บทนำ (2)

1969 คำ
ปัง ปัง ปัง “กรี๊ด!” ด้วยความตกใจทำให้ภคมนสะดุ้งสุดตัว ขับรถเสียหลักพุ่งตกลงข้างทาง ร่างกระเด็นกลิ้งตกลงไปในคูน้ำก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจจะดับสนิท “โอ๊ย บ้าจริง เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย” หญิงสาวคลานขึ้นมาจากคูน้ำ ร่างกายเปียกชุ่มไปครึ่งค่อนตัว เธอเหลือบมองไปยังต้นเสียงอีกครั้งเพื่อดูให้แน่ใจว่าเมื่อครู่เธอไม่ได้หูฝาดไป “เสียงอะไรอะ” หญิงสาวยังคงหลบอยู่ข้างทาง เมื่อชะเง้อมองออกไปเธอก็เห็นรถสีดำที่เพิ่งจะขับออกมาจากบ้านหลังใหญ่ก่อนหน้านี้กำลังจอดอยู่ที่ชายป่า ในระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะขับรถออกไปดีหรือเปล่า เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ปัง ปัง ปัง “กรี๊ด !เสียงปืนนี่นา” ภคมนตัวชาหนึบด้วยความหวาดกลัว ดวงตาคู่สวยพยายามอาศัยแสงจันทร์มองฝ่าความมืดออกไปจนเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกำลังวิ่งออกมา “อยู่ไม่ได้แล้วสิ” วินาทีนั้น หญิงสาวจึงออกแรงทั้งหมดที่มียกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นแล้วสตาร์ตเตรียมขับหนีออกไปให้พ้นจากที่นี่เพราะกลัวว่าตัวเองจะได้รับอันตรายไปด้วย ปัง ปัง ปัง เสียงปืนยังดังขึ้นอีกหลายนัด ยังไม่ทันที่ภคมนจะได้ออกตัว อยู่ ๆ ร่างหนึ่งก็กระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ของเธอพร้อมกับบางอย่างที่ยังร้อระอุบอกให้รู้ว่ามันเพิ่งผ่านการใช้งานมา กำลังจ่ออยู่ที่ท้ายทอย “ถ้าไม่อยากตายก็รีบออกรถ” “เอ่อ...คะ...ค่ะ ได้...ได้ค่ะ” คำขู่นั้นทำให้คนกลัวตายรีบบิดเร่งเครื่องขับออกไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่เสียงปืนยังดังไล่ตามหลังมาอีกหลายนัด ปัง ปัง ปัง “อ๊ะ!” คนที่นั่งอยู่ข้างหลังร้องเสียงหลง วงแขนแกร่งกอดกระชับเอวบางไว้จนภคมนเหลือบไปเห็นปืนและรอยเลือดตรงฝ่ามือใหญ่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น “คุณ คุณถูกยิงหรือเปล่า” “ไม่ต้องถามมาก ขับไป...” อีกฝ่ายขู่ด้วยเสียงที่เหมือนจะขาดห้วงเป็นระยะ มือที่กอดเอวไว้ร่วงเผาะลงทำให้คนขับตัดสินใจจับมือเขาให้กระชับไว้ตำแหน่งเดิมแล้วใช้มืออีกข้าง ขับรถต่อไป “ไปโรงพยาบาลไหมคุณ” “ไม่...” “แต่คุณถูกยิงนะ ต้องไปโรงพยาบาลสิ” เธอตะโกนถามแข่งกับสายลมที่กำลังพัดเข้ามาปะทะกับใบหน้า “ไม่ไป” อีกฝ่ายเน้นย้ำอีกครั้ง “แล้วจะให้ฉันพาคุณไปที่ไหน” “โรงแรม แล้วก็ห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด” เขากำชับอีกครั้งก่อนจะเงียบไปพร้อมกับใบหน้าที่เกยอยู่บนไหล่เล็ก ทำให้ภคมนอุทานลั่นออกมาด้วยความตกใจ “เชี่ย! อย่าเป็นอะไรไปนะคุณ ฉันไม่อยากติดคุก” “...” ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบรับกลับมา คนไม่มีทางเลือกมองเห็นป้ายโรงแรมอยู่ไม่ไกลจึงรีบเร่งเครื่องขับพาเขาเข้าไป ถึงจะรู้ว่ดีามันเป็นโรงแรมม่านรูดก็ตาม “เอาวะ เขาไม่ได้บอกนี่ว่าต้องพาไปโรงแรมไหน” ภคมนพยายามปลอบใจตัวเอง รีบพาอีกฝ่ายเข้าไปข้างในก่อนที่พนักงานจะเข้ามาเลื่อนม่านปิดลง คิดเอาไว้ว่าแค่พาเขามาส่งแล้วจะรีบกลับออกไปให้เร็วที่สุด “ถึงแล้วคุณ โอ๊ะ!” ทันทีที่เธอปล่อยมือจากเขา ร่างสูงใหญ่ที่นั่งมาด้านหลังก็ร่วงลงจากรถทำให้หญิงสาวต้องรีบประคองเขาไว้อีกครั้ง “บ้าจริง...นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย” คนตัวเล็กโอดครวญ เธอไม่มีทางเลือกจึงรีบพาเขาเข้าไปในห้องอย่างทุลักทุเลเพราะขนาดตัวที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ เธอเปรียบเสมือนมด แต่เขาไม่ต่างอะไรกับราชสีห์ตัวโตเลยสักนิด “ตัวหนักจัง” หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนจะรีบวางร่างอีกฝ่ายลงบนเตียงกว้าง วินาทีที่ได้เห็นใบหน้านั้นชัด ๆ อยู่ ๆ หัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจนเธอต้องทรุดกายนั่งลงเคียงข้างเพื่อพิจารณาเครื่องหน้านั้นใกล้ ๆ ดวงตาคู่สวยปิดสนิทแน่นมีขนตาเรียงเป็นแพต่อกันแต่พอเหมาะบวกกับปลายจมูกที่โด่งเป็นสันตามแบบฉบับชาวยุโรปมันเข้ากันกับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อนั้นเสียเหลือเกิน ผมสีดำสนิทยิ่งขับให้ผิวของเขาขาวจัดราวกับหิมะ หากมองดูเผิน ๆ ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ใช่คนไทย เพราะร่างที่สูงใหญ่กับใบหน้าที่บ่งบอกไว้ชัดเจน เพียงแต่ภาษาไทยที่เขาพูดก่อนหน้ามันชัดมากจนเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ “จะว่าไป ก็หล่อดีเหมือนกันนะเนี่ย” คนตัวเล็กบ่นพึมพำในขณะที่สายตากำลังจ้องมองเครื่องหน้าฟ้าประทานของอีกฝ่ายราวกับต้องมนต์สะกด ไม่คาดคิดเลยว่าในตอนนั้นเขาจะหยิบปืนขึ้นมาแล้วจับพลิกร่างเธอให้เป็นฝ่ายนอนลงบนเตียงพร้อมกับปลายกระบอกปืนจรดลงที่ปลายคาง “เธอจะทำอะไร” “ใจเย็นก่อนสิคุณ ฉัน...” ภคมน ชะงักกึกเพราะเธอไม่กล้าจะบอกความจริงว่าตัวเองแอบมองหน้าเขาเพราะความหลงใหล แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่สายตาของเธอดันเหลือบไปเห็นเลือดตรงแขนของคนบนร่างเข้าพอดี “ฉันจะดูแผลให้คุณน่ะ” “ไม่ต้อง มาส่งแค่นี้ก็พอ เธอกลับไปได้แล้ว” “แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลน่ะ” “ก็บอกว่าไม่ต้องไง!” อีกฝ่ายตะคอกเสียงดังทำให้คนตัวเล็กรีบลุกจากเตียงแต่ทว่ายังไม่ทันที่ประตูจะถูกเปิดออก