ตอนที่4

1734 คำ
เวลาผ่านพ้นไปไร้คนคอยอยู่เคียงข้าง เธอรู้สึกอ้างว้างจนอยากจะตายตามผู้เป็นพ่อไป ไม่มีใครต้องการเธอแม้แต่แม่ เงินที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนที่ท่านจะจากไปก็ร่อยหรอลงทุกทีตอนที่ไปโรงเรียนก็ได้แต่นั่งมองเด็กคนอื่นทานข้าวกลางวันทานขนมอย่างมีความสุขซึ่งเธอก็ได้แต่เก็บแก้วน้ำที่เด็กคนอื่น ๆ ทิ้งไปกรองน้ำที่ก๊อกน้ำหลังโรงเรียนเพื่อดื่มประทังชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าของห้องที่พ่อเธอเช่าเขามาไล่เธอออกเพราะขาดส่งค่าเช่าเป็นเวลาสามเดือน ไม่ว่าเธอจะขอร้องอ้อนวอนเท่าไหร่เจ้าของห้องก็ไม่ใจอ่อนที่จะให้เธออยู่ต่อ สุดท้ายเด็กน้อยแบบเธอก็ไม่มีทางที่จะสู้ใครเขาได้จึงต้องจำใจหอบเสื้อผ้าของตัวเองเพียงไม่กี่ชิ้นออกมาแถมเงินที่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยถูกเจ้าของห้องเช่าเอาไปเสียจนหมดเด็กน้อยวัยสิบขวบเดินออกมาจากห้องพักในตอนใกล้ค่ำด้วยสภาพรองเท้าเก่า ๆ เนื้อตัวมอมแมมหอบหิ้วกระเป๋าใบเก่าที่ด้านในมีเสื้อผ้าของพ่อและของเธอเพียงไม่กี่ตัวโทรศัพท์เครื่องเก่าถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเป็นอย่างดี ส่วนห้องพักห้องนั้นก็มีคนมาขอเช่าอยู่ต่อ เด็กน้อยเดินเร่ร่อนระหกระเหินเดินไปตามทาง ผู้คนมากมายต่างมองมาที่เธอแต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย ดวงตาหม่นหมองเหม่อมองท้องฟ้าในยามนภาวันนี้เธอคงต้องใช้กองขยะใต้สะพานลอยเป็นที่ซุกหัวนอน ปึก กล่องข้าวที่กินเหลือของผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นโยนลงใส่ถังขยะ มุกดามองถังขยะสีเขียวส่งกลิ่นเหม็นอับที่อยู่ตรงหน้า กล่องข้าวที่ถูกโยนลงไปถูกคว้าขึ้นมาเศษข้าวเพียงน้อยนิดที่อยู่ในนั้นนั่นคือสิ่งที่จะใช้ประทังชีวิตในค่ำคืนนี้ของเธอ เพล้ง เพล้ง เสียงกระทะกับตะหลิวกระทบดังไปมา มุกดายืนมองแม่ค้ากำลังลงมือทำอาหารให้กับลูกค้าอยู่ภายในร้านอยู่นานสองนาน ความหอมของอาหารมันทำให้เธอชวนหิวแต่ตอนนี้เธอไม่มีเงินแม้แต่สักแดงเดียว เมื่อคืนก็ได้แต่คุ้ยขยะหาเศษอาหารประทังชีวิต จนแม่ค้าที่กำลังทำอาหารมองมาเห็น "หิวเหรอลูก"มุกดาพยักหน้าให้กับแม่ค้าเธอละอายใจเกินกว่าที่จะพูดมันออกไป ท้องน้อย ๆ ของเธอร้องประท้วง แม่ค้ารีบทำอาหารให้ลูกค้าก่อนที่จะล้างกระทะแล้วเริ่มทำอาหารใหม่ มุกดามองหน้าแม่ค้าคนนั้นในใจคิดว่าตัวเธอคงหมดวาสนาที่จะได้กินข้าวในมื้อนี้คงได้กลับไปคุยหาเศษขยะกินประทังชีวิตดังเดิม แต่เมื่อเธอกำลังจะเดินออกจากหน้าร้านแม่ค้าคนนั้นกลับเรียกเธอเอาไว้ "หนูอย่าพึ่งไปลูก"มุกดาหันไปมองแม่ค้าที่กำลังตักข้าวผัดใส่จานอย่างเร่งรีบ ก่อนที่แม่ค้าคนนั้นจะกวักมือเธอเรียกให้เข้าไปหาในร้าน "หนูลูกมานี่สิ มากินข้าวน้าทำข้าวไว้ให้"น้ำตาแห่งความดีใจไหลรินออกมา มุกดารีบวิ่งเข้าไปหาแม่ค้าคนนั้น ข้าวผัดธรรมดา ๆ แต่ตอนนี้กลับมีค่าต่อชีวิตของเธอมาก "กินให้อิ่มนะลูก น้ำอยู่ในกระติกหนูตักเอาเองนะ ถ้าไม่อิ่มมาบอกน้าเดี๋ยวน้าจะทำให้เพิ่ม"รู้สึกตื้นตันในหัวใจเพราะยังมีใครที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่ชื่อยื่นมือเข้ามาช่วย "รับข้าวไปสิจ๊ะหนู"มุกดามองจานข้าวที่อยู่ในมือของแม่ค้า ตอนนี้เธอมีความรู้สึกลังเลใจจะทำยังไงกับข้าวจานนี้ดีเธอไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวสักบาท สีหน้าของมุกดาแม่ค้ารับรู้ได้ "รับไปเถอะหนูข้าวผัดจานนี้น้าไม่คิดเงิน"เงยหน้าขึ้นมาสบตา แม่ค้าใจดีกำลังส่งยิ้มให้ "ขอบคุณนะคะคุณน้า"ยกมือไหว้ก่อนที่จะยื่นมือไปรับจานข้าว มุกดามองจานข้าวผัดอย่างดีใจมื้อนี้เธอคงจะรอดตายจากความหิว มุกดาถือจานข้าวมานั่งกินที่โต๊ะว่าง ก่อนที่จะลงมือกินข้าวอย่างน่าอร่อยมื้อนี้ถือเป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดในรอบสองเดือนตั้งแต่ที่พ่อของเธอจากไป ก่อนหน้านั้นเธอเพียงทำได้แค่ทานข้าวเหนียวห่อละห้าบาทกับหมูย่างไม้ละห้าบาทเท่านั้นซึ่งอาหารมื้อเดียวต่อวันทำให้ร่างกายของมุกดานั้นซูบผอมได้อย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เธอมีแค่ผิวหนังที่ห่อหุ้มกระดูก หลังจากที่ทานข้าวผัดจานนั้นเสร็จมุกดาก็มองซ้ายมองขวาหาที่เก็บจานจนเธอเหลือบสายตาไปเห็นกะละมังใบเก่า ๆ ที่มีจานวางอยู่มากมาย จะเป็นอะไรไหมถ้าเธอจะตอบแทนความมีน้ำใจของแม่ค้าคนนี้ วันนี้ร้านอาหารมีคนเข้ามาใช้บริการแน่นร้านกว่าทุก ๆ วันจนทำให้ปิดร้านเกือบจะมืดค่ำ แม่ค้านั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยหอบ ทำข้าวให้ลูกค้ามือเป็นระวิงจนไม่มีเวลาได้พัก แต่เดี๋ยวก็ยังต้องเก็บร้านอีกแต่เมื่อมองไปที่หลังร้านเธอก็ต้องตกใจ จานข้าวที่อยู่ในกะละมังถูกล้างและจัดเก็บไว้เป็นอย่างดีด้วยฝีมือของเด็กผู้หญิงเธอให้ข้าวผัดในเมื่อตอนเที่ยง 'ขอบคุณคุณน้าสำหรับข้าวผัดจานนั้น หนูจะไม่ลืมบุญคุณของคุณน้า หนูหวังว่าวันหนึ่งหนูจะได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณให้กับคุณน้านะคะ เก็บจดหมายฉบับนี้ของหนูไว้ให้ดีนะคะ มุกดา' วันเวลาล่วงเลยเข้ามาจนถึงเดือนที่สามมุกดาหนูน้อยวัยสิบขวบต้องเดินร่อนเร่พเนจรไปตามถนนหนทางต่างใช้ชีวิตเยี่ยงขอทานที่ยกมือขอข้าวน้ำจากชาวบ้าน "ไป๊ จะไปไหนก็ไปอย่ามาเกะกะหน้าร้านฉัน"เสียงด่าทอของแม่ค้าร้านขายข้าวพร้อมกับสาดน้ำขับไล่ มุกดาเดินออกมาอย่างปวดใจน้ำตารินไหลนี่สองวันแล้วที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องของเธอ เด็กน้อยเดินไปตามถนนมองดูเมฆฝนสีดำที่กำลังมืดครึ้ม "เอ๊ะ นั่นแม่นี่"หน้าโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินลงมาจากรถคันหรูมีผู้ชายประคองผู้หญิงอยู่ด้วยความทะนุถนอมทั้งสองยิ้มให้อย่างมีความสุข สายตาแห่งความคิดถึงมองใบหน้าของแม่ตัวเองที่กำลังหัวเราะกับผู้ชายคนเดียวกับที่อยู่ในรูปทั้งสองกำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์เมื่อเธอเห็นหน้าท้องของแม่ที่กำลังนูนเด่นเท่านี้มันก็รู้ได้แล้วว่าแม่ของเธอได้ตัดขาดจากเธอและพ่ออย่างเป็นที่เรียบร้อยแต่ความหวังเพียงน้อยนิดก็ยังอยากกลับไปสู่อ้อมกอดของผู้เป็นแม่ที่อุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่น้อย "แม่ขา"เสียงเล็กที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้มณีจันทร์และพัชรพลหันกลับไปมอง ทั้งคู่มองเด็กน้อยด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป มณีจันทร์มองเด็กสาวที่เธอจำใบหน้าได้กำลังยืนส่งยิ้มมาให้เธอ ในใจรู้สึกกระวนกระวายจนมือไม้สั่นจนพัชรพลสามีใหม่นั้นสัมผัสอาการของภรรยาได้ "คุณเป็นอะไรหรือเปล่าจันทร์หรือว่าคุณเวียนหัว"ถามภรรยาที่อยู่กินกันมาร่วมสามเดือนด้วยความเป็นห่วงเพราะตอนนี้เธอกำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ "ค่ะจันทร์รู้สึกเวียนหัว" "แม่ขา แม่จันทร์ของหนูมุก"เสียงจะเรียกของเด็กน้อยยังคงดังไล่ตามหลัง ก่อนที่ร่างของมุกดาจะวิ่งเข้ามาหาแต่ก็ถูกการ์ดของพัชรพลขัดขวางเอาไว้ "แม่จันทร์ขานี่หนูมุกลูกของแม่จันทร์ไงคะ" "คุณรู้จักเด็กคนนี้ด้วยหรือจันทร์"สามีหันไปถามภรรยาด้วยความฉงนใจว่าทำไมถึงมีเด็กมาแอบอ้างว่าภรรยาของเขาเป็นแม่ ทั้งที่เธอบอกกับเขาว่าไม่เคยมีสามีและครอบครัวมาก่อน "จันทร์ไม่รู้จักเด็กคนนี้ค่ะ พัฒน์คะจันทร์เคยบอกคุณแล้วไงว่าจันทร์ไม่เคยมีครอบครัวแล้วจันทร์จะมีลูกได้ยังไง แล้วอีกอย่างเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้จะมาเป็นลูกของจันทร์ได้ยังไง เธอคงหลงทางกับพ่อแม่ของเธอนั่นแหละค่ะ"มณีจันทร์จ้องลูกสาวในใส่อย่างไม่วางตารู้สึกโกรธแค้นจนอยากจะจับมุกดาฉีกออกให้เป็นชิ้น ๆ ที่กำลังจะทำให้ชีวิตของเธอจมดิ่งลงมาอยู่ที่เดิม "หนูหลงทางกับพ่อและแม่เหรอ" "พัฒน์คะถึงเวลานัดกับหมอแล้วนะคะวันนี้หมอจะอัลตราซาวด์ดูลูกของเราด้วยไปกันเถอะค่ะ" "แล้วเด็กคนนี้ล่ะจันทร์" "อย่าไปสนใจเลยค่ะก็แค่เด็กขอทานจน ๆ คนหนึ่ง"ว่าแล้วมณีจันทร์ก็ดึงมือให้สามีของเธอเดินเข้าไปในตัวของโรงพยาบาลโดยที่ไม่คิดจะหันกลับมามองลูกสาวในไส้ที่กำลังยืนจ้องมองตามแผ่นหลังไป ในใจตอนนี้เจ็บปวดจนแทบขาดใจก่อนที่จะเดินหันหลังออกมา เด็กน้อยเดินร้องไห้ไปตามทางอย่างคนอ้างว้างคำพูดของผู้เป็นแม่เธอจดจำมันได้ทุกคำ "พ่อขาหนูมุกคิดถึงพ่อ พ่อมารับหนูมุกไปอยู่ด้วยนะคะ"ไร้ซึ่งกำลังใจที่จะเดินต่อไป สายตามองเห็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ข้างหน้า น้ำตารินไหลชีวิตนี้คงไม่มีใครต้องการคนอย่างเธออีกต่อไป สู้กระโดดน้ำให้ตาย ๆ ไปเลยเสียดีกว่า กำแพงกั้นมีขั้นราวบันไดง่ายดายต่อการปีนป่าย สายตามองแม่น้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มันคงจะถึงเวลาที่คนไร้ค่าอย่างเธอคงต้องจากลาโลกนี้ไป "มารับหนูไปอยู่ด้วยนะคะพ่อฉัตร"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม