Episode-๐๖ เพื่อนสนิท

2107 คำ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเราสองคนก็กลายเป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด แต่ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าเราสองคนสนิทกัน ใช้คำนี้ก็คงจะได้แหละมั้ง และก็ตอบไม่ได้ด้วยว่าไปสนิทกันตอนไหน สนิทกันได้ยังไง คงจะเป็นดวงผีผลักมากกว่า “เธอส่งงานครบทุกวิชาหรือยัง” “...” ฉันเงียบและหรี่ตามองคนข้าง ๆ อย่างจ้องจับผิด ได้ยินคำพูดทำนองนี้ทีไรมักมีงานให้ฉันทำทุกครั้งเลย “อย่ามองแบบนี้สิเราแค่จะฝากส่งงานเฉย ๆ” เขาว่าพร้อมกับยื่นรายงานมาให้ฉันสองเล่ม “วิชาอะไร?” “ภาษาไทย เธอมีเรียนบ่ายนี่วางทิ้งไว้บนโต๊ะอาจารย์ให้หน่อยแล้วกัน” “นายก็เรียนชั่วโมงต่อจากเราไม่ใช่เหรอทำไมไม่ส่งเองล่ะ” “ไม่เข้าอะ น่าเบื่อ” “นิสัย!” “ดีแหละ ฝากด้วยนะขอบใจมาก” จบประโยคก็เดินหายไปทางหลังตึก คล้อยหลังเก้าฉันก็เก็บรายงานใส่กระเป๋าแถมก่อนเก็บยังแอบเปิดดูอีกด้วยนะคะ จะว่าไปก็เรียบร้อยอยู่แหละแม้ว่าลายมือจะอ่านยากไปหน่อยก็ตาม “เมื่อกี้คุยกับใคร?” ปูนาที่เพิ่งมาถึงเอ่ยถาม “ไม่มีนะ” “มีสิ เราว่าเราเห็นแวบ ๆ” “แต่เราอยู่คนเดียว” ปฏิเสธไปน้ำขุ่น ๆ เลยค่ะและก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นความลับ “เหรอ... สงสัยเราคงจะตาฝาดไป” พอถึงช่วงบ่ายฉันก็เข้าเรียนตามปกติค่ะกระทั่งหมดชั่วโมง “เราลืมของไว้ใต้โต๊ะน่ะรอแป๊บนะ” ฉันเอ่ยบอกปูนาที่ตอนนี้เราออกจากห้องเรียนกันแล้วแต่ว่ายังหาจังหวะส่งงานให้เก้าไม่ได้สักที “โอเคเรารอตรงนี้” หลังจากนั้นฉันก็กลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้งโชคดีที่ห้องสี่มันยังไม่มากันค่ะ รีบวางรายงานแล้วก็หันหลังเดินออกมาทันที อาจารย์พูดอะไรสักอย่างนี่แหละแต่ไม่ได้สนใจที่จะฟัง “มึงลืมอะไรสวย” เอ็กซ์ค่ะ มันชอบเรียกฉันแบบนี้ “ปากกาน่ะ” “นึกว่าลืมหัวใจไว้ใต้โต๊ะซะอีก” “โวะ!” “ฮ่า ๆ” วิชาต่อไปเป็นหมวดการงานอาชีพค่ะและต้องเดินอ้อมอาคารไปด้านหลังโน่นแหละ ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนฉันสังเกตเห็นว่าหลังตึกมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่และมีพี่มอปลายอยู่ห่างไม่ไกลกันมากนัก ก็ได้แต่ภาวนาในใจอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย... “บรรยากาศไม่ค่อยดีแฮะ” ปูนาพึมพำออกมาเมื่อพวกเรากำลังจะเดินผ่านคนพวกนั้น “...” ฉันแทบไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยนอกจากหันไปมองใครบางคนที่นั่งอยู่ เขาเองก็มองมาทางฉันเช่นกันแต่มันเป็นสายตาที่ต่างออกไป ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร “สวย! มึงเดินเร็ว ๆ ครับเหม่ออะไรอยู่” เอ็กซ์มันว่าพร้อมกับใช้สองมือดันหลังให้ฉันเดินผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด มาถึงอาคารเรียนจากตรงนี้มองไปบริเวณนั้นก็ยังพอมองเห็นอยู่ค่ะ พี่มอปลายคนหนึ่งเดินเข้าไปคุยอะไรสักอย่างแต่คงไม่ใช่เรื่องน่าฟังหรอกเพราะดูจากสีหน้าแล้วหาเรื่องกันชัด ๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ เก้าไปผลักเขาก่อน แค่เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างคือชุลมุนวุ่นวายไปหมด “กูว่าแล้วไง” “ว่าอะไรโบ เรื่องปกติของพวกมันอยู่แล้ว” แทบไม่ได้สนใจบทสนทนาของโบกับปูนาเลยด้วยซ้ำ ที่โฟกัสอยู่ตอนนี้คือใบหน้าอาบเลือดของใครอีกคนต่างหาก ไม่เข้าใจเลยว่าจะมีเรื่องอะไรกันนักหนา “เฮ้ย...” “...” “เฮ้ย!” เสียงของเอ็กซ์ทำเอาฉันสะดุ้งเลยทีเดียว “เอางานมาลอกหน่อย” “เรียกซะดังเลยตกใจหมด” “ขนาดเสียงดังมึงยังเหม่อเลยสวย ทำไม? สนใจใครในกลุ่มนั้นหรือไง” ไม่พูดเปล่ามันยังพยักเพยิดหน้าไปทางกลุ่มนั้นที่กำลังถูกฝ่ายปกครองควบคุมอยู่ด้วย “เพ้อเจ้อ! แค่อยากรู้ว่ามันจะมีเรื่องอะไรกันทุกวัน” “ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ เคยได้ยินไหม?” “มองหน้าก็ไม่ได้เหรอ” “ฮ่า ๆ ก็เหมือนมึงไงเวลาถูกคนอื่นมองน่ะ คนมองก็มีทั้งมองเฉย ๆ มองเพราะเกลียดมองเพราะสวยแตกต่างกันไปทั้งมุมมองทั้งความคิด ใครควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ตามนั้น” “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” “โธ่! กูพูดตั้งยาว” ... : ฮ่า ๆ ถึงเวลาเลิกเรียนฉันก็กลับประตูหลังอย่างเช่นทุกวันค่ะ แต่วันนี้ต่างออกไปตรงที่เก้าไม่ได้มารอ ก็แน่สิป่านนี้ยังไม่ออกจากห้องปกครองเลย กลับถึงบ้านก็ทำนั่นทำนี่ตามปกติ วันนี้พี่สาวฉันหยุดค่ะจึงไม่ต้องไปบ้านเขา “ไปเอาผักที่บ้านป้าให้แม่หน่อยสิ” “ป้าแป๋วอะนะ” “ใช่ ๆ แม่สั่งเขาไว้ป่านนี้คงเก็บเสร็จแล้วล่ะ” “บ้านเขาอยู่ตรงไหนเหรอแม่” “ตรงหมู่บ้านพี่เอ็งอะ มันจะมีซอยเล็ก ๆ อยู่ เข้าไปในนั้นเลาะเลียบคลองไปเรื่อย ๆ จะเจอสวนผักอยู่มีสวนเดียวแหละ บอกเขาว่าแม่ให้มาเอาจ่ายเงินแล้ว” “ขอค่าขนมด้วย จะแวะตลาดนัด” “ตลอดแหละ” “คิกคิก” “ขับรถดี ๆ นะ” “รู้แล้วจ้า” เหลือบมองนาฬิกาจะห้าโมงเย็นแล้วค่ะ ตั้งใจจะแวะตลาดก่อนแล้วค่อยไปเอาผักให้แม่ทีหลัง มาถึงตลาดก็เดินเลือกของกินอย่างสบายใจแต่มันรู้สึกแปลก ๆ ค่ะ เหมือนมีคนเดินตามอยู่ตลอด “...” “มาได้ไงอะ” เอ่ยถามพร้อมกับสำรวจบาดแผลบนใบหน้าไปด้วย “แผลเก่ายังไม่หายดีเลยเอาแผลใหม่เพิ่มอีกแล้ว” “เธออย่าบ่นสิ แล้วนี่มากับใคร” “มาคนเดียว แล้วนายอะเดินตลาดกับเขาด้วยเหรอ” “ไม่อะ แต่เห็นคนบางคนก็เลยลองเดินมาดูว่าจะใช่หรือเปล่า” “หืม?” จำได้ว่าตอนเข้ามาในตลาดฉันไม่เห็นใครนะ หรือว่าไม่ได้สังเกต “หิวอะ หาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ไม่รอให้ฉันได้ตอบแขนข้างหนึ่งก็ถูกรั้งให้เดินตามไปซะแล้ว สรุปก็ยังไม่ได้ถามอะไรมากนักแถมยังได้ของกินติดไม้ติดมือมาแทน ฉันไม่ได้จ่ายสักบาทเลยค่ะเพราะคนตรงหน้าจ่ายให้หมดทุกอย่างเลย “อยากได้อะไรอีกไหม?” “ไม่ล่ะ” “อืม เดี๋ยวไปส่ง” “เราเอารถมา” “นั่นแหละเดี๋ยวตามไปส่ง” “แต่เราต้องไปเอาของให้แม่ก่อน” “ก็ไปสิ” “...” ฉันไม่ได้ห้ามอะไรเมื่อคนตรงหน้ายืนกรานแบบนั้น ออกจากตลาดก็เข้าเลียบคลองต่อเลยค่ะ เส้นทางนี้มันคุ้นนะแต่ยังไม่ทันได้ประมวลผลความคิดคนที่ขับรถอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นซะก่อน “มาทำอะไรในซอยนี้เหรอ” “เอาผักให้แม่น่ะ” “ที่เป็นสวนอยู่ตรงทางแยกใช่ไหม” “น่าจะใช่นะ แม่เราบอกว่ามีสวนเดียว” “คราวหน้าถ้ามาเธอเข้าอีกทางนะ ทางนั้นมันจะใกล้กว่า” “ทางนี้ก็ใกล้นะ ไม่มีรถวิ่งวุ่นวายด้วย” “มันเปลี่ยว” “ไม่เห็นน่ากลัวเลย” “กลัวไว้บ้างก็ดี” “...” ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเถียงกลับหรอกนะก็แค่พูดไปตามสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง สองข้างทางมีแต่ทุ่งนากับลำคลองค่ะ นาน ๆ จะเจอบ้านคนสักหลังหนึ่งแถมยังมีไฟทางอยู่ตลอด ฉันเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวอะไร มาถึงสวนก็เกือบหกโมงเย็นแล้วเพราะมัวแต่เดินตลาดอยู่ไง “หนูมาเอาของที่แม่สั่งไว้ค่ะ” “จ้า แม่โทรมาบอกไว้แล้วล่ะ แล้วหนูมากับใครผักมันเยอะนะเพราะป้าแถมให้อีกถุงหนึ่ง” “มากับเพื่อนค่ะ” “ดีเลยจะได้ไม่ทุลักทุเล” สรุป! ผักของแม่นี่สองถุงเบ้อเริ่มเลยค่ะ ถ้าเก้าไม่มาด้วยฉันคงเอากลับไปไม่หมดแน่นอน “ไปได้ไหมเอาวางไว้ที่เราก็ได้” เก้าเอ่ยเมื่อเห็นถุงของฉันมันใหญ่กว่าของเขา “ได้ ๆ มันไม่หนัก” “ขับดี ๆ นะ” “บอกตัวเองเถอะ” “เราเก่งอยู่แล้ว” “เหอะ!” เรื่องไม่ยอมใครคงต้องยกให้เขาแหละ มาถึงบ้านแม่ก็ยืนรออยู่ก่อนแล้วค่ะ แถมยังฉีกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่ลูกสาวคนนี้แบกกองผักมหึมากลับมาได้ “หนูต้องได้ค่าจ้างเพิ่มแล้วล่ะ” “นิดหน่อยทำเป็นบ่น” “ไม่หน่อยนะแม่ โน่น! ที่เพื่อนหนูอีกหนึ่งถุง” ฉันว่าพลางชี้ไปที่เก้า “สวัสดีครับ” “จ้าลูก แม่สั่งถุงเดียวนะเพียงจันทร์” “ป้าเขาบอกแถมให้” “ตาย ๆ ให้มาซะเยอะเลยจะแกงขายทันไหมเนี่ย” แม่ฉันขายข้าวแกงค่ะ ส่วนพี่สาวเขาทำงานประจำกัน “อย่าเพิ่งกลับนะลูกอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน บ้านนี้มีกับข้าวเยอะแยะเลย” ประโยคหลังนี้เขาหันไปพูดกับเก้าค่ะ พอได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวถึงกับฉีกยิ้มขึ้นมาทันทีเลย “โธ่แม่! ทีเวลาหนูอยู่ทำไมถึงมีแค่ไข่เจียวกับแกงส้มล่ะ” ไม่ยอมค่ะ เรื่องนี้ต้องโวยวายนี่มันสองมาตรฐานชัด ๆ “อ้าว... เพื่อนสนิทลูกก็เหมือนลูกแม่อีกคนนั่นแหละเพราะถ้าไม่สนิทเอ็งไม่พามาบ้านหรอก” “...” ถึงกับเงียบปากลงค่ะเมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น กับคนอื่นก็สนิทแต่กลับไม่มีใครเอ่ยถึงบ้านฉันหรืออยากจะมาเที่ยวเล่นเลยสักคน “ใจคอจะไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยเหรอ” “โทษที ตามมาสิ” บ้านที่ฉันอยู่กับแม่มันติดคลองค่ะ ด้านหลังก็จะมีถนนเส้นเล็กวิ่งเลียบคลองได้เหมือนกัน เข้ามาในบ้านเก้าก็ตรงไปยันหลังบ้านทันที มองสำรวจไปรอบ ๆ แล้วหันมาพูดกับฉัน “เธอรู้ไหมว่าถนนเส้นนี้ไปสุดที่ตรงไหน” “ไม่อะ ไม่เคยไปสุดทางสักที” “ดีแล้วล่ะที่ไม่เคยไป” “ทำไมล่ะ?” “ไม่ต้องอยากรู้หรอก” “แล้วจะพูดให้อยากรู้ทำไม” พลางมองหน้ากันนิ่ง ๆ “กวนประสาทเธอไปอย่างนั้นแหละ” ระหว่างรอแม่ทำกับข้าวฉันก็ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาทำแผลให้คนตรงหน้า “ซี๊ด... เจ็บนะ” “สมน้ำหน้า! เราเห็นนะว่าไปผลักเขาก่อน” “ก็สมควรแล้วนี่” “มีเรื่องอะไรทุกวี่ทุกวัน” “ปกตินะ สังคมลูกผู้ชาย” “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แล้วเนี่ยเสื้อนักเรียนก็เปื้อนเลือดพ่อแม่นายไม่บ่นหรือไง” “ไม่หรอก ไม่มีใครสนใจขนาดนั้น” มือที่กำลังทำแผลชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มันเป็นน้ำเสียงที่ซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ไม่มิดเลยค่ะ “แม่เธอคนแรกเลยนะที่กล้าชวนเราเข้าบ้านและเป็นกันเองแบบนี้” “ทำไมเหรอ เพื่อนนายก็ออกจะเยอะแยะ” “ก็ใช่ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก” “...” “เพราะเราเป็นแบบนี้ไง เกเรมีเรื่องไปวัน ๆ ใครที่ไหนเขาอยากจะให้ลูกมาคบค้าด้วยล่ะ เขากลัวว่าเราจะพาลูกเขาเสียคนทั้งนั้นแหละ และที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราสองคนรู้จักกันก็เพราะแบบนี้ไง เราไม่อยากให้เธอถูกมองไม่ดีตามไปด้วย” “แต่...” “ไม่ต้องไปสนใจหรอกลูก มันไม่มีหรอกใครจะพาใครเสียคนน่ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น มีเพื่อนไม่ดีแล้วยังไง เราบังคับให้มันทำตามเราเหรอ? ก็เปล่า! ถ้ามันจะทำก็คือทำตามใจตัวเอง!! เห็นมาเยอะแล้วลูกฉันเป็นคนดีเนี่ย เอะอะอะไรเพื่อนพาไป โทษไปหมดแต่ไม่โทษตัวเองว่าดูแลเลี้ยงดูมาแบบไหน” ไม่รู้ว่าแม่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ คงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว แถมคำพูดยาว ๆ ของแม่ยังทำให้คนข้าง ๆ ฉันยิ้มออกมาอีกด้วย “ครับ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม