ภายในห้องที่ถูกจัดไว้อย่างสวยหรู หากไม่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ติดไว้ที่หัวเตียงมันก็ไม่ต่างกับโรงแรมระดับห้าดาว ในห้องถูกตกแต่งอย่างสวยงามพร้อมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นที่คล้ายห้องนอนมากกว่าห้องคนไข้ เธอสังเกตว่าอีกด้านของห้องมีทางเดินและเดาว่าน่าจะเป็นห้องรับแขกหรืออาจเป็นห้องครัว ร่างสูงใหญ่ยังหลับอยู่บนเตียง ขาข้างที่ผ่าตัดใส่เฝือกยาวจากปลายเท้าถึงต้นขา
น่าแปลกใจไม่น้อยที่คนร่ำรวยอย่างเขากลับไม่มีใครมาเยี่ยมหรือมาเฝ้าสักคน หรือบางทีอาจเป็นความต้องการของเจ้าของไข้ที่ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน หญิงสาวเดินมาหยุดที่เตียง เธอมองสำรวจร่างกายภายใต้ผ้าห่มหนานุ่มสีขาวสะอาด ปัญหาของเขาคงอยู่ที่ขาข้างที่ยังมีเฝือก เพียงธารสังเกตว่าข้างเตียงยังมีวอล์กเกอร์สำหรับใช้พยุงเดิน นั่นหมายความว่าเขาสามารถลุกเดินได้แล้ว
เพราะมัวแต่สนใจขาข้างที่เจ็บ เมื่อเลื่อนสายตากลับมาที่หน้าคมเข้มของเขาอีกครั้ง เพียงธารก็พบว่าเขาลืมตามองเธออยู่ก่อนแล้ว เธอสบตาเขาอย่างจัง ต่างคนต่างสำรวจและค้นหาอีกฝ่าย เพียงธารเองก็ถึงกับใบ้กินด้วยยังไม่ได้เตรียมใจให้ดีพอที่จะเผชิญหน้ากับเขา
“เธอเป็นใคร”
เสียงทุ้มติดแหบนิดๆที่ดังขึ้นทำให้เพียงธารผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
“เอ่อ...คือฉันจะมาดูแลคุณค่ะ”
“คนใหม่เหรอ” เขาหรี่ตามองเธอ เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ค่ะ”เธอขานรับสั้นๆ พร้อมกับเบนหน้าหลบสายตาคมของอีกฝ่าย
“ก็ดี! แล้วทำอะไรเป็นมั่ง” คนป่วยสอดมือสองข้างไว้ใต้หมอน ผงกหน้าขึ้นเล็กน้อยถามคนที่ยืนเด๋อด๋าตรงปลายเตียง
“ทุกอย่างค่ะ” หญิงสาวพยายามประหยัดคำให้มากที่สุด
“ทุกอย่าง?” เขาทวนคำตอบของเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เปล่งเสียง ฮึๆ ในคอเหมือนชอบใจ แต่สำหรับเพียงธารกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาเย้ยหยัน
“เธอชื่ออะไร”
คำถามต่อมาของเขาทำให้หญิงสาวเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันมาสบตากับคนบนเตียง คราวนี้เธอกล้ามองลึกเข้าไปในตาสีเข้มนั้น พร้อมกับถามตัวเอง ‘เขาจำไม่ได้จริงหรือ’ แต่เธอก็เห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“ชื่ออะไร” เขาถามย้ำอีกครั้ง แต่เพิ่มน้ำหนักเสียงเข้มกว่าครั้งแรก
“เพียงธาร...ฉันชื่อเพียงธารค่ะ”หญิงสาวตอบเขาด้วยน้ำเสียงเกือบจะแผ่วเบา กลั้นเสียงสะอื้นซ่อนความอดสูด้วยการหลบสายตาของเขา บอกตัวเองว่าคนอย่างเธอไม่เคยมีความหมายกับเขามานานแล้ว
“จะยืนตรงนั้นหรือจะเริ่มงานของเธอเลย” จู่ๆเขาก็ถามขึ้นหลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“คะ...ค่ะ?” เธอหันมองเขาเหมือนไม่เข้าใจคำถาม
“ฉันหมายถึง จะยืนทื่ออยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” น้ำเสียงและสีหน้าแสดงถึงความไม่พอใจ เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมกับขยับขาข้างที่เข้าเฝือกอย่างลำบากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือเป็นเพียงธารที่ขยับร่างกายเข้าไปใกล้เขามากขึ้น
“คุณอยากไปห้องน้ำหรือเปล่าคะ”หญิงสาวถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าเขาคงเพิ่งตื่นนอน เพราะดูจากสภาพหน้าตายับย่นไม่รวมผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
“มันเป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้ว ความจริงไม่จำเป็นต้องถาม” เขาตอบกลับมาพร้อมกับเหวี่ยงขาข้างที่ใส่เฝือกลงมาข้างเตียง
เพียงธารเหลือบตามองเพดานอย่างปลงกับความขี้หงุดหงิด และความแปรปรวนทางอารมณ์ของเขาพร้อมกับลากวอล์กเกอร์มาใกล้
‘นี่แหละ คีรินทร์ตัวจริง’
หญิงสาวพาเขาไปห้องน้ำ เมื่อจัดเตรียมของใช้ให้พร้อมแล้วจึงออกมารอด้านนอกปล่อยให้ชายหนุ่มได้ทำธุระส่วนตัว ความจริงอาการของคีรินทร์แค่จำเป็นต้องมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน คอยให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงกับต้องเรียกหาพยาบาลพิเศษ แต่ก็นั่นแหละ! คนมีเงินซะอย่าง แค่ค่าแรงวันละหลายพันมันไม่สะเทือนขนหน้าแข้งของเขาหรอก
ไม่ถึงห้านาทีเสียงชายหนุ่มก็ดังขึ้น หญิงสาวรีบเปิดประตูห้องน้ำ เห็นเขานั่งอยู่บนฝาชักโครกในสภาพไม่ต่างอะไรกับก่อนที่จะเข้ามานัก
“คุณต้องการอะไรเพิ่มหรือคะ” ก่อนออกมาเธอแน่ใจว่าจัดเตรียมของใช้ทุกอย่างไว้พร้อม กระทั่งบีบยาสีฟันไว้บนแปรงหรือแม้แต่อันเดอร์แวร์สีขาวของเขา
“ผมต้องการความช่วยเหลือ” ชายหนุ่มแจ้งความจำนง
“อะไรคะ”
“เธอช่วยแปรงฟัน ล้างหน้า แล้วก็เช็ดตัวให้ด้วย” เขาสั่ง
“แต่ฉันคิดว่าแขนสองข้างของคุณสามารถใช้งานได้ดี” เธอบอกเขาก่อนจะเม้มปากอย่างนึกเคืองและพยายามไม่ต่อปากต่อคำกับเขามากนัก
“ก็ผมปวดแขน คุณมีปัญหาหรือไรผมจะได้โทรบอกหัวหน้าของคุณ”
‘โดนแล้วไง’ เพียงธารบอกในใจ เขาคงทำแบบนี้บ่อยสิ ใครๆถึงขยาด เพราะปกติคนไข้กระเป๋าหนักแบบนี้หากันไม่ได้ง่ายๆ แต่สำหรับเธอนอกจากค่าแรงที่จูงใจแล้วยังมีเหตุผลอื่นสำคัญกว่านั้น
‘งานนี้ผู้ใหญ่ให้ค่าแรงสูงกว่าปกติเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ และถ้าน้ำทำได้ พี่จะขอให้ท่านพิจารณาย้ายน้ำไปตรงอื่น น้ำจะได้ไม่ต้องเข้ากะ พี่รู้ว่าน้ำต้องใช้เงิน แล้วไหนจะต้องดูแลคนที่บ้านอีก’