ตอนที่ 13 กฎสามข้อ

1993 คำ
หลังจากที่กินจนอิ่มพุงกางพี่มิลก็รับหน้าที่เป็นคนขับรถพาฉันมาส่งถึงบ้าน ฉันถูกสะกิดปลุกให้ตื่นจากความฝันก่อนจะมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าตัวเองอยู่หน้าบ้านแล้ว “พี่มาบ้านหนูถูกด้วยเหรอคะ” ฉันสับสนเล็กน้อยเพราะว่าพี่มิลยังไม่เคยมาบ้านที่ฉันย้ายมาอยู่ใหม่แต่กลับมาถูกเนี่ยนะ “ระหว่างเธอหลับ น้องชายเธอโทร.หาน่ะ โน่น ยืนท้าวสะเอวอยู่โน่นแล้ว” พี่มิลชี้ไปทางชายหนุ่มที่ยืนท้าวสะเองอยู่ตรงประตู้รั้วหน้าบ้าน “โดนคาดโทษแล้วแฮะ” ฉันปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะหันมามองทางหนุ่มรุ่นพี่ “วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคะ” “อย่าลืมเรื่องที่จะเลี้ยงพี่คืนนะ” “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” ฉันหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองมาสะพายไว้ก่อนจะเอื้อมมือไปตรงที่เปิดประตูรถ แต่กลับถูกหนุ่มรุ่นพี่ยื่นมือมาจับไว้ “พี่มิลมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” “พี่มีเรื่องอยากจะคุยก่อนแป๊บหนึ่งได้ไหม ไม่นานหรอก” ฉันปล่อยมือออกจากที่จับก่อนจะหันมามองหนุ่มรุ่นพี่เพื่อรอฟัง พี่มิลกลับมานั่งยังเบาะของตัวเองเหมือนเดิมก่อนจะมีท่าทีประหม่าเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าคะพี่มิล” ยังไม่ทันที่พี่มิลจะพูดอะไรน้องชายฉันก็เดินมาเคาะกระจก ฉันเลยลงมาจากรถพร้อมกับพี่มิลที่เดินลงมาตาม “ทำไมไม่ลงสักทีนึกว่าพี่เป็นอะไร” มิกซ์ว่าก่อนจะลอบมองสายตาไปทางชายหนุ่มที่เดินตามลงมาจากประตูฝั่งคนขับ “พี่มีเรื่องคุยกันนิดหน่อย มิกซ์เข้าบ้านไปก่อนนะ” “ทำไมพี่มิลถึงมาส่งพี่อะ” น้องชายฉันหันไปถามพี่มิลอย่างตรง ๆ “พวกเราแค่ไปทานข้าวด้วยกันน่ะ” พี่มิลก็ตอบกลับมาอย่างไม่คิดปิดบัง “ไหนบอกว่าเป็นแค่เจ้านายกับเด็กฝึกงานไง ทำไมไปทานข้าวกันได้ด้วย” มิกซ์จ้องพี่มิลด้วยสายตาจับผิด “อย่าไปจ้องพี่เขาอย่างนั้นมิกซ์” “พี่จะมาจีบพี่สาวผมเหรอ” น้องชายของฉันเอ่ยถามด้วยสีหน้า ยียวน ฉันได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอาก่อนจะหันมามองร่างสูงของ พี่มิลที่เดินอ้อมหน้ารถเข้ามาใกล้ “ถ้าอนุญาตให้พี่จีบ พี่ก็จะจีบครับ” พี่มิลช้อนสายตาหันกลับมามองฉันเรียกรอยยิ้มอย่างพอใจให้กับมิกซ์ “ก็แค่เนี่ย ยืดยื้อกันอยู่ได้” มิกซ์ว่าก่อนจะหันหน้ามามองฉัน “เข้าบ้านก่อนนะ จะคุยอะไรก็คุยกันไป” น้องชายของฉันว่าก่อนจะเดินเข้าบ้านไปทิ้งให้พวกเรายืนที่ข้างรถกันตามลำพัง “พี่มิลพูดเรื่องอะไรคะเนี่ย” ฉันเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เรื่องนี้แหละที่พี่อยากจะบอกมน” ชายหนุ่มยื่นมือมาจับมือของฉันเอาไว้ ฉันได้แต่มองตามการกระทำของชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ “พี่อยากกลับมาเริ่มต้นใหม่กับมนอีกครั้ง อันที่จริงตอนนั้นถึงจะไม่มีลูกพี่ก็ไม่ได้อยากเลิกสานสัมพันธ์กับมนต่อนะ” ฉันได้แต่นิ่งเงียบเพราะพูดอะไรไม่ออก “ถ้าตอนนี้พี่จะอยากสานต่อความสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง เธอจะอนุญาตให้พี่จีบเธอไหมมน” มือหนาที่กุมมือของฉันไว้มันอบอุ่นเสียใจละลายน้ำแข็งที่เกาะอยู่ข้างในใจของฉันจนอยากจะหลั่งออกมาเป็นน้ำตาด้วยความตื้นตันใจ ฉันเงยหน้าขึ้นมามองพี่มิลเพื่อให้คำตอบ “ถ้าพี่อยากจีบหนู หนูก็อนุญาตค่ะ แต่หนูมีกฎอยู่สามข้อ พี่มิลจะทำตามได้ไหมคะ” “มีอะไรว่ามาเลย” “ข้อหนึ่ง ห้ามให้คนในออฟฟิศรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราเป็นอันขาด” พี่มิลพยักหน้าระรัว “เรื่องแค่นี้สบายมาก” “ข้อสอง พี่ต้องจีบหนูแค่คนเดียว ห้ามจีบไปทั่วแล้วเห็นหนูเป็นแค่ตัวเลือก” ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้ม “พี่ทิ้งลายเดิมไปนานแล้วนะครับ เชื่อใจพี่สิ” ก็จะลองเชื่อใจดูสักครั้งก็แล้วกัน “ข้อสาม ข้อสุดท้าย ถ้าหนูพร้อมจะเป็นแฟนพี่เมื่อไหร่ หนูจะเป็นคนขอพี่เป็นแฟนเอง ตกลงไหมคะ” “นานไหมครับ” พี่มิลมีสีหน้าโอดครวญเล็กน้อย “ตกลงไหมคะ” ฉันเน้นคำถาม “ตกลงครับ ตกลง” พี่มิลรีบพยักหน้าก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นมา “ถือว่าเราตกลงกันแล้วนะ” “ค่ะ” ฉันเอื้อมมือไปเกี่ยวก้อยกันชายหนุ่ม บอกตรง ๆ ว่าชีวิตนี้นอกจากเพื่อนสาวก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเกี่ยวก้อยกับผู้ชายมากแมนอย่างนี้ แต่ก็น่ารักดี ฉันตื่นเช้ามาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้า ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอนไปอาบน้ำแต่งตัวปกติ แต่ที่วันนี้ไม่ปกติเพราะว่ามีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าในตอนที่ฉันกำลังแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของตัวเองอย่างเร่งรีบ “ใครโทร.