อาเหยาวางถ้วยน้ำชาเอาไปเบื้องหน้าของหญิงวัยกลางคน แม่สื่อผู้นี้มาที่โรงเตี๊ยมหลายรอบมากทีเดียว เรื่องนั้นเขาพอที่จะทำความเข้าใจได้ เพราะเถ้าแก่เนี้ยนั้น..งดงามมากจริงๆ
คราแรกที่พบกัน กว่าเขาจะควานหาสติของตัวเองพบเจอก็ปาเข้าไปพักใหญ่ ความงดงามที่มิได้มีอยู่บนใบหน้าของมนุษย์..
ความงดงามของเทพจิ้งจอก
"คราวนี้เป็นคุณชายตระกูลหยวนเจ้าค่ะ เป็นบัณฑิตที่พึ่งจบการศึกษามาอนาคตดีเพราะกำลังจะเข้าสอบเป็นขุนนางในราชสำนัก ใบหน้านั้นดูหล่อเหลาเข้าที แถมบิดามารดายังไม่มีกฎระเบียบมากมาย ทั้งสองท่านยินดีรับเถ้าแก่เนี้ยไปเป็นลูกสะใภ้เจ้าค่ะ"
ผมยาวสลวยราวกับเส้นไหมนั่นสลายลงมาพร้อมกับใบหน้างดงามที่กำลังเปิดกระดาษวาดภาพบุรุษพวกนั้นดู
เรื่องครอบครัวหรือว่าเรื่องการเงินเรื่องนั้นเธอมิได้สนใจทั้งสิ้น แค่ดูว่าบุรุษผู้นั้นงดงามหรือว่า..หล่อเหลารึเปล่าก็เท่านั้น
คนที่จะนอนด้วย...ก็ต้องเลือกมากเสียหน่อย
"ตัวข้านั้นเป็นเพียงหญิงหม้าย น่าละอายเกินกว่าจะแต่งงานเข้าจวนของผู้ใด เรื่องนี้ข้าเคยบอกกล่าวกับแม่สื่อไปแล้ว ว่าข้ามิแต่งงานเข้าจวนชายใด แต่เหล่าบุรุษพวกนั้นจะต้องแต่งงานแล้วมาอยู่ที่นี่แทน"
ในครั้งแรกที่เย่วเล่อมาอยู่ที่เมืองมนุษย์ เรื่องภายในบ้านมันน่าปวดหัวมากทีเดียว ไหนจะเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้หรือว่าเรื่องเกี่ยวกับบรรดาอนุต่างๆของสามี
กว่าจะทำความเข้าใจได้ นั่นทำให้เย่วเล่อมิคิดที่จะแต่งงานเข้าจวนของผู้ใดอีก เธอจึงประกาศออกไปว่าตัวเองนั้นเป็นหญิงหม้ายที่ถูกสามีทิ้ง ด้วยเหตุผลเพราะไม่อาจมีคุณธรรม และกฎของภรรยาทั้งแปดประการได้
แต่ก็ยังไม่วายมีบุรุษที่มาขอให้เย่วเล่อแต่งเข้าจวนอีก...
"อ่า..เถ้าแก่เนี้ย คุณชายหยวนนั้นปักใจต่อท่าน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับความรักที่ลึกซึ้งเช่นนั้นจะสามารถหาได้จากที่ไหนอีกเจ้าคะ เชื่อข้าน้อยเถิดว่าคุณชายผู้นี้เหมาะสมกับท่านมากจริงๆ..."
เหมาะสมหรือว่าเขามีเงินมากพอที่จะจ่ายให้แม่สื่อในจำนวนมากกันแน่
"วันนี้ข้าปวดหัว เรื่องเช่นนี้อาจจะต้องใช้เวลาคิดให้มากเสียหน่อย อาเหยา...ส่งแขก"
นี่คือภาพที่ไม่อาจทำใจให้ชินตาได้ ยามที่เย่วเล่อเยื้องย่างมันราวกับว่านางกำลังล่องลอยขึ้นยังไงอย่างนั้น ห้องพักที่โรงเตี๊ยมเต็มแทบทุกวันเพราะผู้คนต่างมาพักเพราะต้องการพบเจอเถ้แก่เนี้ยที่งดงามราวกับภาพวาด...
"อ้ายฉิง วันนี้เจ้าก็ปฏิเสธแม่สื่ออีกแล้วอย่างนั้นหรือ?"
ดวงตาที่งดงามปรายตามองชูชาง ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อร่ำสุรากับเขา ชายผู้นี้เป็นคนดี เย่วเล่อมองเห็นความดีได้จากจิตใจของเขาอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ของเรานั้นมิได้พัฒนาไปมากกว่าความเป็นสหาย ทั้งที่ใบหน้าและนิสัยของเขามันเป็นแบบที่เธอชอบ
แต่เพราะความเป็นคนดีของเขา เธอจึงไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจไปกับเธอ มิตรภาพนั้นยาวนานมากกว่าความรักที่ฉาบฉวยพวกนั้น
"น่าแปลกที่เห็นเจ้าที่นี่ ค่ายทหารจะทำเยี่ยงไร ในเมื่อแม่ทัพมาร่ำสุราที่โรงเตี๊ยมของข้าตั้งแต่หัววัน กล้าหนีงานอย่างนั้นหรือชูชาง.."
เขาหัวเราะเบาๆพร้อมกับรินสุราใส่ถ้วนให้อ้ายฉิง
"มีแม่ทัพคนใหม่เดินทางมาแล้ว แน่นอนว่าหลังจากนี้งานของข้าก็จะน้อยลง และสามารถมาที่นี่ได้ มาร่วมร่ำสุรากับเจ้าในทุกค่ำคืน"
เย่วเล่อรู้สึกยินดีมากทีเดียวที่ชื่ออ้ายฉิงถูกเรียกออกมาจากริมฝีปากของเขา
อ้ายฉิงนั้นแปลว่าความรัก ในเมื่อเย่วเล่อมิเคยได้รับความรัก เธอก็คิดว่าตัวเองในชื่อใหม่จะได้รับความรักจากใครสักคน...
ความรักที่สามารถสัมผัสและมองเห็นได้ด้วยสายตา
"เช่นนั้นก็นับว่าดียิ่งนัก.."
เธอยกมือขึ้นมาเท้าคางเพื่อมองไปด้านล่าง นางรำกำลังเดินขึ้นมาเพื่อทำการแสดง...เสียงพิณแว่วหวานดังกังวานขึ้นมาตามสายลม เสียงพูดคุยมากมายดังขึ้นมาเพื่อกล่าวชื่นชมนางรำและสตรีผู้งดงามที่กำลังบรรเลงเพลงพิณ
เนิ่นนานที่เธอหนีออกมาจากหุบเขาแห่งเซียน นานจนจำมิได้แล้วว่ามันผ่านไปกี่ร้อยปี ในทุกวันที่ฝนตกลงมา เย่วเล่อจะต้องเดินไปที่เขตป่าริมชายแดน
ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปที่นั่นทำไม เพราะไม่ว่าจะไปในยามไหน เธอก็ไม่อาจทำใจเดินข้ามไปที่หุบเขาแห่งเซียนสักที
ความหวาดกลัวในใจมันทำให้ขาทั้งสองข้างเกิดความขี้ขลาดขึ้นมา ในเวลาเดียวกันเธออยากจะไปขอโทษลี่ถิง แต่ทว่าก็ยังมีความหวาดกลัวตั้งคำถามขึ้นมามากมายในใจ
หากพบเจออาจารย์จะทำหน้าเช่นไร หรือหากพบว่าท่านอาจารย์และเทพีจันทราครองรักกันพร้อมพยานรักตัวน้อยๆเธอจะสามารถกล่าวคำยินดีออกไปได้หรือไม่?
เย่วเล่อแค่นหัวเราะให้กับตัวเอง พอหันไปมองชูชางก็พบว่าสายตาของเขากำลังจับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอ
"...ข้ามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้เจ้าฟัง"
"ว่ามาสิ ชาง...ข้ากำลังตั้งใจฟังอยู่"
"ไม่ใช่ที่นี่.."
เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ว่าเรื่องราวมากมายที่ชูชางจะเล่าให้ฟังมันคือเรื่องอะไร แต่ทว่าเธอไม่อยากจะให้เขาล้ำเส้น เพราะเย่วเล่อคิดว่าตัวเธอนั้นมีสหายน้อยมากถ้าเทียบกับอายุขัยที่ยืนยาวเช่นนี้
"ชาง เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดของข้า แน่นอนว่ามันจะเป็น...เช่นนั้นตลอดไป"
เป็นเช่นนี้เสมอ เรื่องที่อ้ายฉิงขีดเส้นที่หนาทึบเอาไว้กับความสัมพันธ์ของเขาและเธอ เรื่องที่ไม่อาจทำความเข้าใจนั่นคือทำไมต้องเป็นเขาที่ได้ยืนอยู่เพียงแค่ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าสหาย
เขามิได้เป็นคนรักทั้งที่ชายอื่นสามารถรักเธอได้
แต่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกล่าวออกไปด้วยซ้ำ ไม่มีสิทธิ์คาดหวัง ไม่มีสิทธิ์รักนาง...
"ทั้งที่เจ้ารู้ แต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ ความรู้สึกของข้า...เจ้าก็รู้ใช่ไหมอ้ายฉิง...?"
"ข้าคิดว่าวันนี้ข้าเริ่ม...เมาแล้วละสิ สงสัยว่าจะต้องขอลาไปนอนก่อน"
เขาจับข้อมือของเธอเอาไว้แน่น
"ไม่เอาอีกแล้วอ้ายฉิง ข้าน่ะถ้าวันนี้ไม่ได้บอกกล่าวความรู้สึกที่มีในใจนี้ออกไป ข้าก็จะไม่ขอมาที่นี่อีก ข้าไม่อยากเป็นสหายกับเจ้าแล้วอ้ายฉิง"
เธอปรายตามองใบหน้าที่เห่อร้อนของเขาด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เมื่อย้อนคิดถึงครั้งอดีต
ท่านอาจารย์เองก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่ เหตุการณ์ละม้ายคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ แตกต่างกันแค่เพียงในครั้งนั้น เธอมิได้เอ่ยเรื่องราวความรักที่อยู่ในใจดวงนี้ออกไปเท่านั้นเอง
"ชาง...ข้ามิได้คิดกับเจ้าแบบนั้น ข้าให้เจ้าได้แค่เพียงฐานะของสหาย ไม่อาจ..เกินเลยกว่านั้นได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม..."
ทั้งที่พอจะเดาคำตอบได้ แต่ทว่าเขาก็ยังกล่าวมันออกไป
"ข้าจะไปจากที่นี่ สิ่งที่บอกกล่าวไม่หมดนั่นคือข้าต้องย้ายไปประจำที่ชายแดนเมืองฟู่หนาน จะเป็นหรือตายไม่อาจคาดคิด ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่สมหวัง แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกดีมากทีเดียว เพราะว่าข้านั้นได้กล่าวเรื่องราวที่เก็บงำมาตลอดกับเจ้า..."
มือของเย่วเล่อกำแน่น
"หวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะ ชาง..."