ตอนที่ 1
ฉันยืนกะพริบตาปริบๆ มองความโอ่อ่าของโรงเรียนที่สเตล่าหาไว้ให้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าประเทศที่รักความสงบอย่างประเทศไทยจะมีโรงเรียนที่หรูหราราวกับพระราชวัง “เวิลล์คูลส์” ของฉันขนาดนี้ ผู้คนในโรงเรียนก็ล้วนแต่ยิ้มแย้มกันอย่างมีความสุข หน้าตาก็จัดได้ว่าดีเทียบชั้นเจ้าหญิงอย่างฉันได้ทั้งนั้น
“สวยจัง...”
ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากำไว้หลวมๆ ตรงหน้าอก มันเป็นท่าทางที่ฉันทำเสมอเวลาพอใจหรือถูกใจสิ่งไหน
“เราจะต้องเริ่มต้นใหม่ที่นี่ให้ได้ ต่อจากนี้ไปเราไม่ใช่เจ้าหญิงมู่หลาน แต่เป็นนางสาวมู่หลาน สามัญชนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
ฉันพูดกับตัวเองก่อนจะหันหลังกลับเพื่อไปสำรวจสถานที่อื่นๆ ในโรงเรียนแห่งนี้เพิ่ม แต่กลับชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
ปึก!
“โอ๊ย!” ฉันร้องเสียงหลงด้วยความตกใจทันทีที่ร่างล้มไปนั่งกองอยู่กับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น ตายแล้ว...ชุดเลอะหมดเลย
“.....” คนที่ฉันเดินชนยืนนิ่งอยู่กับที่ประมาณสามวินาที ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจฉัน อะไรกัน...ไม่มีน้ำใจกับสุภาพสตรีบ้างเหรอ
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ช่วยฉันหน่อย...ได้มั้ยคะ?” ฉันส่งมือไปข้างหน้าหวังจะให้เขาช่วยพยุง แต่เขากลับยืนนิ่ง ก่อนจะลดหนังสือในมือที่อ่านอยู่ลงข้างตัวแล้วค่อยๆ หันมา
ฉันเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายลงคออย่างตกใจเมื่อเขาหันหน้ามา นัยน์ตาน่าเกรงขามกับริมฝีปากบางเฉียบเรียบตึงทำให้ฉันเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์บางอย่าง ผมสีทองสว่างของเขาสะท้อนเข้าตาจนฉันต้องหลับตาเพราะไม่สามารถจ้องมองนานๆ ได้
“เจ้าชาย...”
“หา?” เขาร้องเสียงหลง ก่อนจะปัดมือฉันที่ยื่นไปให้ออก แล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้า
งดงามยิ่งนัก...ชายหนุ่มผู้นี้ช่างงดงามเหลือเกิน
“เธอ-เป็น-คน-ชน-ฉัน” เจ้าชายพูดเน้นทีละคำ ฉันพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะก้มหน้าลงลอบยิ้มกับตัวเองอย่างเขินอายที่เขาเข้าใกล้
“ท่าน...เอ่อ...คุณเรียนที่นี่เหรอคะ?”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบ ล้มเองก็ลุกเองละกัน”
เจ้าชายเอานิ้วจิ้มที่หน้าผากฉันเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินต่อไปโดยไม่หันมามองอีก ฉันมองตามหลังเขาไปด้วยหัวใจที่พองโตคับอก หรือว่านี่จะเป็น...รักแรกพบ เหมือนในนิทานที่เสด็จแม่เคยเล่าให้ฟังก่อนนอนตอนยังเด็ก
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ...เราก็พบเจ้าชายของเราแล้วสินะ!
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักผู้ชายตัวสูงๆ ผมสีทองมั้ยคะ” ฉันเอ่ยถามผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ยืนซื้อน้ำอยู่ เธอหันมามองฉันด้วยใบหน้างุนงงก่อนจะส่ายหน้า
“คนไหนล่ะยะ ผู้ชายตัวสูงๆ หัวทองที่นี่มีเกลื่อนไปหมด” เธอตอบเสียงแข็งก่อนจะหันกลับไปสั่งน้ำต่อโดยไม่สนใจฉันอีก
“เฮ้อ ฉันจะตามหาคุณได้จากที่ไหนกันนะคะ เจ้าชาย...” ฉันพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินแยกออกมาอีกทาง วันนี้ทั้งวันไม่มีใครเข้ามาคุยกับฉันเลยสักคนเดียว ฉันเข้าไปคุยกับใครก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้
“เราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวก็คงมีเพื่อนเอง”
ฉันยิ้มให้กำลังใจตัวเองก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ตามแบบฉบับเจ้าหญิง ที่เสด็จแม่ให้คุณครูมาสอนเรื่องกิริยามารยาทของชนชั้นสูงถึงตำหนัก
“เดี๋ยวคัดแยกโต๊ะที่ดีๆ ไปเก็บไว้ในโรงยิมก่อนนะ จะเอาไว้ใช้ในวันงานเทศกาล แล้วก็...เรื่องเครื่องเสียง เตรียมชุดใหญ่ไปเลย เพราะแขกมาเยอะ”
ฉันหยุดยืนฟังบทสนทนาที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยแต่อยากรู้ ก่อนที่นักเรียนชายสามคนจะพยักหน้ารับแล้ววิ่งแยกไปอีกทาง เหลือเพียงผู้ชายตัวสูงๆ ผมสีทองที่แสนคุ้นเคยยืนหันหลังอยู่
“เอ่อ...”
“หือ?” เขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของฉัน จะ...เจ้าชายนี่นา
“เจ้าชาย” ฉันเดินเข้าไปหาเขาที่ตัวสูงกว่ามาก ทำให้ต้องเงยหน้ามองเมื่อยืนใกล้ๆ อ๋อย...สูงชะลูดเลยนะเนี่ย อย่างกะยอดตึกแน่ะ
“เธอเป็นใคร -*-“ เขาขมวดคิ้วพลางมองฉันลอดแว่นตากรอบดำที่สวมอยู่ ฉันก้มหน้าลงอย่างเขินอายเพราะถูกเขาจ้องในระยะประชิด
“ฉันชื่อมู่หลานค่ะ คนที่ชนกับเจ้าชายเมื่อเช้าไงคะ” ต้องรักษาภาพลักษณ์หญิงงามเอาไว้...>///<
“เอ่อ...ฉันหมายถึงว่า...เขาดูเหมือนเจ้าชายน่ะค่ะ” ฉันแก้ตัว ก่อนจะค่อยๆ เขยิบตัวออกมาจากวงล้อมของพวกเขา เพราะรู้สึกเหมือนคนอื่นๆ จะจ้องมองมากเป็นพิเศษ
“อ๋อ เห็นมั้ยล่ะ! ฉันบอกแล้วว่าแกน่ะทำตัวเหมือนเจ้าชาย ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย!” ผู้ชายที่ดูอารมณ์ดีตลอดเวลาตะโกนเสียงดัง ก่อนจะถูกเจ้าชายของฉันตีหัวด้วยสันหนังสือที่ถืออยู่ในมือ
“แกน่ะหุบปากไปซะ ไปเหอะ อย่าสนใจยัยบ้านี่เลย” เจ้าชายพูดก่อนจะเดินไปทางประตูโรงอาหาร
“เดี๋ยวค่ะเจ้าชาย! ฉันขอทราบชื่อเจ้าชายได้มั้ยคะ?”
เจ้าชายหยุดยืนอยู่กับที่ ก่อนจะค่อยๆ เอี้ยวคอมาเล็กน้อย ทำให้ฉันเห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่แสนงดงามของเขาเท่านั้น
“ไป-ตาย-ซะ”
ฉันหลบมานั่งคนเดียวอยู่ที่หลังห้องชมรมอะไรสักอย่าง หลังจากที่รู้ความหมายของคำว่า “ไปตายซะ” ที่เจ้าชายพูด ทำไมเจ้าชายใจร้ายได้ถึงเพียงนี้นะ ทั้งๆ ที่ในนิทาน เจ้าชายทั้งอ่อนโยนแล้วก็อ่อนหวาน เป็นสุภาพบุรุษ คอยปกป้องดูแลเจ้าหญิงทุกอย่าง แต่ว่า...เจ้าชายที่ฉันพบกลับไม่ใช่แบบนั้น...
“ฮึก...ฮึก...” ฉันชันเข่าขึ้นมาแล้วฟุบหน้าลงร้องไห้ หรือเพราะตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นเจ้าหญิงแล้ว เจ้าชายถึงไม่สนใจฉัน หนำซ้ำยังไล่ให้ฉันไปตายอีก
“นึกว่าเจ้าหญิงที่ไหนมาร้องไห้ ที่แท้ก็เจ้าหญิงมู่หลานนี่เอง”
ฉันสะดุ้งอย่างตกใจก่อนจะค่อยๆ เงยหน้ามองต้นเสียง ไล่จากปลายเท้าขึ้นไปเรื่อยๆ
“คุณ...” ผู้ชายเจ้าของรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นนั่นเอง เขายืนอยู่ตรงหน้าฉันก่อนจะนั่งยองลงพร้อมกับส่งกระดาษทิชชู่มาให้
“เช็ดน้ำตาซะเจ้าหญิงมู่หลาน ^^”
“เอ๋? คุณรู้ด้วยเหรอคะว่าฉันเป็นเจ้าหญิง!” ฉันถามออกไปอย่างตกใจ ถ้าความแตกตั้งแต่วันแรกว่าฉันเป็นเจ้าหญิง เสด็จแม่ต้องทรงตามเจอและพาฉันกลับไปเข้าพิธีหมั้นแน่เลย ไม่เอานะ...
“เอ่อ...มันไม่ใช่ฐานะที่เธอต้องการจะเป็นหรอกเหรอ?” เขาถามกลับด้วยใบหน้างุนงง หรือเขาจะยังไม่รู้ว่าฉันเป็นเจ้าหญิง!
“อ๋อ...ใช่ค่ะ มันเป็นแค่ฐานะที่ฉันอยากจะเป็น” ฉันแก้ตัวก่อนจะรับทิชชู่จากเขามาซับน้ำตา
“พี่ชื่อบีไอนะ อยู่ ม.5 ยินดีที่ได้รู้จัก ^^”
“ฉันชื่อ...”
“หยุดๆ ไม่ต้องแนะนำแล้ว พี่รู้ว่าเธอชื่อมู่หลาน อยู่ ม.4” เขายกมือขึ้นห้ามฉันไม่ให้พูดต่อ น้ำตาที่ไหลพรากลงมาเมื่อครู่หายไปในทันทีเพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเขา
“หยุดร้องแล้วนี่ เก่งมาก ^^”
“ขอบคุณนะคะพี่บีไอ” ฉันพูดเสียงเบาอย่างเขินอาย ตรงนี้มีแค่ฉันกับพี่บีไอสองคนซะด้วยสิ แย่แน่ๆ ถ้าเป็นที่วังล่ะก็ พี่บีไอคงโดนลงโทษ และฉันก็คงโดนเสด็จแม่กักบริเวณโทษฐานที่มานั่งกันในที่ลับตาคน
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ พี่ถามอะไรเธออย่างหนึ่งได้มั้ย”
“ค่ะ ฉันยินดีตอบ” ฉันพยักหน้ารับ และคิดว่าจะตอบทุกคำถามของพี่บีไอ เพื่อตอบแทนที่เขาให้กระดาษทิชชู่แก่ฉัน แถมยังยิ้มอย่างใจดีให้ฉันตลอดตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
“เธอ...ชอบบีวายเหรอ?”
“เอ๋?”
“ไอ้คนที่เธอเรียกมันว่าเจ้าชายน่ะ”
ฉันก้มหน้าหลบตาพี่บีไอทันที เจ้าชายชื่อบีวายงั้นเหรอ... ชื่อแปลกจัง แต่ก็เพราะมากที่สุด...
“ว่ายังไง ชอบเพื่อนพี่ใช่มั้ย?”
“คือ...”
“พี่ไม่ว่าอะไรหรอก ที่ถามเนี่ย เผื่อเธอมีอะไรจะให้พี่ช่วย”
“พี่บีไอจะช่วยฉันเหรอคะ!” ฉันเงยหน้าขึ้นถามอย่างมีความหวัง ตามหลักแล้ว...ในนิทาน เจ้าหญิงจะต้องมีคนคอยช่วยเหลือเรื่องความรัก แบบนี้ก็แสดงว่า...พี่บีไอคือคนคนนั้นสินะ
“อื้อ ถ้าเธออยากให้พี่ช่วยล่ะก็นะ”
“อยากค่ะ ฉันอยากให้พี่ช่วย ฉันชอบเจ้าชาย ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พี่ได้โปรด...ช่วยฉันด้วยนะคะ” ฉันก้มหัวจรดพื้นเพื่อเป็นการขอร้อง พี่บีไอรีบดึงตัวฉันขึ้นจนหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงนิดเดียว
“.....” ฉันยังคงมองพี่บีไอด้วยรอยยิ้ม ต่างจากพี่บีไอที่ตาโตมองฉันเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง
“ทำไม...หน้าพี่แดงๆ ล่ะคะ? ไม่สบายหรือเปล่า” ฉันปัดมือพี่บีไอที่จับต้นแขนฉันไว้ออก แล้วยกมือขึ้นทาบกับหน้าผากเขาแทนเพื่อวัดไข้
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ...ปะ...เปล่าค่ะ พี่ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบพี่บีไอก็ลุกขึ้นเดินจากไปทันที