วันนี้ฉันมีนัดส่งรายงานกับอาจารย์เลยกลับมาที่มหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายแล้วได้โอกาสนั่งเม้าท์มอยตามประสาสาว ๆ กับเพื่อน ๆ
“แกย้ายไปอยู่บ้านใหม่แล้วเป็นไงบ้าง” นิดาเอ่ยถามพลางดูดชานมไข่มุกในแก้วของตัวเอง
“ดีนะแก ดีกว่าตอนอยู่กับพ่อเยอะเลยอะ” ฉันตอบกลับ
“ดีแล้วล่ะ ตอนแรกเราก็เป็นห่วงนะว่าแกจะเข้ากับบ้านใหม่ได้ไหม ตอนนี้เราก็วางใจแล้ว พวกเขารักแกมากเลยอะ” วิพูดด้วยรอยยิ้มหวาน
“เออ แล้วเรื่องแกกับพี่มิลอะ เป็นไงต่อ สานสัมพันธ์ต่อไหมจากตอนนั้น” คราวนี้เพื่อนสาวทั้งสองต่างพากันสนอกสนใจยิ่งกว่าเรื่องก่อนหน้านี้เสียออก
“ก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้านะ ที่บริษัทก็ไม่ได้คุยกัน บางทีพี่เขาก็แค่ส่งข้อความมาถามว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง แค่นั้นเอง” ฉันว่าก่อนจะก้มหน้าลงดื่มน้ำส้มที่อยู่ในแก้ว เพื่อนสองคนหันไปมองหน้ากัน
“ตอนแรกฉันแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคู่แกกับพี่มิลจะมาลงเอยกันได้ แต่ตอนนี้ฉันว่ามีความเป็นไปได้ละ” นิดาว่าทำเอาฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหญิงสาวด้วยความสงสัย
“ทำไมอะ” ฉันถามด้วยความข้องใจ
“ถึงพี่มิลจะเจ้าชู้ไปทั่ว แต่พี่เขาก็ไม่เคยรู้สึกชอบใครได้นาน ๆ เรื่องของแกกับพี่มิลมันก็ผ่านมาตั้งสองปีแล้วนะเว้ย อีกอย่างนะพี่คิณเคยบอกฉันว่าตั้งแต่เรียนจบพี่มิลก็เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน ตั้งใจทำงาน ไม่คั่วสาว แถมยังคิดเรื่องจะสร้างครอบครัวด้วยนะ อย่างกับโดนคนทำของใส่แน่ะ”
ฉันและวิต่างตั้งใจฟังที่นิดาร่ายยาวออกมา ฉันได้แต่กลืนน้ำลายแล้วนึกย้อนกลับไปตอนที่ไปค้างคอนโดฯ ของพี่มิลในคืนนั้น ที่พี่รดาเคยบอกไว้ว่า พี่มิลตั้งใจซื้อคอนโดฯ ห้องนั้นแล้วแบ่งห้องหนึ่งไว้ทำห้องให้เด็ก ตอนแรกฉันก็คิด้ว่าเป็นพวกเด็กในสต็อกของพี่มิล ที่ไหนได้ เด็กที่ว่าคือลูกของเราสองคนที่เกิดการเข้าใจผิดในตอนนั้น
ขนาดยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร พี่เขาก็เตรียมการเรื่องลูกเอาไว้ในเวลาไม่ถึงเดือนได้อย่างไรกัน
“พี่เขาคงจะอยากมีลูกมาก ๆ เลยเนอะ เป็นไปได้หรือเปล่าที่พี่เขาคิดเรื่องครอบครัวกับแก แกเลยกลายเป็นคนที่เข้าไปอยู่ในใจของพี่เขา”
วิว่าก่อนจะเอื้อมมือมาบีบมือฉันเบา ๆ
“มันก็แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ น่ะวิ” ฉันตอบไปแบบนั้นแต่ก็เป็นตัวฉันเองที่ยังไม่ลืมช่วงเวลานั้นไปเหมือนกัน
“ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็เพียงพอที่จะมัดแกไว้กับพี่มิลเหมือนกัน แกเองก็รู้สึกแบบนั้น ตอนนี้แกกลัวอะไรอยู่เหรอ” นิดาตั้งคำถามก่อนจะมองลึกเข้ามาในดวงตาของฉันเพื่อรอคำตอบ
“ฉันกลัวว่ามันจะต้องผิดหวังอีกครั้ง ทั้งชีวิตของฉันต้องเสียใจเพราะผู้ชายมากี่รอบแล้ววะ”
“ครั้งนี้มันอาจจะต่างออกไปก็ได้ ถ้าแกลองเปิดใจดู” วิเข้ามาเสริมทัพ
“ฉันคิดว่าฉันคงทำได้สักวัน เย็นแล้วอะ กลับบ้านก่อนนะ” ฉันว่าก่อนจะโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วเดินออกมา
วันนี้แม่กับลุงภูมิกลับต่างจังหวัด ตอนเย็น ๆ ถึงจะกลับ บอกให้ฉันกลับบ้านเองได้เลย ซึ่งฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไร ปกติฉันก็ไม่เคยมีใครไปรับไปส่งอยู่แล้ว กับแค่กลับบ้านเองคงไม่ได้หนักหนาอะไรเท่าไร
แต่พอเดินออกมาหน้าตึกเท่านั้นแหละ ฉันก็เผลอสบสายตาเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว พี่มิลหันมาเห็นฉันพอดิบพอดีเลยโบกมือทักทาย
“จะกลับแล้วเหรอมน” ฉันก้าวมาหาชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความสงสัย
“ค่ะ พี่มิลมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยเหรอคะ” ฉันถามพลางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่เจอรุ่นพี่ที่จบแล้วมาถึงสองปีกว่า ๆ มาเยือนที่มหาวิทยาลัย
“ก็มาหาเธอนั่นแหละ”
“อะไรนะคะ” ฉันถึงกับอ้าปากค้างด้วยความสงสัย
“เธอเคยบอกว่าพี่ใช้อำนาจในทางไม่ชอบถ้าจะชวนเธอไปทานข้าวตอนอยู่ที่ทำงานใช่ไหม ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศแล้ว สถานะของเราก็ไม่ใช่เจ้านายกับเด็กฝึกงาน ถ้าอย่างนั้นเราไปทานเย็นกันไหมครับ” พี่มิลเลิกคิ้วเอ่ยชักชวนฉันก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับรอ ไม่รู้ว่าชวนหรือมัดมือชกกันแน่
แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายลงแล้ว อันที่จริงหมายถึงเรื่องสถานะของพี่มิลกับสาว ๆ พวกนั้น แล้วตอนนี้ชีวิตของฉันก็กำลังไปในทางที่ดีสุด ๆ ถ้าจะลองดูก็คงจะไม่เสียหายอะไร
“ก็ได้ค่ะ” ฉันว่าก่อนจะกอดอกแล้วโน้มตัวลงไปนั่งที่เบาะ พี่มิล ยกยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะปิดประตูลงแล้วเดินอ้อมรถมานั่งที่เบาะคนขับ
“อยากทานอะไรครับ”
“พี่ให้หนูเลือกเหรอคะ” พี่มิลพยักหน้าระรัวก่อนที่ฉันจะชักสีหน้าครุ่นคิดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาร้านอาหารน่ากิน ๆ ที่ฉันเคยบันทึกเอาไว้ “พี่เลี้ยงหรือเปล่าหนูจะได้เลือกร้านถูก”
“เธอคิดว่าถ้าเธออยากทานแล้วพี่จะเลี้ยงเธอไม่ได้เหรอ” ฉันช้อนสายตามามองหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกระตุกยิ้ม
“เปล่าค่ะ หนูจะได้เลือกแพง ๆ ไปเลยเพราะไม่ต้องหารด้วย”
“เลือกมาเลย ร้านไหนพี่ก็จัดให้ได้หมดนั่นแหละ” ชายหนุ่มเอนกายพิงกับพนักเบาะก่อนจะทอดสายตาไปมองทางถนน ตายจริง สายเปย์ซะด้วย
“อยากกินบุฟเฟต์บนตึกใบหยกค่ะ” ฉันว่าเสียงเรียบก่อนที่พี่มิลจะเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ
“แค่นี้เองเหรอคะ เบ ๆ มากค่ะ” พี่มิลว่าก่อนจะจะออกรถไปตามท้องถนนเดินทางไปทันที ไม่นานนักชายหนุ่มก็พาฉันมาถึงสถานที่ปลายทาง แต่ว่านะไม่เปลี่ยนชุดอะไรหน่อยเหรอ มองแบบนี้ฉันเหมือนเป็นเด็กเสี่ยเหมือนกันนะ
“พี่คะ พี่ว่าหนูควรจะเปลี่ยนชุดหน่อยไหมคะ” ฉันก้มลงมองชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอของตัวเองแล้วหันไปมองพี่มิลที่หยิบเสื้อตัวนอกของตัวเองมาสวมใส่ไว้ซะเต็มยศ ก็รู้แล้วค่ะว่าเป็นลูกเจ้าของบริษัทน่ะ
“ทำไมครับ แบบนี้ก็สวยแล้วนี่” ใบหน้าหล่อหันมามองฉันพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ก็ชุดนักศึกษาแบบนี้ เดินกับพี่ที่เป็นผู้บริหาร ใคร ๆ เขาก็คิดว่าหนูเป็นเด็กเสี่ยแน่ ๆ” พี่มิลอมยิ้มขึ้นมาในขณะที่ฉันย่นหัวคิ้วลงมาชนกันด้วยความเคร่งเครียด “ยิ้มอะไรคะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นเด็กของรามิลไม่มีอะไรเสียหายหรอก เพราะว่าพี่ไม่มีประวัติไม่ดีเลยตั้งแต่เข้ามาในวงการนักธุรกิจ” มือหนาเอื้อมมือมายีผมของฉันเบา ๆ ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูหรือแค่มันเขี้ยวก่อนจะเดินลงจากรถไป
“โอ๊ยพี่มิลหัวยุ่งหมดแล้ว”
ฉันเดินเคียงกับพี่มิลขึ้นมาบนตึก ที่จริงก็แค่เลือกไปงั้น ๆ ไม่ได้คิดว่าพอมาจริงแล้วจะรู้สึกเกร็ง ๆ แปลก ๆ
พี่มิลพาฉันมานั่งที่ริมสุด ผนังของตึกเป็นกระจกใส่มองให้เห็นวิวด้านนอก แสงไฟในเมืองหลวงสว่างไสวตลอดทั้งคืน
“อยากได้อะไรบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้” พี่มิลว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนฉันแปลกใจ
“หนูทานอะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่มิลเลย”
“ครับ” พี่มิลเดินออกไปจากโต๊ะก่อนจะหายไปสักพัก ไม่นานนัก
พี่มิลก็เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วตามด้วยพนักงานที่ยกอาหารมาเสิร์ฟอย่างละลานตา จะกินหมดไหมเนี่ย มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย
“เอามาเยอะจังเลยค่ะพี่มิล” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มที่ถอดเสื้อสูทตัวนอกออกก่อนจะวางพาดไว้ที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ
“พี่เลือกมาแต่ของโปรดเธอทั้งนั้นเลยนะ เธอบอกว่าชอบทานกุ้ง แล้วก็พวกยำอะไรพวกนี้ใช่ไหม พี่เลยจัดมาให้เยอะเลย แต่เธอเคยบอกว่าทานแล้วชอบปวดท้อง พี่เลยเอาพวกของรองท้องมาให้ทานก่อน”
พี่มิลยื่นขนมปังมาปิ้งมาให้ฉันที่ทาแยมมาแล้วเรียบร้อย “แยมส้ม”
“เธอชอบทานส้มนี่ พี่เลยคิดว่าเธอน่าจะชอบแยมส้ม” ฉันถึงกับตกตะลึงเมื่อชายหนุ่มยังคงจำเรื่องราวที่เคยคุยเล่นกันในตอนนั้นได้อยู่ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานมาก ๆ แล้ว
“อาหารพวกนี้พี่สั่งไม่ใส่ผักชีนะ เธอบอกว่ามันเหม็นนี่”
“เอ่อพี่มิลคะ พี่ไม่ชอบทานพริกไทยไม่ใช่เหรอคะ แต่ในผัดฉ่ามันมีพริกไทยนะคะ” ฉันรีบยกมือห้ามตอนที่คนพี่ตักผัดฉ่าทะเลขึ้นมาจ่อ
ริมฝีปากของตัวเอง
“เดี๋ยวนี้พี่ทานได้แล้ว เพราะเธอชอบทานไง” ชายหนุ่มอมยิ้มก่อนจะเอาปลาหมึกผัดฉ่าเข้าปากตัวเองแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย “นี่เธอจำได้ด้วยเหรอ”
“ทำไมจะจำไม่ได้ หนูไม่เคยเห็นคนทานยากเท่าพี่มาก่อนเลยนี่คะ ผักก็ไม่ทาน ของเผ็ดไม่ทาน อีกอย่างปลาร้าก็ทานไม่เป็น กะปิก็เหม็น
อื่น ๆ สารพัดเลย” ฉันบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วตักอาหารที่พี่มิลสั่งขึ้นมาทาน ก็อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย แต่แค่สู้ชินอาหารฝีมือลุงภูมิไปแล้วเนี่ยสิ
“อร่อยไหมครับ” พี่มิลตาลุกวาวด้วยความคาดหวัง
“ก็อร่อยนะคะ แต่หนูรู้จักร้านที่อร่อยกว่านี้”
“ร้านไหนล่ะ เดี๋ยววันหลังพี่จะได้พาไปทาน” ชายหนุ่มว่าก่อนจะตักอาหารขึ้นมาเข้าปากอีกคำระหว่างที่พวกเราสนทนา
“ร้านของพ่อเลี้ยงหนูเองค่ะ ไว้วันหลังให้หนูเลี้ยงพี่บ้างแล้วกัน เคยบอกว่าจะเลี้ยงอาหารพี่เป็นการตอบแทนตั้งแต่คราวที่พี่ช่วยหนูแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก เห็นเธอเข้ากับครอบครัวใหม่ได้พี่ก็ดีใจ” พี่มิลยกยิ้มจาง ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่พี่รดาบอกว่าพี่มิลกับพ่อของมีปัญหากันบ่อย คงจะคิดถึงเรื่องครอบครัวตัวเองน่ะสิไม่ว่า
“หนูรับปากไว้คำนั้นก็ต้องคำนั้นค่ะ อีกอย่างพี่จะได้รู้จักกับครอบครัวของหนูไง” คนได้ฟังถึงกับหูผึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองฉันอย่างเหลือเชื่อ แต่ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย
“เธอว่าไงนะ เธอจะพาพี่ไปทำความรู้จักกับครอบครัวเธอเหรอ”
“ไม่รู้สิคะ แต่อยากทานเซตซาชิมิจัง”
“เดี๋ยวพี่เดินไปสั่งให้เดี๋ยวนี้เลย”