เสียงดังเอะอะโวยวายก็ดังลอดเข้ามาทำให้มือเรียวที่วางอยู่บนกลอนต้องหยุดชะงักก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะรีบดันร่างเธอไปหลบที่ระเบียงห้อง “ถ้าไม่อยากตายก็ไปหลบก่อน แล้วห้ามโผล่หัวออกมาเด็ดขาด” หัวใจดวงน้อยยิ่งเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เมื่อเห็นประตูห้องถูกกระชากเปิดออกพร้อมกับชายฉกรรจ์สามสี่คนที่บุกเข้ามาพร้อมกับอาวุธปืนในมือ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” มือเรียวยกขึ้นปิดปากตัวเองไว้ด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต ได้แต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องผ่านช่องเล็ก ๆ ของประตูเลื่อนอย่างเงียบ ๆ “ในที่สุดมึงก็หนีกูไม่พ้นไอ้เฟย” คนมาใหม่เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบแต่ยังจับปืนไว้แน่น เตรียมลั่นไกใส่คนที่เธอช่วยมาเมื่อครู่ได้ทุกเมื่อ “มึงนี่ กระจอกยังไงก็ยังกระจอกไม่เปลี่ยนเลยว่ะ คนจริงเขาไม่ลอบกัดหรอกนะ” “กูยอมเป็นหมาว่ะ ถ้ากูได้กำจัดมึง ยังไงหัวหน้าตระกูลไพศาลบดินทร์คนต่อไปก็ต้องเป็นกู” “หมาอย่างมึง เป็นหัวหน้าใครไม่ได้หรอก เพราะถ้ามึงมีคุณสมบัติเหมาะสมพอ พ่อคงไม่เลือกกูหรอก” อีกฝ่ายเย้ยหยันอย่างไม่นึกเกรงแม้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในตอนนี้ก็ตาม “สู้ไปก็เปล่าประโยชน์เพราะว่ามึงมันแพ้กูทุกอย่างอยู่แล้ว ทั้งเรื่องงานแล้วก็เรื่องเกวลิน” “ไอ้เฟย!” คนมาใหม่ตวาดกร้าวเหมือนถูกจี้ใจดำ จากนั้นการต่อสู้ภายในห้องแคบ ๆ ก็เริ่มต้นขึ้น เสียงเอะอะโวยวายดังสนั่นแต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาดู ภคมนจึงต้องนั่งขดตัวอยู่ในมุมมืด ยกมือปิดหูตัวเองไว้ ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ภายในห้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงปืนและเสียงกระจกร่วงลงแตก เมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบกับร่างของชายสวมชุดสูทกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า “พ่อแก้วแม่แก้วช่วยหนูด้วย” หญิงสาวพยายามข่มความหวาดกลัวไว้ ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพราะกลัวว่าคนที่อยู่ข้างในจะได้ยิน มือที่สั่นเทาเอื้อมไปแหวกผ้าม่านผ่านช่องกระจกที่แตกไปก่อนหน้าก่อนจะพบว่าลูกน้องของคนที่มาใหม่เมื่อครู่นั้นถูกยิงจนเสียชีวิตคาที่เพราะมีคนตามมาช่วยเฟลิกซ์ไว้ได้ทัน “ฝีมือไอ้สิงห์จริง ๆ ด้วย มันหนีไปอีกจนได้” เจ้าของร่างสูงใหญ่สบถอย่างไม่สบอารมณ์ “ปล่อยมันไปก่อนเถอะครับ ยังไงมันก็สู้พวกเราไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้คุณเฟยบาดเจ็บ กลับไปรักษาตัวก่อนจะดีกว่า” หนึ่งในคนที่มาช่วยเสนอความคิดเห็นเมื่อเห็นบาดแผลตรงไหล่กว้างของเจ้านาย “งั้นเดี๋ยวช่วยเก็บกวาดทางนี้ให้หน่อยละกัน” ชายหนุ่มออกคำสั่งเหมือนจะลืมไปชั่วขณะว่าเขาไม่ได้มาที่นี่คนเดียว “แล้วคนที่พาคุณมาล่ะครับ หายไปไหนแล้ว” “จริงสิ เธอยังอยู่ในห้อง” “เธอรู้ตัวตนของคุณแล้ว แบบนี้ปล่อยไปไม่ได้นะครับ” ประโยคที่ได้ยินหลังจากนั้นทำให้คนที่กำลังแอบฟังถึงกับจุก “งั้นก็เก็บเธอซะ” ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย เบื้องหน้าเขาคือเฟยหลงหรือเฟลิกซ์ นักธุรกิจไฟแรงซึ่งกำลังเป็นที่จับตามอง ทั้งธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์อีกมากมาย เป็นนักบุญที่ใครต่างยกย่องเพราะเขามักจะบริจาคเงินช่วยเหลือสังคมอยู่บ่อยครั้ง แต่เบื้องหลังเขาคือผู้มีอิทธิพลสูงสุดของธุรกิจสีเทามากมาย ทั้งอุ้มชูนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์อีกหลายชีวิต ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริงแม้ว่าคนคนนั้นจะช่วยชีวิตเขาไว้ก็ตาม “เชี่ย คนอุตส่าห์ช่วยไว้แท้ ๆ” ภคมนอุทานแผ่วเบา เมื่อเห็นลูกน้องของเฟลิกซ์กำลังเดินออกมาที่ระเบียงเธอก็รีบกระโดดข้ามขอบกั้นแล้วอาศัยความมืดปีนกำแพงออกไปอย่างไม่คิดชีวิต “เธอหายไปแล้วครับ” “ว่าไงนะ” ร่างสูงใหญ่เดินข้ามศพที่นอนอยู่บนพื้น ออกมากวาดสายตามองหาร่างบางด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เป็นความผิดฉันเองที่ไม่รอบคอบ เห็นว่าช่วยไว้เลยไม่อยากกำจัด” ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันแน่น นึกเจ็บใจตัวเองที่ปล่อยให้หญิงสาวหนีรอดไปได้ ถึงแม้เธอจะไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ยังไงเขาก็ต้องป้องกันไว้ก่อน “เอายังไงดีครับ” “เธอมาจากร้านขายอาหารที่มังกรชอบสั่งบ่อย ๆ น่ะแค่ผู้หญิงคนเดียวคงตามจับตัวได้ไม่ยาก” ดวงตาคมกริบยังสอดสายตามองฝ่าความมืดออกไป โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังตามหาไม่ได้วิ่งหนีไปไหน แต่เธอกลับอาศัยความมืดนั่งซ่อนตัวเงียบ ๆ อยู่ริมกำแพงใกล้ ๆ ได้ยินทุกบทสนทนาชัดเจนจนขนลุกไปทั่วทั้งตัว เฝ้ารอจนแน่ใจว่าเขาและบรรดาลูกน้องกลับไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นเธอจึงตัดสินใจทิ้งรถของร้านไว้แล้วรีบหนีเอาตัวรอดออกมาอย่างไม่คิดชีวิต “ยัยแพงเอ๊ย ชีวิตตอนนี้ก็อาภัพมากพออยู่แล้ว ดันมาถูกมาเฟียตามเก็บอีก” ภคมนโอดครวญในขณะที่วิ่งหนีเอาตัวรอดมาถึงถนนใหญ่ เธอจึงต้องใช้เงินที่ได้จากทิปค่าส่งอาหารเพื่อโบกแท็กซี่กลับไปที่บ้านเพื่อตั้งหลักว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม