ชุติมานั่งปอกสัปปะรดอยู่ในบ้านพจน์ เธอนั่งปอกไปมองหน้ากัญญาภรณ์ที่นั่งกินผลไม้ด้วยท่าทางซังกะตายชุติมาเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
“พี่แพรตัดสินใจแน่นะ” กัญญาภรณ์มองหน้าคนถามพร้อมถอนหายใจ
“ฉันมีทางเลือกหรือไง” ตอบไปหน้าบึ้งไป หยิบสัปปะรดเข้าปาก
“มันก็จริง” คนพูดเห็นด้วยในข้อนี้ “อันที่จริงนายหัวสิงห์ก็เป็นคนดีนะ ถึงจะโหด จะเหี้ยม จะห่ามและปากไม่ดี คนงานทุกที่ที่นายหัวสิงห์คุมรักนายหัวทุกคนเลย”
“แกพูดอย่างกับรู้จักนายหัวสิงห์ดีงั้นแหละ ยกยอซะหน้าหมั่นไส้” กัญญาภรณ์ได้ยินชื่อว่าที่สามีตัวเองแล้วทำหน้าเบ้ อยากจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้
“ก็รู้จักตามที่เขาว่ากันมานี่แหละ เขาว่ามายังไงฉันก็ว่าตามนั้น”
“สงสัยหน้าตาคงดูไม่ได้แน่ๆ ถึงไม่มีคนเอา ความซวยเลยมาอยู่ที่ฉัน”
“ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่าใครจะซวยกันแน่” ชุติมาไม่กล้าพูดเสียงดัง เธอพูดเบาๆ เหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าให้กัญญาภรณ์ได้ยิน
“แกพูดว่าอะไรไอ้ยู ซวยๆ น่ะ” กัญญาภรณ์รีบถาม
“ว่าอะไรไม่ได้ว่าอะไรเลย กินต่อเถอะสัปปะรดวันนี้ฉ่ำอย่างที่พี่ชอบ” ชุติมาเปลี่ยนเรื่อง กัญญาภรณ์มองหน้าชุติมา ทำหน้าราวกับไม่เชื่อคำพูดของญาติผู้น้อง
“ฉันถามพี่หน่อยสิ ปกติพี่เป็นคนไม่ยอมใครนะ โดยเฉพาะมาบังคับอย่างนี้ แล้วพี่ยอมไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ง่ายๆ มันไม่ใช่นิสัยพี่นะ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลช่วยลุงกับป้าก็เถอะ” ชุติมาถามในข้อที่ตนสงสัย
“ฉันยอมตกลงไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเป็นเมียเขาจริงๆ นี่นา คอยดูเถอะได้เห็นฤทธิ์แม่บ้างจะอัดให้น่วมเลย” ชุติมานึกอยู่แล้วว่า มันต้องมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่ ไม่เช่นนั้นกัญญาภรณ์คงไม่ยอมง่ายๆ
“พี่จะทำอะไรนายหัวสิงห์ อย่าบอกนะว่าจะอัดเขาน่ะ” ชุติมาถามเสียงหลง
“จะบอกอะไรให้ นายหัวสิงห์ไม่มีวันเห็นขาอ่อนฉันย่ะ ฉันจะทำให้นายหัวสิงห์รู้ว่า เป็นผัวฉันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าฉันไม่ยอม อย่าหวังเลยว่าจะได้ฉันเป็นเมีย”
คนฟังเห็นความมุ่งมั่นจริงจังของกัญญาภรณ์แล้ว รู้ทันทีว่า
ชีวิตคู่กัญญาภรณ์กับนายหัวสิงห์จะมันหยดกันแค่ไหน คงได้ฆ่ากันตายตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอ ขณะที่ชุติมากำลังจะพูดประโยคต่อไป เสียงมือถือของกัญญาภรณ์ดังขัดจังหวะ เจ้าของเครื่องหยิบมือถือขึ้นมารับสาย
“ว่าไงชมพู่”
“ได้ๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” กัญญาภรณ์ตัดสายทิ้ง ลุกขึ้นเดินไปกุญแจรถที่วางอยู่หลังตู้เย็น ก่อนเดินกลับมาหาชุติมาที่ทำหน้างวยงง
“จะไปไหนพี่ แล้วใครโทรมา มีเรื่องอะไรอีกล่ะ” ชุติมาปล่อยคำถามเป็นชุด
“แกมากับฉัน เดี๋ยวเล่าให้ฟังในรถ”
“เก็บของก่อนพี่แพร” ชุติมารีบยกถาดสัปปะรดไปเก็บไว้ในตู้เย็น เปลือกสัปปะรดเทลงไปในถังขยะมัดปากถุงให้เรียบร้อยนำไปหย่อนในถังขยะ จากนั้นก็เดินตามกัญญาภรณ์ที่นั่งรอที่รถกระบะสี่ประตู“ไปไหนพี่แพร”
“ไปสนามบิน”
“ไปทำไมอ่ะพี่แพร ไปรับใครเหรอ”
“ไปรับเพื่อนพี่เอง นางบินมาตามผัว”
“ตามผัว”
“ผัวนางพากิ๊กมาเที่ยวกระบี่ไง นางก็เลยตามมา แต่มาลงที่นี่ผัวจะได้ไม่สงสัย ไม่คิดว่านางจะตามมา พอนางลงเครื่องปุ๊บก็โทรมาหาฉันปั๊บ ให้ฉันไปรับแล้วให้ฉันช่วยไปจัดการผัวกับกิ๊กไง”
ชุติมามองหน้ากัญญาภรณ์พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ กัญญาภรณ์สรรหาเรื่องใส่ตัวเหลือเกิน มาถึงบ้านเกิดวันแรกก็ไล่ชกคนร้ายกระชากสร้อยทอง มาอีกวันกำลังไปจัดการกับผัวและกิ๊กของเพื่อน ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ แต่ชุติมาก็ไม่ได้ขัดหรือห้าม เพราะรู้ดีว่า ห้ามไม่ได้ กัญญาภรณ์ตั้งใจทำอะไรต้องไปให้สุดทาง
………………………………
19.30 น. ณ จังหวัดกระบี่
รถกระบะสี่ประตูจอดอยู่ในลานจอดรถของผับบูมเมอแรง ผับชื่อดังกลางเมืองกระบี่ ที่วันนี้เป็นวันเสาร์ลูกค้าจึงแน่นกว่าทุกวัน ผับแห่งนี้เป็นผับที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด แบ่งออกเป็นสองโซนตามความชอบของลูกค้า เดินเข้ามาในผับจะพบกันโซนแรกที่มีโต๊ะสำหรับรองรับลูกค้าได้มากกว่าห้าสิบโต๊ะ หากมีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะจะเกิดการเบียดเสียดกันมาก ยามที่ทุกคนลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะดนตรี ก็เหมือนกับปลากระป๋องดีๆ นี่เอง
ชั้นสองจึงเหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแต่อยากดื่มด่ำความสนุกสนานจากเสียงเพลงชั้นล่างนั่งดื่ม นั่งสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ลูกค้าหรือคนรัก โซนชั้นสองจะมีโต๊ะนั่งราวยี่สิบโต๊ะ ระยะห่างแต่ละโต๊ะราวสองเมตร โซนนี้ค่าใช้จะสูงกว่าโซนล่าง ลูกค้าที่มาใช้บริการจัดอยู่จำพวกคนมีเงิน หรือมีกำลังเงินพอสู้ไหว
คนที่ทำหน้าที่ขับรถเพ่งมองไปยังประตูเข้าผับนิ่ง นิ้วมือข้างขวาเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะ หันมามองรุ่งทิวาหรือชมพู่ เพื่อนสนิทที่คบหากันมานานสิบกว่าปี ก่อนหันไปมองประตูผับที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา
“แน่ใจนะว่าพี่เต้อยู่ที่นี่” กัญญาภรณ์ถามรุ่งทิวา
“ก็จีพีเอสที่แอบติดไว้ในมือถือมันบอกว่า ผัวฉันอยู่ที่นี่”
“แล้วจะเอายังไง จะนั่งเฝ้าตรงนี้รอให้มันออกมาหรือว่าจะลุย”
