ปวดเดี๋ยวกลับไปหาซื้อแถวบ้านเอาก็ได้”
“แล้วบ้านอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ต้อง” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน ถ้าบอกว่าบ้านอยู่ที่ไหนเขาก็อาจจะส่งลูกน้องไปตามราวีเหมือนที่กรุงเทพฯ อีกแน่ๆ
“ตามใจ ถ้ากลับไหวก็เชิญ ถือว่าฉันแสดงความรับผิดชอบแล้วนะ”
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
คนตัวเล็กกว่ากล่าวลาแล้วรีบออกไปโบกรถที่หน้าโรงพยาบาลไปลงที่หน้าตลาดเพื่อขับรถของปิ่นสุดากลับไปที่ร้าน นึกขอบคุณที่เฟลิกซ์ไม่ได้ส่งคนตามมาอาจเป็นเพราะว่าเขาจำเธอในเวอร์ชันนี้ไม่ได้จริง ๆ
“ไอ้ตะวัน หายหัวไปไหนมา ไหนน้ำแข็งฉันล่ะ” ปิ่นสุดาเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นเธอกลับมา
“ยังไม่ได้ซื้อเลยครับ เกิดอุบัติเหตุซะก่อน”
“เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมนังยี่หวาไม่กลับมาด้วย” คนสูงวัยถามต่อเพราะความเป็นห่วงลูกสาว
“ไม่รู้เหมือนกันครับ สงสัยจะออกไปกับวายุ”
“อ้าว นี่ไอ้วายุมาหามันอีกแล้วเหรอ ไหนบอกเลิกกันไปแล้วไง” มีดปังตอในมือถูกปักลงบนเขียงเต็มแรงด้วยความโกรธ แต่พอเหลือบมาเห็นใบหน้าซีด ๆ ของภคมนปิ่นสุดาก็ต้องลดน้ำเสียงลงอย่างปลง ๆ “คงมีเรื่องกับไอ้วายุมาล่ะสิท่า ไปเถอะ วันนี้แกไม่ต้องทำงานแล้ว ไปนอนพักก่อนเถอะ อย่าลืมหาหยูกหายากินด้วยล่ะ”
“ขอบคุณครับเจ๊” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้แล้วรีบกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อกินยาแก้ปวดแล้วนอนหลับพักเอาแรงไว้ตื่นมาทำงานต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น
อาการปวดตรงศีรษะและรอยฟกช้ำตามร่างกายทำให้ระบมจนเป็นไข้ ภคมนจึงต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำในตอนดึกเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอาการของเธอก็ไม่ดีขึ้นจนปิ่นสุดาต้องขึ้นมาเคาะประตูเรียก
“ไอ้ตะวันตื่นหรือยัง”
“ครับป้า” หญิงสาวพลิกตัวตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว หอบเรี่ยวแรงที่เหลือลุกไปเปิดประตูให้
“นี่ยังไม่หายดีอีกเหรอ”
“ครับป้า ผมยังปวดหัวอยู่เลย” ภคมนยกมือขึ้นกุมขมับ แผลที่หมอเย็บยังปวดหนึบจนเดินแทบไม่ไหว
“แล้วจะทำยังไงล่ะ มีคนมาหาแกน่ะ รออยู่ข้างล่างโน่น”
“ใครเหรอครับ” เธอถามกลับด้วยความหวาดระแวง แต่ยังไม่ทันที่ปิ่นสุดาจะตอบ เจ้าของร่างสูงใหญ่ก็ขึ้นมาตามเธอถึงชั้นบนของบ้าน
“ฉันเอง”
“คุณ...” หญิงสาวชะงักกึกทันทีที่เห็นเฟลิกซ์ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ฉันกลัวว่านายจะไม่ยอมลงไปน่ะก็เลยขึ้นมาตามเอง”
“งั้นเราลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่านะคะ” เจ้าของบ้านเสนอพลางลากภคมนออกมาจากห้อง ไม่ได้สนใจใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นเลยสักนิด
“คุณมีอะไรเหรอครับ เมื่อวานเราก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” เธอทรุดกายนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่ยังไม่สู้ดี ทั้งเจ็บแผล ทั้งหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“พอดี ฉันเพิ่งกลับไปเห็นน่ะว่ารถฉันมันมีรอยถลอก แล้วไอ้ค่าซ่อมมันก็แพงซะด้วย ฉันรับผิดชอบนายแล้ว นายน่าจะรับผิดชอบรถฉันด้วยนะ”
“ว่าไงนะครับ แต่เมื่อวานคุณเป็นคนชนผมนะ คุณต้องรับผิดชอบผมสิ”
“ถ้าจะให้พูดตามตรง นายเป็นคนทะเล่อทะล่าวิ่งออกมาให้รถชนเองนะ ฉันรับผิดชอบส่วนของฉันแล้ว นายก็รับผิดชอบส่วนของฉันบ้างสิ” เฟลิกซ์ให้เหตุผลทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเข่าทรุด
“แล้วไอ้ค่าเสียหายนั่นเท่าไหร่ล่ะครับ”
“ห้าแสน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่คนฟังถึงกับอุทานลั่น เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการถูกขู่ฆ่าเลยสักนิด
“ห้าแสนเลยเหรอ แล้วผมจะเอามาจากไหน”
“นั่นมันเรื่องของนาย ถ้าไม่มีก็คงต้องไปคุยกันที่โรงพัก” คำขู่ของเขาทำให้ภคมนหน้าถอดสี รีบหันไปร้องขอความเมตตาจากปิ่นสุดาทันที
“เจ๊ครับ เจ๊มีให้ผมยืมก่อนไหมครับ เดี๋ยวผมจะทำงานชดใช้ให้ แบบไม่รับเงินเดือนเลยก็ได้”
“เงินมากมายขนาดนั้นฉันไม่มีหรอก” คนสูงวัยกว่าปฏิเสธ เฟลิกซ์จึงยื่นข้อเสนอให้เป็นทางเลือก
“ฉันมีข้อเสนอให้นายนะ ถ้านายมาทำงานกับฉัน ฉันก็จะให้นายผ่อนจ่ายได้”
“ไม่ ผมไม่มีทางไปกับคุณหรอก” ภคมนส่ายหน้าพัลวัน เธอรู้ดีว่าถ้าไปกับเขามันก็ไม่ต่างกับการย่างขาเข้าไปหาความตายเลยสักนิด
“งั้นก็จ่ายมาสิ หรือไม่...ก็ให้ป้าเป็นคนรับผิดชอบ”
“ได้ยังไงล่ะคุณ” คนถูกพูดถึงโวยวายลั่น “ไอ้ตะวันมันเป็นลูกน้องฉันก็จริง แต่เรื่องนั้นมันเป็นคนก่อเองนะ”
“ก็เขายังทำงานกับป้าอยู่ ป้าก็ต้องรับผิดชอบสิ”
“งั้น...ฉันไล่แกออกไอ้ตะวัน นับตั้งแต่วันนี้แกไม่ต้องมาทำงานอีก แล้วก็เก็บข้าวของของแกออกไปจากบ้านฉันด้วย” ปิ่นสุดารีบเอาตัวรอด เพราะไม่อยากเดือดร้อนไปด้วยจึงต้องเอ่ยปากไล่เธอ
“เจ๊...” ภคมนโอดครวญ ไม่คิดว่าการพบเจอเขามันจะทำให้ชีวิตเธอต้องตกระกำลำบากแบบนี้ หนียังไงก็หนีไม่พ้นสักที
“ขึ้นไปเก็บของแล้วออกไปจากบ้านฉันซะ ไปสิ”
“ครับ” หญิงสาวก้มหน้าตอบอย่างไม่มีทางเลือก เธอเหลือบมองเฟลิกซ์อีกครั้งด้วยความโกรธแค้น ไม่รู้ว่าชาตินี้ทำเวรทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มาพบเจอกับเขา “สะใจคุณแล้วใช่ไหม”
“โดนไล่ออกแล้ว ทีนี้จะไปกับฉันได้หรือยัง”
“ไม่ ยังไงผมก็ไม่มีทางไปกับคุณหรอก” ภคมนยังยืนยันเสียงหนักแน่น เธอหันไปหยิบเงินค่าแรงในการทำงานสองสัปดาห์ที่ปิ่นสุดาวางไว้ให้ก่อนจะวิ่งกลับขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าบนห้อง เห็นดังนั้นเฟลิกซ์จึงสั่งลูกน้องให้กลับไปนั่งรอในรถที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร
หลังจากนั้นเพียงไม่นานหญิงสาวก็กลับลงมาอีกครั้ง ถึงจะหันไปมองหน้าปิ่นสุดาเพื่อขอให้เปลี่ยนใจแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหันมาสบตาด้วยซ้ำ
“ผมไปก่อนนะเจ๊”
“เออ โชคดีละกัน” คนสูงวัยอวยพรแต่เพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันไปกดโทรหายี่หวาที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานต่อด้วยความร้อนใจ