“ควีนว่าก่อนควีนกับอังกฤษ...เราควรถอนหมั้นกันให้เร็วที่สุดค่ะพี่วายุ”
“อ่าส์~...ดีครับ เป็นข้อเสนอที่ดีมาก” เขาลากเสียงยาวแล้วนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับและทำหน้าเห็นด้วยกับคำพูดฉัน
“ค่ะ ถ้างั้นตกลงตามนี้นะคะ แต่จะถอนหมั้นยังไงเอาไว้เราค่อยมาคุยกันอีกที ตอนนี้พี่ไปส่งควีนก่อนดีกว่า เหนื่อยค่ะ” ฉันง่วง ง่วงมากด้วย
“โอเค เราอยากคุยวันไหนก็ติดต่อพี่นะ” พี่วายุพยักหน้ารับแล้วก็หันกลับไปสนใจกับการขับรถ
ฉันรับฟังแต่ไม่ได้ออกความคิดเห็นหรือตอบรับในคำที่เขาบอก เรื่องนี้คงต้องเตรียมตัวให้ดีก่อน เพราะฉันยังไม่เห็นทางสว่างที่เราทั้งคู่จะถอนหมั้นกันได้
แต่ไม่ว่ายังไงฉันกับเขาก็ต้องถอนหมั้นกันให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงสถานะของเราทั้งคู่ก็ต้องจบลงที่คำว่าอดีตคู่หมั้น ฉันจะไม่มีทางให้เกิดงานแต่งงานขึ้นเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม
-วันต่อมา-
“ตื่นเช้าจังเลยลูก” ฉันเดินลงมาข้างล่างคุณแม่ก็ทักทาย ฉันว่าฉันตื่นเช้าแล้วนะคะแต่คุณแม่ตื่นเช้ากว่าอีก ท่าทางจะเช้ากว่าเยอะเลยด้วยเพราะเสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็มตั้งแต่ 7 โมงเช้า
“ไม่เท่าคุณแม่หรอกค่ะ ว่าแต่วันนี้คุณแม่จะไปไหนเหรอคะแต่งตัวสวยแต่เช้าเชียว” ฉันเดินเข้าไปหาท่านแล้วก็ถามทันที แต่แต่งจัดเต็มขนาดนี้คงไม่พ้นไปงานอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับสังคมสินะ
“แม่จะไปทอดกฐินน่ะลูก เดี๋ยวคุณป้าสิรินทร์ก็มาแล้วล่ะ วันนี้ไปรถคุณป้า เอ้อ! ว่าแต่งานเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างจ้ะ สนุกไหม”
“คุณแม่ก็รู้ว่างานพวกนี้ไม่สนุกเลยสักนิด” ฉันตอบคุณแม่แล้วก็กรอกตามองบนทันที คิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ไปเรียนเมืองนอก ไม่งั้นคงโดนคุณแม่ลากไปออกงานด้วยบ่อยๆ แน่นอน
“หนูแค่ยังไม่ชิน อีกหน่อยก็ชินเหมือนแม่นี่แหละ เมื่อก่อนแม่ก็ไม่ชอบแต่พอเราสนุกกับมันเดี๋ยวมันก็สนุกไปเอง สนุกกับทุกอย่างที่ทำนะจ้ะคนสวยของแม่” คุณแม่บอกฉันด้วยรอยยิ้มที่มีความเป็นคุณหญิงแต่ก็ซ่อนความเปรี้ยวตามเอาไว้ตามสไตล์ของท่าน
คำพูดเท่ห์จังเลยค่ะ แต่ฉันคงไม่สามารถทำใจให้สนุกไปกับสังคมที่มีแต่สวมหน้ากากเข้าหากันได้ เฮ้อ! คิดถึงอังกฤษจัง กลับเลยได้ไหมนะควีน
“แล้วพี่วาล่ะ พี่วาดูแลหนูดีใช่ไหม” คุณแม่ถามอีกหนึ่งคำถามด้วยสีหน้าและแววตากระตือรือร้นที่มากกว่าเดิม ท่านเป็นแบบนี้เสมอเวลาถามฉันถึงพี่วายุ
“ก็ดีค่ะ พี่เขาก็เหมือนเดิม” ฉันตอบเรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าควรพาตัวเองไปห้องอาหารให้เร็วที่สุด
“เหมือนเดิมยังไง น่ารักมากเหมือนเดิมใช่ไหมจ้ะ” ทำไมตอนถามคุณแม่ต้องทำหน้าฟินด้วยนะ นี่ท่านไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเราสองคนไม่ได้รักกัน
“ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะค่ะ พี่วายุยังเหมือนเดิม ควีนก็เหมือนเดิม เราเหมือนเดิมกันทั้งคู่ค่ะคุณแม่” ฉันตอบนิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มหรืออารมณ์ใดๆ ในใบหน้านอกจากความเบื่อ ฉันเชื่อว่าคุณแม่เข้าใจแน่ว่าฉันกำลังหมายถึงอะไร
“ยังไงจ้ะ” คุณแม่ได้ยินคำตอบจากฉันท่านก็หน้าตึงขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็ถามพร้อมกับจ้องฉัน จากนางพญาที่กำลังอารมณ์ดีจะไปทำบุญใหญ่สีหน้าก็เริ่มเหมือนนางพญาปีศาจแล้วค่ะ แต่แล้วไงเปิดเรื่องมาขนาดนี้จะให้ปฏิเสธเหรอ ไม่หรอกค่ะนั่นไม่ใช่นิสัยฉัน
“ก็...ไม่รักกันเหมือนเดิมไงคะคุณแม่” ฉันมองหน้าท่านแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม
“ควรบอกตัวเองว่ามันต้องไม่เหมือนเดิมนะยัยควีน” เหอะ! พอบอกไปก็พอจะรู้ว่าต้องได้คำตอบแบบนี้จากปากท่าน ฉันว่าคุณแม่ คุณป้าสิรินทร์แล้วก็ผู้ใหญ่ทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหมั้นหมายบ้าๆ ระหว่างฉันกับพี่วายุต่างหากที่ควรบอกตัวเองว่าเลิกใช้วิธีโบราณคร่ำครึคลุมถุงชนได้แล้ว
“แม่กับผู้ใหญ่ทุกคนก็ต้องบอกตัวเองให้ยอมรับความจริงนะคะ” ทุกต้องบอกตัวเองให้ยอมรับความจริงกันสักทีว่าฉันกับพี่วายุเราสองคนไม่ได้รักกัน
“หนูไม่เปิดใจมากกว่า” พอเห็นฉันตึงบ้างคุณแม่ก็ยอมลดอารมณ์ลง
“เปิดแล้วค่ะแต่ไม่คลิกกันจะให้ทำยังไงจริงไหมล่ะคะ” ฉันตอบท่านนิ่งๆ นะคะ ไม่ได้ใช้น้ำเสียงต่อปากต่อคำอะไรเลย
“อยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็รักกันเอง”
“ถ้าจะรักก็คงรักกันไปนานแล้วค่ะคุณแม่ ควีนว่าควีนไปทานข้าวเช้าดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันตอบคุณแม่เรียบๆ แล้วก็ขอตัวจากท่านด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ จากนั้นก็เดินออกมันที
คุยไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เอาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาพูดทั้งวันทั้งคืนผู้ใหญ่ก็ไม่ล้มเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นวิธีที่จะคุยกับผู้ใหญ่ให้เข้าใจก็ตัดทิ้งไปได้เลย ไม่มีทางได้ผลเพราะถ้าได้ผลคงได้ผลตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วคงไม่ต้องลากยาวมาถึงปัจจุบัน หาวิธีอื่นง่ายกว่าค่ะ
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
...มาร์คัส
“ฮัลโหล”
“morning ครับฮันนี่”
“โทรมาเช้าขนาดนี้ตื่นเช้าหรือยังไม่ได้นอนมาร์คัส”
“ฮ่าๆๆ ตื่นเช้าสิ ตื่นขึ้นมาก็คิดถึงฮันนี่เลย” เสียงหัวเราะอารมณ์ดีดังออกมาจากปลายสายทำฉันเผลอเบะปากเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้
“เมื่อคืนไม่มาทักทาย” ฉันเป็นฝ่ายชวนคุยถึงแม้ว่าคนที่โทรมาจะเป็นเขาก็ตาม
“เห็นอยู่กับคู่หมั้นใครจะกล้าทัก”
“เหอะ! แล้วยังไงโทรมาแต่เช้า” ฉันแค่นเสียงออกมา ตื่นขึ้นมาก็เจอคุณแม่ชวนคุยเรื่องคู่หมั้น หนีจากคุณแม่ก็ยังมาเจอคำว่าคู่หมั้นจากเขาอีก
“คิดถึง”
“อื้อ คิดถึงเหมือนกัน พาไปเลี้ยงข้าวหน่อยไหมล่ะ” ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนที่ไทยเพราะจบมัธยมที่เมืองไทยก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษกลับมาไม่กี่วันก็เหงาแล้วดีที่เขาโทรมาหา
“ฮ่าๆๆ ได้เลยฮันนี่ วันนี้ว่างไหม”
“เที่ยงนะคะ ขอเวลาแต่งตัวหน่อย” ฉันตอบมาร์คัสจบก็คุยอะไรสัพเพเหระต่อนิดหน่อยก่อนจะวางสาย
-เวลาต่อมา-
“คนมองฮันนี่เยอะเลย” มาร์คัสที่เดินอยู่ข้างฉันหันมาคุยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็สวย” ฉันก็ตอบเขาด้วยรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ไม่ต่างจากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นแหละ
“ยิ่งพนักงานในห้างก็ยิ่มมองหนัก”
“จะพูดอะไรเลิกพูดเลยนะมาร์คัส” ฉันหุบรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ลงทันทีแล้วก็มองมาร์คัสด้วยสายตาที่แข็งขึ้น แต่คนอย่างมาร์คัสจะสลดกับสายตาของฉันไหมน่ะเหรอ ไม่หรอกค่ะ
“หึๆๆ ไม่รักกันเลยจริงๆ เหรอ”
“ไม่รัก” ฉันตอบกลับไปในทันทีที่คำถามของมาร์คัสจบลง ตอบแบบไม่ลังเลเลยสักวินาทีเดียว เห็นไหมล่ะ ว่าเขาไม่สลดแถมยังยั่วอารมณ์ฉันต่ออีก
“ไม่แน่”
“มาร์คัส” ฉันหันไปเรียกชื่อมาร์คัสที่พูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา
“ล้อเล่นน่า อยากกินของหวานไหม” นายนี่ไม่ได้มีท่าทางสลดจริงๆ นะ พอจบคำพูดของเขาฉันก็เดินเข้าร้านขนมที่อยู่ตรงหน้าเราสองคนทันที เขาไม่ได้ตั้งใจเอาใจฉันหรอก แค่เห็นร้านขนมก็เลยเบรกอารมณ์ของฉันด้วยการชวนเปลี่ยนเรื่อง และแน่นอนว่าฉันไม่ได้อยากกินของหวานแต่ฉันอยากคุยกับมาร์คัสให้รู้เรื่อง นั่งคุยกันให้จบไปเลยดีกว่าเดินเล่นแล้วปล่อยให้เขาพูดจากวนประสาทในเรื่องที่ฉันไม่สบอารมณ์
“ฮันนี่อารมณ์เสีย” เขาเดินเอื่อยๆ โชว์ความหล่อที่พ่อแม่ให้มาจนหน้าอิจฉาแล้วก็นั่งลงตรงข้ามฉันพร้อมกับเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
“เพราะใคร?” ฉันเสียงแข็งใส่แต่ไม่ได้วีนหรอกเพราะพนักงานเดินเข้ามาเพื่อเอาเมนูให้พอดี ฉันสั่งเครื่องดื่มไปแค่อย่างเดียวส่วนเขาก็เหมือนกัน พอพนักงานรับออเดอร์เสร็จมาร์คัสก็หันกลับมามองหน้าฉันด้วยรอยยิ้มที่แสดงให้รู้ว่าเขากำลังรอให้ฉันพูดอยู่ แต่ฉันไม่มีอารมณ์คุยกับนายนี่แล้ว
“อารมณ์เสียไปได้แค่แซวเล่นนิดหน่อย” พอฉันไม่พูดเขาก็เป็นฝ่ายพูดออกมา
“นายพูดจาไม่รู้เรื่อง”
“ฮ่าๆๆ เห็นเธอหน้าบึ้งไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แต่งงานกับเขาก็ไม่เห็นเสียหาย เขากับฮันนี่เหมาะสมกันนะ”
“นายลองแต่งงานกับคนที่นายไม่ได้รักดูสิ” ฉันบอกเขาแล้วก็กรอกตามองบน ใครต่อใครก็บอกว่าฉันกับพี่วายุเหมาะสมกัน แต่น่าแปลกที่เราสองคนไม่คิดแบบนั้น
“ถ้าต้องแต่งงานกับผู้หญิง...สวยๆ อึ๋มๆ แบบนี้ก็ไม่แน่นะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ นิ่งไปนิดหน่อยแล้วก็มองดูฉันด้วยสายตาน่าตบพร้อมกับพูดออกมา
“มาร์คัส!”
“หึๆๆ เอาน่าฮันนี่ ขอชื่นชมหน่อยถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ” เขาหัวเราะอารมณ์ดีแต่ฉันอยากเอาอะไรแหลมๆ ทิ่มตานายนี่ที่สุด เราเป็นเพื่อนกันค่ะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลฉันไม่ค่อยมีเพื่อนหรอกเพราะฉันเบื่อสังคมลูกคุณหนู มีแต่มาร์คัสนี่แหละที่ฉันคบมานาน เพราะเขาเป็นผู้ชายไม่เอาเวลามานั่งเม้าท์ นั่งกระแนะกระแหนกันด้วยมั้งฉันก็เลยสบายใจที่จะคบกับเขา
“ไม่ตลก” มาร์คัสเป็นเพื่อนที่ดีเสมอแต่ไอ้นิสัยชอบแกล้งฉันด้วยการใช้สายตาโลมเลียนี่มันแก้ไม่หายจริงๆ สินะ นอกจากแก้ไม่หายนับวันก็ยิ่งหนักข้อขึ้นด้วย
“หึๆๆ โอเคครับฮันนี่ เรามาพูดเรื่องที่เธอหน้าตึงกันดีกว่า ยังไงดีกับเรื่องหมั้นของเธอ ลองมองเขาใหม่ ลองเปิดใจให้กันดีกว่าไหมชีวิตจะได้ง่ายขึ้น”
“เหอะ! นายก็รู้ว่ามันเป็นยังไงมาร์คัส เลิกพูดแล้วก็หาทางช่วยให้ฉันถอนหมั้นได้เร็วๆ ดีกว่า ภายในสองเดือนนี้เลยยิ่งดี”