มาแต่เช้าวะเนี่ย” เสียงสบถออกมาจากปากเมื่อหันไปมองเห็นว่าเป็นสายจากพี่มิลก็กดรับแล้วเปิดลำโพงคุยไปด้วย “ตื่นหรือยังครับ” ฉันเปิดฝาอายไลน์เนอร์เตรียมจะกรีดที่ขอบตา “ตื่นแล้วค่ะ” เส้นสีดำขีดที่ขอบตาให้ดูโฉบเฉี่ยวก่อนจะหันมาทางเป้าหมายอีกฝั่งหนึ่ง “ทำไมไม่เห็นเปิดไฟห้องเลยครับ” พรืดดด เส้นสีดำกรีดยาวไปจนเกือบจะถึงข้างขมับฉันรีบวิ่งไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างออกดูก่อนจะมองลงไปยังหน้าบ้านที่เห็นว่าพี่มิลเอนหลังพิงกับรถยนต์คนหรูเอาโทรศัพท์แนบหูอยู่ข้างล่าง “เชี่ย” ฉันตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “มนว่าอะไรนะ” “พี่มิลมาทำอะไรแต่เช้าคะ” ฉันรีบลบส่วนที่เกิดออกจากดวงตา “ก็มารับเธอไง” ฉันรีบทำทุกอย่างอย่างลุกลี้ลุกลนก่อนจะเดินลงมาที่ชั้นล่างให้สวยพร้อมแล้วเดินเข้าไปหาหนุ่มรุ่นพี่ “พี่มิลมารับหรือมาเร่งกันแน่คะ” ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือ “อีกนิดจะถึงเวลาเข้างานแล้วนะครับ พี่ไม่ชอบคนเข้างานสาย” ฉันพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ “ปกติหนูไปเองก็ไม่เคยสายนี่คะ แต่เมื่อเช้าแค่นอนเพลินไปนิดหน่อย” ใครจะไปกล้าบอกว่านอนคิดเรื่องที่พี่มิลจะจีบทั้งคืนจนนอนไม่หลับตอนเช้าเลยตื่นสายกันล่ะ “งั้นก็ลืมปกติไปได้เลยครับ เพราะต่อไปพี่จะมารับมาส่งเธอเอง” “ไหนว่าจะไม่ให้คนที่บริษัทรู้ไงคะ ขืนพี่มารับมาส่งหนูแบบนี้ ยังไงก็ต้องมีขาเผือกรู้ค่ะ” ฉันขมวดคิ้วมองคนพี่ “เราก็มีจุดรับส่งที่ไม่มีใครรู้สิ” พี่มิลว่าทำเอาฉันยกมือขึ้นกุมขมับให้กับความดื้อรั้นของชายหนุ่ม “เอางั้นก็ได้ค่ะ” “กล่องอะไร” พี่มิลหันมามองกล่องข้าวที่วางไว้บนหน้าตักของฉัน “ลุงภูมิทำอาหารเช้ากับอาหารเที่ยงให้หนูเอาไปทานค่ะ” ชายหนุ่มหันไปมองบนท้องถนนที่รถกำลังแล่นผ่าน “เป็นพ่อเลี้ยงที่ใส่ใจจังเลยนะ” ฉันกระตุกยิ้ม “ยิ่งกว่าพ่อแท้ ๆ อีกค่ะ ถ้าชาติหน้าได้เกิดเป็นลูกลุงภูมิก็คงจะดี” “ดีเหมือนกัน เวลาสู่ขอ พี่จะได้ไปสู่ขอถูก” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ ๆ ยายมน ฉันเป็นราชินี ไม่ใจอ่อนกับอีแค่เจ้าชายปีนหอคอยหรอกนะ “พี่คะ เล่าเรื่องครอบครัวพี่ให้หนูฟังบ้างได้ไหม” ฉันหันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังจับจ้องอยู่ที่การขับรถ “ครอบครัวพี่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหรอก แม่พี่เสียตอนที่พี่ยังเด็ก ไม่นานพ่อก็แต่งงานใหม่กับแม่ของรดา จนพี่มีน้องต่างแม่อยู่สองคน” “สองคนเหรอคะ นอกจากพี่รดาแล้ว พี่มิลยังมีน้องอีกเหรอ” ฉันเอ่ยถามอย่างให้ความสนใจ ท่าทางขาเผือกน่าจะต้องยกให้ฉันเองเนี่ยแหละ “ก็มีน้องชายอีกหนึ่งคน น่าจะอายุมากกว่ามิกซ์ปีหนึ่ง แต่ไม่ต้องใส่ใจนักหรอก ไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ” พี่มิลเล่าไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร “ทั้งที่อายุก็ไม่ได้ห่างกันมาก ทำไมพี่มิลกับน้อง ๆ ไม่ถูกกันล่ะคะ อีกอย่างแม่เลี้ยงของพี่ก็แต่งเข้ามาตอนที่พี่ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ” ดวงตาคมของชายหนุ่มดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันถามอะไรผิดไปหรือเปล่าเนี่ย “ตั้งแต่พี่จำความได้ ผู้หญิงคนนั้นก็แบ่งแยกพี่กับน้อง ๆ อย่างชัดเจน บอกเสมอว่าพี่ไม่ใช่ลูกเธอ เวลาไปไหนมาไหนก็มักจะไม่ให้พี่ได้เข้าร่วมในครอบครัว พี่เลยเป็นเหมือนส่วนเกินของครอบครัวใหม่” “อ๋า...” ฉันไม่รู้จะปลอบใจหนุ่มรุ่นพี่อย่างไร แต่ยังไม่ทันได้นึกรถก็มาจอดจรงป้ายรถเมล์ที่อยู่ข้าง ๆ กับบริษัทเสียแล้ว “เธอลงตรงนี้แล้วกันนะ จะได้ไม่เดินไกลมาก” พี่มิลจอดรถให้ฉันลง ฉันทำท่าทีว่าจะลงก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ ฉันทำให้พี่เขารู้สึกแย่หรือเปล่านะ ฉันหันมามองทางชายหนุ่มที่มีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นฉันยังไม่ลง “แต่ถึงยังไง พี่ก็ไม่ใช่ส่วนเกินในชีวิตหนูนะคะ” พี่มิลเลิกคิ้ว อย่างประหลาดใจก่อนที่ฉันจะรวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปประทับจูบลงบนริมฝีปากของชายหนุ่มเบา ๆ แล้วเดินลงจากรถไป ให้ตายสิยายมน นี่แกทำอะไรลงไปเนี่ย “น้องมน น้องมนคะ” “คะ ๆ” ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภวังค์เลื่อนลอย ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยืนเหม่อเฝ้าเครื่องถ่ายเอกสารจนมีพี่ร่วมงานเข้ามาสะกิด “น้องมนใช้อยู่ไหมคะ พอดีว่าพี่ต้องถ่ายเอกสารการประชุม” ฉันรีบหยิบเอกสารของตัวเองขึ้นมาแล้วหันไปส่งยิ้มเจื่อนให้รุ่นพี่ “ขอโทษนะคะ” ฉันเดินออกมาจากห้องถ่ายเอกสารก่อนจะต้องสบตาเข้ากับร่างสูงที่ยืนตรวจเอกสารอยู่ที่หน้าห้องประชุมทีม ให้ตายสิแล้วทำไมต้องมาประชุมวันนี้ด้วยเนี่ย ปกติพี่มิลจะต้องอยู่ที่ชั้นบริหาร แต่มีบ้างที่ต้องลงมาตรวจงานกับประชุมทีม “น้องมนคะ เอกสารล่ะคะ” หนุ่มรุ่นพี่เหมือนจะได้ยินชื่อฉันเลยหันหน้ามา ฉันรีบหลบสายตาไปในทันทีเพราะกลัวว่าจะทำตัวไม่ถูกแล้วเผลอทำพิรุธให้ใครจับได้ “นี่ค่ะ หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” พอวางเอกสารไว้บนโต๊ะของพี่เขาฉันก็รีบก้าวเท้าเดินไปทางห้องน้ำในทันทีจนได้ยินเสียงของพี่ที่ร่วมงานดังตามมา “เป็นอะไรของเขา สงสัยคงจะท้องเสียละมั้ง” ให้โดนเข้าใจว่าท้องเสียก็ยังดีกว่าให้รู้ว่าไปเจ๊าะแจ๊ะกับหัวหน้างานล่ะวะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม