รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาเทียบจอดแถวบริเวณหน้าตึกสูงสิบชั้น ย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งหอพักสำหรับนักศึกษา แน่นอนว่าตึกหลังนี้เป็นตึกค่อนข้างราคาเช่าต่อเดือนแพงระยับ เพราะว่าค่อนข้างมีระบบรักษาความปลอดภัยสูงและยังค่อนข้างเป็นส่วนตัว
ทางฝั่งคนขับปรากฏร่างเพรียวระหงของสาวใหญ่ที่ยังคงความงดงามไว้โดยไม่มีขาดตกบกพร่อง กมลาสวมแผ่นตาดำ เดินฉีกยิ้มกว้างอ้อมหน้ารถสวมกอดร่างหนากำยำขึ้นทุกๆปี เธอแตะผิวแก้มใสของลูกชายตัวแสบอย่างรักใคร่ แล้วกดปลายจมูกหอมเสียงดังฟอดใหญ่ทั้งซ้ายและขวา กรกนกก็ทำเช่นนั้นตอบกลับมารดาด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติอย่างไม่เคอะเขิน
“รอแม่นานไหมกร พอดีมีอุบัติเหตุก่อนจะถึงสี่แยกไฟแดง...แม่เลยต้องเสียเวลารอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเขาเคลียร์พื้นที่อยู่ตรงนั้นเป็นนานเลย ขยับรถไปไหนก็ไม่ได้ มันติดไปหมด...”
“ไม่นานหรอกครับแม่ กรเองก็เพิ่งกลับมาจากทำธุระที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน” เขาบอกแม่แล้วโอบไหล่ให้แม่เดินมานั่งฝั่งผู้โดยสารแทน
“เดี๋ยวผมขับให้แม่นั่งสบายๆเองครับ” บอกแล้วเดินอ้อมมายังฝั่งคนขับ พลันหางตาข้างหนึ่งสะดุดเข้ากับใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ
เหมือนเขาจะเห็นงามเด่นยืนจ้องเขาอยู่แวบๆตรงหลังเสาไฟ กรกนกเพ่งสายตามองกลับไปยังจุดนั้น คิ้วเรียวยาวดกหนาขมวดเข้าหากันมุ่นเพราะเขามองไม่เห็นเจ้าหล่อน หรือเขาจะตาฝาดไปเอง...
กรกนกไหวไหล่พลางมุดร่างสูงของตัวเองเข้านั่งประจำที่คนขับ เขาหันมองมารดาเล็กน้อย เช็กว่าท่านคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วหรือยังก่อนจัดการสตาร์ทรถ บังคับพวงมาลัยขับออกจากตรงลานจอดรถหน้าตึกหอพัก...
งามเด่นก้าวออกมาจากจุดซ่อน เจ้าตัวผ่อนลมหายใจยาวเหยียด รู้สึกโล่งอกไปที เกือบถูกจับได้เสียแล้วไหมล่ะเรา...
ครั้นชะเง้อคอมองจนไม่เห็นท้ายรถยนต์ราคาคงหลักเฉียดสิบล้าน งามเด่นก็เดินเอื่อยมาจนถึงป้ายรถประจำทาง ร่างกลมกลึงขยับหลีกเพื่อนร่วมเดินทางที่พากันยืนแออัด บ้างก็พากันเดินสวนกันไปมา ปลายจมูกโด่งรั้นได้กลิ่นเหงื่อไคลด้วยเพราะอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว แล้วไหนยังเป็นช่วงเวลาเร่งรีบสำหรับการเดินทางกลับเข้าบ้านของแต่ละคนอีก
งามเด่นได้แต่นึกอิจฉาคนมีรถคันหรูขับ ได้นั่งตากแอร์เย็นฉ่ำสบาย เธอสูดลมหายใจลึกดวงตาเลื่อนลอย ลองจับหน้าอกด้านซ้าย ทำไมมันถึงได้รู้สึกโหวงเหวงชอบกล ...
-----------------------------------
สองแม่ลูกต่างพากันเดินควงแขนขึ้นบันไดเลื่อนมาจนถึงชั้นรวมของบรรดาร้านอาหารหลากหลาย แม้ต้องเสียเวลาฝ่ารถติดกว่าจะผ่านมาได้แต่ละสี่แยกไฟแดงไม่ใช่เรื่องง่าย หากกลิ่นของความหรูหราก็ทำให้กมลาหายเบื่อหน่ายเป็นปลิดทิ้ง
เธอรู้สึกคุ้มค่ากับที่ต้องทนหงุดหงิดก่อนเดินทางมาถึง...
“มีคนแอบนินทาเราด้วยจ้ะ”
เจ้าตัวหัวเราะชอบใจตอนกระซิบบอกลูกชาย บังเอิญเธอเหลือบสายตาปะทะเข้ากับสายตาบางคู่ที่ทำท่ากำลังจ้องนินทามาทางนี้อยู่พอดี คงจะเข้าใจกันผิด คงคิดว่าเธอควงหนุ่มน้อยมาเดินห้างสรรพสินค้าเป็นแน่...
“คุณแม่ยังไม่ชินอีกหรือครับ ส่วนผมชินเสียแล้วล่ะครับ...”
“ชินสิ แต่แม่ว่ามันดูตลกดี”
“ก็คุณแม่ของผมสวย แถมยังหน้าเด็กกว่าอายุจริงตั้งเยอะ“ และตัวเขาก็ได้จุดเด่นของแม่มาชนิดครบครันเสียด้วย
“เอ...ลูกชายแม่ปากหวานแบบนี้ อยากได้รางวัลพิเศษอะไรหรือเปล่า”
กมลาดักคอด้วยสีหน้าแช่มชื่น เธออารมณ์ดีมากกว่าเดิม เหตุเพราะก่อนขับรถไปรับลูกชาย เธอเพิ่งโทรนัดหมายเจอกับมิ่งขวัญ พรุ่งนี้เย็นอนุต้องพาลูกค้าซึ่งบินมาดูงานทานข้าว แล้วเลยพาไปเลี้ยงต้อนรับยังไนต์คลับ กว่าเขาจะกลับเข้าบ้านคงดึกมาก เธอมีเวลาหลายชั่วโมงสำหรับตักตวงความสุขให้ตัวเอง เพียงแค่นึกถึงโพรงอกเธอก็รู้สึกหวามหวั่น
“คุณพ่อมาถึงแล้วครับนู่น...”
อนุส่งสัญญาณด้วยการโบกมือให้เมียกับลูกชาย ทั้งคู่จึงตรงเข้าไปหา ก่อนจะพากันเดินเข้าร้านอาหารชื่อดัง อนุเดินเข้าไปโอบไหล่ภรรยาคงงามที่ถูกขนาบด้วยลูกชายตัวสูง ภาพนั้นชวนดึงสายตาของคนโดยรอบอย่างอัตโนมัติ เป็นภาพครอบครัวแสนอบอุ่นอย่างน่าอิจฉา...
--------------------------------------
งามเด่นมองหาที่นั่งพักขาได้ตรงแถวบริเวณหน้าศูนย์ร้านอาหาร จัดการวางกระเป๋าสัมภาระหนักอึ้งไว้บนเก้าอี้ด้านข้าง ก้มหน้าควานมือหากระดาษเปียกในกระเป๋าพร้อมกับจัดการเช็ดหน้าเช็ดตาให้รู้สึกสดชื่น จนรู้สึกคลายอาการเมื่อยขาทั้งสองข้างมาหน่อย แต่บ่าทั้งสองข้างก็รู้สึกปวดจนคล้ายกับเป็นตะคิว งามเด่นยกมือทุบๆปากก็เอาแต่บ่นพึมพำ
“อย่าสำออยไปหน่อยนักเลยยายเด่น เธอไม่ใช่ลูกคุณหนูมาเกิดเหมือนกับ...” งามเด่นชะงักคำบ่นพร้อมกับถอนหายใจยาว
อีกแล้ว...ทำไมต้องไปนึกถึงแต่หมอนั่นด้วยก็ไม่รู้
เพราะนอกจากต้องแบกสังขารมาให้ถึงที่นัดหมาย บนบ่าเธอยังต้องทนแบกปึกเอกสารจำนวนหนึ่งมาด้วย งามเดนรับจ้างตรวจความถูกต้องของตัวอักษรในเอกสารสัญญาให้กับพี่ชายต่างบิดา เธอรับมาทำเป็นงานอดิเรกพอได้ค่าขนมในแต่ละเดือน ปกติพี่มิ่งขวัญต้องขับรถไปรับเอกสารที่หน้าหอ วันนี้เขาติดธุระบอกว่าให้เธอช่วยนั่งรถประจำทาง หอบเอาเอกสารมาส่งคืนเขาที่นี่ แล้วจะเพิ่มค่าเหนื่อยพร้อมกับเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่
คนเห็นแก่เงินแล้วก็เห็นแก่กินพอสมควรรีบรับปากโดยไม่อิดออด เธอไม่เลือกนั่งแท็กซี่ เพราะคำนวณค่ามิเตอร์คงไม่น่าคุ้มกับเงินค่าจ้าง...เผลอๆเธอจะขาดทุนเอาเสียด้วย ดังนั้นงามเด่นจึงเลือกนั่งรถประจำทาง...คิดว่าทนเบียดเอาหน่อยประเดี๋ยวก็ถึง ขนาดเผื่อใจว่าจะต้องเหนื่อยมันก็ยังอดบ่นไม่ได้...
ครั้นพอได้นั่งพักขาจนหายเหนื่อย เธอจึงล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาพี่ชาย มิ่งขวัญยังขับรถมาไม่ถึงแต่ก็ใกล้มากทีเดียว เขาจึงให้เธอเดินขึ้นไปรอยังชั้นบนซึ่งเป็นโซนของร้านอาหารโดยเฉพาะ
งามเด่นหาที่นั่งใกล้กับทางขึ้นของบันไดเลื่อน รอสักพักมิ่งขวัญก็เดินมาหา เขายีหัวน้องสาวคนสุดท้องแสดงอาการทักทาย งามเด่นที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆถึงกับสะดุ้ง เผลอปัดมือของพี่ชายทิ้ง
“พี่มิ่งทำไมชอบเล่นหัวน้อง ประเดี๋ยวก็ได้ฉี่รดที่นอนกันปะไร”
เธอบ่นเขาเสียงกระเง้ากระงอด ทำให้มิ่งขวัญคลี่ยิ้มกว้าง นึกเอ็นดูน้องคนนี้มากกว่าอีกคน รายนั้นชอบสร้างแต่เรื่องปวดหัว
“โตเป็นสาวขนาดนี้ยังจะฉี่รดที่นอนเหมือนตอนเด็กๆอีกหรือไงฮะเรา คุณน้าคงปวดหัวแย่ที่มีลูกสาวอย่างเธอ...”
ความสัมพันธ์ระหว่างสามคนพี่น้อง งามเด่นค่อนข้างสนิทสนมกับมิ่งขวัญมากกว่างามละเมียด พี่ชายที่อายุห่างกันพอสมควร ทำให้งามเด่นรู้สึกเกรงอกเกรงใจเขาเป็นพิเศษ อีกอย่างพี่มิ่งขวัญก็ไม่เคยทำตัวโอ้อวดพูดจาทับถมเธอเหมือนกับพี่สาว รายนั้นไม่รู้เป็นยังไงชอบโทรมาข่มเธออยู่เรื่อย
“ใครว่า เด่นคือความภูมิใจของพ่อต่างหากละ...”
“เอาละๆ พี่ไม่อยากเถียงด้วยหรอก แล้วไหนล่ะ งานของพี่”
“นี่ค่ะ...พี่มิ่งลองตรวจดูความเรียบร้อยอีกทีก็แล้วกันนะ แต่เด่นรับรองว่าเรียบร้อยทุกกระบวนการ”
เธอปลดสายกระเป๋าผ้าบนบ่าส่งให้พี่ชายนำไปถือแทน เขาพยักหน้ารับมันมาถือไว้ราวกับมันเบาโหวง
“ไปเถอะ...”
ความหล่อเหลาที่มาพร้อมกับรูปร่างราวกับนายแบบ ช่วยเรียกสายตารอบข้างให้เมียงมองมาด้วยความสนใจ งามเด่นทำทีเป็นเชิดหน้าเดินกระแซะเข้าใกล้คนหล่อ แน่นอนละว่าสายตาหลายคู่มองมาด้วยความอิจฉา บางคนถึงกับแอบทิ้งสายตาหวานเชื่อมผ่านมาทางเธอ แล้วทะลุผ่านไปให้ถึงใครอีกคนที่ดูเหมือนว่าชอบนัก...กับการบริหารเสน่ห์ของตัวเอง
งามเด่นค้อนควักด้วยความรู้สึกหมั่นไส้...นี่ก็อีกคนไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยครีมทาหน้าหรือไง ถึงได้เกิดมาหน้าตาดีกว่าเธอที่เป็นผู้หญิง
“วันหลังช่วยแต่งตัวให้มันดูเบากว่านี้หน่อยก็ดีนะพี่มิ่ง เด่นละเบื่อแม่พวกสาวๆทั้งหลาย ตางี้...แทบจะถลนออกมานอกเบ้า”
มิ่งขวัญเลิกคิ้วแล้วก็หัวเราะ เขาดึงร่างกลมกลึงของน้องสาวมาโอบไว้หลวมๆ ก่อนจะพากันเดินมายังร้านอาหาร
“เข้าร้านนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้พี่หิวจนแสบท้องไปหมด กว่าจะตกลงธุระกันเสร็จ เหนื่อยแทบตาย” งานเหนื่อยเงินก็ได้น้อยแต่เขาก็ยังต้องอดทนทนทำเพราะไม่อยากให้ความลับแตก
“เชิญเจ้ามือเดินนำก่อนเลยค่า...”
พี่ชายเธอหมุนตัวเดินเลยร้านที่งามเด่นคิดว่าเขาจะพามาเลี้ยง มันเป็นร้านอาหารที่เคยได้ยินชื่อแถวอนุสาวรีย์ และมีหลายสาขาในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารที่มิ่งขวัญเดินนำเข้ามา มันดูหรูหราราคาคงแพงหูฉีก พอก้มมองการแต่งตัวเหมือนกับเด็กกะโปโลงามเด่นเลยต้องรั้งแขนของมิ่งขวัญให้หยุดเดิน
“เดี๋ยวก่อนสิพี่มิ่ง...”
เขาหันมาส่งสายตารำคาญ...
“จะกินข้าวร้านนี้จริงๆเหรอ เด่นว่ามันไม่เหมาะกับพวกเราละมั้ง”
เอาเถอะ...หมายถึงเธอคนเดียวก็ได้ ในเมื่อพี่มิ่ง ถ้าสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่มีตรงไหนเฉียดเข้าใกล้คำว่าปอน เสื้อเชิ้ตที่สวมดูก็รู้ว่ามันมียี่ห้อ กางเกงกับรองเท้าก็ไม่ใช่ของตลาดนัดแน่ๆ พอทุกชิ้นมันแขวนอยู่บนตัวเขา แน่นอนว่าไม่ต่างจากนายแบบกำลังเดินเที่ยวห้าง
“อย่าเรื่องมากน่ายายเด่น...พี่เลี้ยงอะไรก็กินๆเข้าไปเถอะ จะได้โตไวไวทำงานหาเงินเลี้ยงคุณน้าได้เร็วๆอย่างที่เด่นต้องการไง”
“เอางั้นเหรอ...”
“อืม...เอางี้แหละ ร้านไหนก็เหมือนกัน เรามีเงินจ่ายไม่ได้มาขอเขากินเสียหน่อย คิดมากทำไมยายน้องบ้านคนนี้...”
“ก็ได้ค่ะ...”
คนรับคำเดินก้มหน้าก้มตาตามแผ่นหลังกว้างเข้ามาภายในร้านหรูหรา ข้างในมีการเปิดเพลงบรรเลงคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศให้ดูโมเดิร์นจนงามเด่นหดตัวเหลือนิดเดียว เครื่องปรับอาการด้านนอกที่ว่าเย็นยังต้องยอมแพ้ให้กับความเย็นด้านในเลยด้วยซ้ำ พนักงานบริการในชุดฟอร์มเก๋ไก๋เข้ามาทำความเคารพ สอบถามว่าต้องการกี่ที่ งามเด่นฝืนยิ้มส่งให้ พยายามกดความประหม่าภายในใจให้ลดน้อยลง ถึงอย่างนั้นงามเด่นก็ไม่กล้ากวาดตามองรอบตัวหรอก เธออายเครื่องแต่งกายออกปอนๆของตัวเอง...
ต่างกับมิ่งขวัญ รายนี้ดูจะคล่องแคล่วไม่ประดักประเดิด
เขาเดินตามหลังพนักงานต้อนรับสาวด้วยท่วงท่ามั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม พนักงานท่าทางสุภาพพาทั้งเขาและงามเด่นมาจนถึงโต๊ะอาหารริมผนังด้านในสุด มิ่งขวัญเอี้ยวหน้าลงมองน้องสาวคนละพ่อแล้วก็ได้แต่นึกขำ
“นั่งสิยัยบ๋อง แล้วก็ช่วยเลิกทำหน้าราวกับตัวตลกสักที พี่อายคนอื่นเขานะรู้ไหม” เขาส่งเสียงดุไม่จริงจัง พลางดันไหล่ให้น้องสาวนั่งลงยังเก้าอี้นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนตัวเดินอ้อมมานั่งยังฝั่งตรงข้าม เอื้อมรับเมนูอาหารมาเปิดสั่งด้วยน้ำเสียงคล่องแคล่ว
“รับแค่นี้ก่อนครับ” เขาส่งเมนูคืนพนักงานเสิร์ฟ เงยหน้าขึ้นมองแม่น้องสาวสุดเชย พลางส่ายหัวระอา
“จะตื่นเต้นอะไรนักหนาฮะเรา จะร้านอาหารแบบไหน มันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ก็แค่สั่งอาหารที่เราอยากกินตามเมนูที่เขายื่นให้ พออาหารมาเสิร์ฟเราก็แค่ตักกินเข้าทางปาก ไม่ได้ให้ลอยตัวกินสักหน่อย” คนถูกสอนมองค้อนตาคว่ำ
“พี่มิ่งก็พูดได้สิ ดูชุดที่เด่นใส่เข้าร้านอาหารหรูระดับนี้ มันดูได้เสียที่ไหน” น้องสาวทำหน้าบึ้ง
“ถ้าไม่ได้แก้ผ้ามาก็ไม่เห็นต้องอายใคร”
ครั้นพอมิ่งขวัญเอนหลังพิงพนักเบาะ รออาหารมาเสิร์ฟ พลันสายตาของเขาเหมือนกำลังถูกสายตาจากโต๊ะไม่ไกลจับจ้องมา ชายหนุ่มเลยเบี่ยงนัยน์ตาคมกล้ามองไปยังจุดนั้น นิ้วเรียวกระดิกพร้อมกับดวงตาทรงเสน่ห์หลุบลงต่ำ
ลูกค้ากระเป๋าหนักนั่งอยู่กับครอบครัวของเจ้าหล่อน พรุ่งนี้เธอโทรมานัดหมายเขาในช่วงเย็น แต่เขาก็มีความเป็นมืออาชีพพอ โดยที่ไม่แสดงท่าทางผิดปกติ...
กมลาเองยังนึกหวั่นใจในตอนแรก อารมณ์อิ่มเอมใจเกือบมอดดับในทันทีที่สายตาเธอปะทะเข้ากับผู้ชายใต้สังกัด ก็คนมันมีชนักปักอยู่กลางหลัง ถึงต่อให้หัวใจโหยหาความสุขจากสิ่งบำรุงบำเรอสักแค่ไหน หากในวินาทีนี้เธอไม่อาจแลกมันด้วยความอบอุ่นของครอบครัว...
แต่ดูเหมือนมันจะไม่รอดพ้นสายตาของพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวน...
กรกนกนิ่วหน้า พร้อมกับตั้งคำถามที่ช่วยดึงสายตาของคนเป็นพ่อหลุดออกจากหน้าจอโทรศัพท์
“คุณแม่เจอคนรู้จักหรือครับ”
“ใครหรือที่รัก...”
คนถูกสงสัยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เจ้าตัวโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ใช่...
“ไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัวหรอกค่ะคุณ... แค่คนหน้าคล้ายที่แม่เคยรู้จักเท่านั้นเองจ้ะลูก ก็เลยเผลอมองนานหน่อย...” ท้ายประโยคเธอเอี้ยวตัวมาตอบลูกชายที่นั่งอยู่เคียงกัน ก่อนแสร้งยกแก้วน้ำเย็นขึ้นจิบ หลุบนัยน์ตากังวลมองเพียงผ้าคลุมโต๊ะสีสวย
ลูกชายเธอขานรับคำสั้นๆในลำคอ “ครับ”
กรกนกพยักหน้าลงกลายๆ หากภายในใจเขากลับสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างระหว่างพ่อกับแม่ เขาว่ามันแปลกๆไม่เหมือนเดิม มันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นตอนเขาไม่อยู่บ้าน จากปกติบนโต๊ะอาหารที่เคยมีแต่เสียงพูดคุยหยอกล้อ มาวันนี้กลับดูเงียบงันปราศจากคำสนทนาอย่างที่เคย ทั้งที่อย่างน้อยๆพ่อต้องเล่าเรื่องภายในบริษัทให้เขาฟัง ส่วนแม่ก็จะพลอยเออออตามไปกับพ่อทุกๆเรื่อง มาตอนนี้อีกคนก็เอาแต่นั่งจ้องไปยังโต๊ะตัวด้านหน้า ส่วนอีกคนก็เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับหน้าจอมือถือ...
กรกนกสั่งตัวเองไม่ให้คิดมาก เขาโตพอจะไม่มานั่งจับผิดคนในครอบครัวตัวเอง แต่มันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ เขาจึงลองเพ่งสายตาตรงไปยังโต๊ะริมผนัง เขาเห็นหน้าตาของผู้ชายชัดเจน แต่กับผู้หญิงเขาเห็นเพียงแผ่นหลังบอบบาง กับทรงผมมัดสูงเผยให้เห็นต้นคอระหง ถ้าจะไม่ทำให้หัวใจเขากระตุกเลยเมื่อกรกนกคุ้นเคยกับบุคลิกเจ้าของแผ่นหลังนั่นพอสมควร...
ทำไมเหมือนกับ งามเด่น...
---------------------------------