กัญญาภรณ์รู้เรื่องความเจ้าชู้ของธีรยุทธ์ดีว่าอยู่ระดับใด จับไม่ได้ไล่ไม่ทันตลอด พอจับได้ก็หายเจ้าชู้ไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ออกลายอีก รุ่งทิวาแต่งงานกับสามีมาห้าปี ทนความเสียใจมาตลอด ซึ่งกัญญาภรณ์ไม่เข้าใจเพื่อนรักว่าเหตุใดต้องทนให้ธีรยุทธิ์สูบเลือดสูบเนื้อเหมือนปลิงเช่นนี้ เป็นเธอหน่อยไม่ได้ จะฟาดหัวให้แบะแล้วเฉดหัวออกจากบ้านไปตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่ามีผู้หญิงคนอื่น ไม่ทนเจ็บปวดหัวใจมาจนถึงตอนนี้แน่
“ฉันยังไม่แน่ใจ” รุ่งทิวาตอบ
“ถ้าแกไม่แน่ใจอย่างนี้ แกจะถ่อมาที่นี่ทำไม นอนเจ็บปวดหัวใจอยู่กรุงเทพก็ได้ ไม่ต้องเสียเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ไม่ต้องทำให้ฉันลำบากไปด้วย จะเอาไงก็ว่ามา” กัญญาภรณ์ชักเริ่มหงุดหงิด “ผัวแบบนี้แกจะทนอยู่ทำไม อยู่ไปก็มีแต่เจ็บช้ำ มันเคยเห็นแกเป็นเมียไหม เห็นแกเป็นธนาคารมากกว่า คิดจะถอนตอนไหนก็ได้ แกก็ประเคนให้ มันถึงได้เหลิงไงล่ะ ทำตัวเหี้ยๆ โดยไม่ถึงใจแก ส่วนแกก็โง่ รักคนเหี้ยจนโงหัวไม่ขึ้น เรียนมาสูงซะเปล่า ไม่มีสมองคิด ทนเจ็บปวดอยู่ได้”
รุ่งทิวามองหน้ากัญญาภรณ์ที่สวดยาว เธอไม่โกรธเพื่อนกับคำเตือนเพราะมันคือเรื่องจริง เธอรักธีรยุทธ์มาก รักมากกว่าตัวเอง เขาเข้ามาออดอ้อนขอโทษก็ใจอ่อนยอมยกโทษให้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง
“ที่ว่าฉันไม่แน่ใจหมายถึงไม่แน่ใจว่าจะเลิกกับมันเอง หนีมันไปไกลๆ หรือว่าจะให้มันสมัครใจเลิกด้วย แต่ฉันว่าอย่างหลังน่าจะดีกว่า เพราะถ้าฉันหนีมัน มันก็ต้องตามหาฉันอยู่ดี ถ้ามันสมัครใจเลิกกับฉันทุกอย่างมันก็จบ”รุ่งทิวาบอกให้เพื่อนเข้าใจ “ฉันเจ็บซ้ำๆ มาหลายครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่เคยเห็นคุณค่า ไม่เห็นความรักที่ฉันมีให้มัน ฉันก็ไม่โง่รักมันอีกต่อไป คราวนี้ฉันเอาจริง ฉันอยากเป็นอิสระจากมันสักที”
“แกเอาจริงแน่เหรอ ฉันเห็นแกเอาจริงมาหลายครั้งแล้วนะ” กัญญาภรณ์ไม่อยากเชื่อเนื่องจากรุ่งทิวาพูดเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
“ครั้งนี้เอาจริง มันขอเงินฉันหมื่นห้าบอกว่าจะเยี่ยมแม่ แต่มาเที่ยวกับผู้หญิง ฉันไม่อยากเป็นคนโง่อีกต่อไป ทำงานงกๆ ก็เอามาให้มันผลาญกับผู้หญิงทำไม ผลาญกับฉัน ฉันไม่ว่าเลย ฉันอยากจับมันแบบคาหนังคาเขา มันจะได้แก้ตัวไม่ได้” รุ่งทิวาคิดว่า ตนเองโง่มาพอแล้ว ถึงเวลาทำให้ตัวเองเป็นอิสระจากผู้ชายที่ไม่เห็นค่าในตัวเธอเสียที
“มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนฉัน” กัญญาภรณ์ยิ้ม “ไป...ลุย”
ทั้งสามพากันก้าวออกจากรถ ก้าวเดินไปยังตัวผับเพื่อจัดการกับผัวจอมเจ้าชู้ของรุ่งทิวา แบบจะๆ สองตา มัดคนเจ้าชู้ให้อยู่หมัด รุ่งทิวาถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากกัญญาภรณ์ที่อยู่ตรังพอดี