[ มัดหมี่ ]
วูบ ~
“หือ... อะไรน่ะ?” ฉันขมวดคิ้วสงสัยพร้อมกับวางปากกาลงบนโต๊ะหนังสือ เมื่อมีความรู้สึกคล้ายกับว่ามีคนเดินผ่านหลังฉันไป แต่พอหันกลับไปมองก็ไม่เจอใคร
“หรือว่าเราจะตาฝาด...” ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันมาจดจ่อกับหนังสือเรียนตรงหน้าต่อ ทว่าสิ่งที่ฉันเห็นกลับเป็นตัวหนังสือสีแดงตัวใหญ่ปรากฏอยู่บนหนังสือ 'ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ'
“เหอะ! ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ... งั้นเหรอ? ” ฉันทวนข้อความบนหนังสือเรียนอีกครั้งก่อนจะวางปากกาลง แล้วกวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อหาสิ่งผิดปกติ หากแต่ก็เป็นเหมือนเดิม ทุกอย่างในห้องยังดูปกติไม่มีอะไรผิดแปลกไป
“จะว่าไปนี่ก็ดึกมากแล้วนะ หรือเราจะอ่านหนังสือจนเบลอก็เลยตาฝาด?” ว่าจบฉันก็เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าออก ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งอุทานขึ้นราวกับตกใจอะไร
‘เชี่ยแล้ว!’
“เสียงทีวีบ้านข้าง ๆ เหรอ? หรือว่าเสียงคุยกันของบ้านข้าง ๆ” ฉันสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความง่วงออกจากหัวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
“บ้านยัยนาวนอนกันดึกเหมือนกันนะเนี่ย ป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีก หรือยัยนาวก็อ่านหนังสือดึกเหมือนกัน”
ซ่า!
สายน้ำเย็นที่ไหลกระทบผิวเนื้อทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นและหายจากอาการง่วงเมื่อครู่ อย่างที่รู้กันว่าเด็กปีสี่นั้นไม่ค่อยมีเวลาว่างนัก ต้องอ่านหนังสือหนักเพื่อเตรียมตัวสอบ ไหนจะโปรเจ็คจบก็ต้องวางแผนทำ งานก็ต้องรีบหาไว้เพราะเด็กจบใหม่ทุกปีก็มีเยอะ ไม่งั้นเรียนจบไปอาจไม่มีงานทำจะเป็นภาระของพ่อแม่อีก
“ถ้ามีผีจริงอย่างที่ยัยนาวว่าก็ต้องมาหลอกตอนเราอาบน้ำด้วยสิ ในละครผีชอบมาหลอกเวลาอาบน้ำนี่นา แต่ไม่เห็นมีอะไรแสดงว่าบ้านนี้ผีเฮี้ยนก็เป็นแค่ข่าวลือ”
ถึงวันนี้ทั้งวันฉันจะรู้สึกแปลก ๆ เหมือนไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว ทั้งสิ่งของบางอย่างในบ้านก็เคลื่อนไหวได้เองหรือแม้แต่ไฟที่ติด ๆ ดับๆ อยู่บ่อยครั้ง จนเผลอคิดไปว่าอาจเจอดีเข้าเหมือนคนอื่นที่เข้ามาอยู่ได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องย้ายออกไป แต่พอมาคิดดูดี ๆ ถ้ามีผีจริง ๆ ก็ต้องปรากฏตัวให้เห็นไม่ก็มาหลอกกันซึ่งหน้าในห้องน้ำแล้ว
เวลาต่อมา...
พรึ่บ!
ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมตัวฉันเอาไว้ยามหลับจู่ ๆ ก็ร่วงลงจากเตียงราวกับว่ามีคนมาดึงมันออกไป แต่แล้วก็มีเสียงตกใจของใครบางคนดังแว่วขึ้นมา
‘เชี่ยเอ๊ย! เสือกแก้ผ้านอนอีก เฮ้อ!’
ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะได้ลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมา ผ้าห่มก็ลอยขึ้นมาจากพื้นคลุมตัวฉันเอาไว้ตามเดิมราวกับมีคนดึงมันกลับมาห่มให้ ถึงจะยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีเวลามาสงสัยหรือหวาดกลัว เพราะความง่วงกำลังเล่นงานฉันอยู่ เรียกได้ว่าตอนนี้สติของฉันไม่เต็มร้อย ภาพที่เห็นอาจเป็นความฝันก็ได้...
‘ยัยผู้หญิงไม่รู้จักระวังตัว’ เสียงแว่วของใครบางคนดังขึ้นไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลนัก
‘ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ’ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ถึงจะง่วงแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าความหมายของประโยคนั้นคืออะไร บางทีฉันอาจจะเจอดีอย่างที่ใครหลายคนบอกไว้ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันน่ะไม่กลัวหรอก
“เป็นผีเจ้าที่เหรอ” ฉันค่อย ๆ ปรือตาขึ้นก่อนจะมองไปยังปลายเตียง แสงไฟสลัวที่สาดส่องเข้ามาในห้องทำให้ฉันมองเห็นเงาดำของใครบางคนนั่งหันหลังอยู่
‘ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ’ เสียงทุ้มเย็นยะเยือกชวนขนลุกเอ่ยขึ้น
“นี่ความฝันหรือเรื่องจริง...” ฉันไม่ได้สนใจในสิ่งที่คนปลายเตียงพูดหากแต่ถามถึงเรื่องที่ยังสงสัยอยู่ เพราะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ฉันกำลังเจออยู่ตอนนี้เป็นความฝันหรือเปล่า
‘วันนี้แค่มาเตือน ถ้ายังไม่ออกไปจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเธอ’ น้ำเสียงเย็นยะเยือกของคนปลายเตียงพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่เงาสีดำนั้นจะค่อย ๆ เลือนหายไป ทว่าฉันกลับรีบพูดบางอย่างขึ้นเมื่อตั้งสติได้
“ฉันไม่รู้ว่าที่เจออยู่ตอนนี้เป็นความฝันหรือเรื่องจริง ถ้าเกิดฉันย้ายออกไปแล้วเรื่องคืนนี้เป็นความฝันฉันก็เสียดายบ้านหลังนี้แย่น่ะสิ”
‘…’
“ถ้าที่ฉันเจออยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันงั้นนายช่วยทำโครงงานให้ฉันได้ไหม อีกสองวันต้องส่งอาจารย์แล้ว ฉันคงทำไม่ทัน มาพิสูจน์กันว่าความฝันหรือเรื่องจริง”
‘…’
“ฉันนอนต่อล่ะนะ ช่วยพิสูจน์ด้วยล่ะว่าที่ฉันเจอคืนนี้เป็นผีหรือตัวละครในฝันของฉัน” z z Z...
ถ้าฝันงานที่สั่งไว้ต้องไม่เสร็จ ถ้าไม่ฝัน... งานที่สั่งไว้ต้องเสร็จล่ะนะ
ว่าแต่... ผีจะทำงานของคนได้เหรอ?
ได้แหละ เพราะใช้ชีวิตอยู่กับคนมาก็นานแสนนานนี่เนอะ ถ้าอ้างว่าเป็นผีที่อยู่ในบ้านหลังนี้ งั้นก็ต้องรู้สิว่าคนเราวัน ๆ ทำอะไรบ้าง อย่างน้อยก็ต้องอ่านออกเขียนได้แหละนะ เป็นผีก็น่าจะได้เรีนหนังสือเหมือนกัน ไม่งั้นคงเขียนหนังสือไม่ออกหรอก
คิดได้แบบนั้นก็นอนหลับแบบสบายใจ...