บทที่ 5
ยังมีเวลาอีกเป็นวันกว่าจะถึงเมืองหลวง หวงจิงอวี๋นั่งมองคนที่ยังคงหลับสนิทราวกับต้องการจะถามว่าคำที่นางเอ่ยออกมาเมื่อคืนก่อนมันคืออะไรกัน
“ทำไมท่านแม่ทัพไม่ออกมาเลยล่ะ” เพราะเป็นแม่ทัพใหญ่จึงไม่ชอบให้ใครยกยศถาบรรดาศักดิ์ของตนมาที่สนามรบ ระหว่างที่ทำหน้าที่แม่ทัพ แม้จะเป็นอ๋องหรือจะเป็นพระอนุชาของกษัตริย์แต่หวงจิงอวี๋ก็ให้ทุกคนปฏิบัติกับเขาเหมือนกับแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น
“ตั้งแต่รับแม่นางผมขาวคนนั้นขึ้นมาก็หายเงียบไปในห้องมีเพียงแค่องครักษ์จูที่เข้า ๆ ออก ๆ ได้” องครักษ์จูได้ยินทุกคนที่เหล่าทหารบนเรือพูด และที่จริงเขาก็บอกกับแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ยังเลือกที่จะเฝ้าแม่นางผู้นั้นราวกับรอคอยอะไรสักอย่าง
“อื้อออ” เสียงคล้ายกับคนรู้สึกตัว ไม่ใช่เสียงบ่นงึมงัมเหมือนก่อนหน้านี้ทำให้หวงจิงอวี๋ที่เฝ้าอีกฝ่ายจนแทบไม่ได้หลับได้นอนเร่งไปที่ข้างเตียง
“แม่นาง” คำเรียกของชายหนุ่มยังไม่แปลกเท่ากับทรงผมและเสื้อผ้าของเขา
“มันก็แค่ปาร์ตี้ทำไมต้องเรียกอย่างนี้ด้วย” หลงเหยียนที่คิดว่าตนยังคงอยู่ในปาร์ตี้บนเรือบ่นออกไป “แล้วใครเป็นคนไปช่วยฉันเนี่ย” เธอคิดว่าตัวเองเพียงแค่ตกน้ำแล้วก็มีคนกระโดดลงไปช่วยแต่คำพูดแต่ละอย่างของหญิงสาวกลับทำให้คนที่ตื่นตกใจอยู่พอประมาณแล้วยิ่งตกใจหนักเข้าไปใหญ่
“ปาร์ตี้ คือสิ่งใดกัน แล้วฉันคือชื่อของเจ้าหรือ ช่างเป็นนามที่แปลกยิ่งนัก” แม้ว่าหวงจิงอวี๋จะรู้สึกว่าหญิงสาวที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาแปลกประหลาด แต่สำหรับหลงเหยียนที่ถึงจะเรียนโบราณคดีมา แต่เจอคำพูดคำจาแบบนี้ก็รู้สึกประหลาดไม่น้อยเหมือนกัน
“กินเหล้ามากไปจนเมาหรือไง”
หวงจิงอวี๋ชี้ที่ตนเอง “ข้าน่ะหรือ ข้าไม่ได้เมา ไม่ได้ร่ำสุราแม้เพียงนิด”
หลงเหยียนขยี้หัวตัวเอง โอ้ย อินกับบทมากไปหรือไง
“จะอะไรก็ช่างเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันงงไปหมดแล้ว” หญิงสาวมองไปรอบ ๆ เหมือนกับห้องไม้ธรรมดาแค่โคลงไปโคลงมา ซึ่งไม่เหมือนกับเรือที่เธอขึ้นแม้แต่น้อย
เมื่อคิดว่าบางทีคนบนเรืออาจจะไม่ได้เป็นคนช่วยเธอแต่เป็นชาวประมง หรือเรือที่ผ่านมาก็ทำให้ดวงตาของหญิงสาวคลอด้วยน้ำใสน้อย ๆ เธอหายไปคงไม่มีใครสนใจเลยสินะ แต่แล้วหญิงสาวก็ตัดใจแล้วบอกกับคนตรงหน้าไป โดยลืมนึกไปว่าหากนี่เป็นเรือประมงหรือเรือที่ผ่านมาจะแต่งชุดโบราณแฟนซีเหมือนกับเธอทำไมกัน
“ถ้ามีท่าเรือไหนที่มีแท็กซี่ก็ทิ้งฉันเอาไว้ที่นั่นก็ได้” คำแปลกประหลาดอีกครั้งทำให้หวงจิงอวี๋แปลกใจ
“เจ้าเป็นคนที่ไหนกัน” เพราะคำพูดและท่าทางแปลก ๆ ของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มจำต้องถามคำนี้ออกไป
“คุนหนิง”
ชื่อเมืองที่ไม่คุ้นทำให้แม่ทัพหนุ่มเกิดความสงสัยจนหัวคิ้วขมวด
ส่วนทางด้านหลงเหยียนที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นมาอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ก็ไม่ได้รู้เลยว่าคุนหนิงของเธอนั้นเมื่อก่อนเรียกกันว่าหยุนหนานฝู่ทำให้ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน และคิดไปเองว่าหญิงสาวนั้นเป็นคนที่มาจากสวรรค์ชั้นฟ้าจริง ๆ
“นี่ของเจ้าหรือ”
หลงเหยียนเห็นสร้อยที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็พยายามจะคว้าเอาไว้ “นั่นของฉันนะ เอาคืนมามันเป็นของสำคัญที่จะช่วยคน” พอเผลอหลุดพูดออกมาก็ทำให้นึกเรื่องราวออก แล้วก็เริ่มสงสัยว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่ “หรือบางทีอาจจะกำลังฝัน” หลงเหยียนพูดออกมา
“เจ้าไม่ได้ฝันหรอก ตอบข้ามาเถอะเรื่องนี้มันสำคัญมาก แล้วเจ้าได้สร้อยนี้มาได้อย่างไร”
ท่าทางร้อนรนและภาพที่เคยเห็นเกิดชัดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่าน...” ใบหน้าคมคาย ดวงตาราวกับพยัคฆ์และผมสีดำตรงยาวแม้กระทั่งยามที่ออกดาบผมนั่นก็ยังพริ้วไหวตาม “ท่านคือหวงจิงอวี๋เหรอ”
หลงเหยียนโพล่งออกไป และนั่นก็ทำให้คนที่ได้รับคำถามตอบรับอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วอย่างว่าเขาเป็นใครก็ตาม
“ไม่จริงน่า” หลงเหยียนพูดกับตัวเอง เธอตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย “แล้วหยูอิง และหย่งเล่อล่ะ ทั้งสอง”
คำเรียกที่ไม่เอ่ยถึงยศถาบรรดาศักดิ์แต่กลับพูดเพียงชื่อเฉย ๆ ทำให้หวงจิงอวี๋เตรียมจะเตือนหญิงสาวแล้วหากไม่มีคำถัดมา
“แล้วเรื่องคำสาปนั่น”
ชายหนุ่มจับร่างสวยตรงหน้าให้หันมาเผชิญหน้ากัน
“เจ้ารู้เรื่องคำสาปหรือ เจ้าแก้ได้ใช่หรือไม่ เจ้าเป็นเซียนหรือเทพแปลงกายมาใช่ไหม เป็นคนที่สวรรค์ส่งมาให้ช่วยพี่ชายของข้า โอรสแห่งสวรรค์ใช่หรือไม่”
คำของหวงจิงอวี๋ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับหญิงสาว เธอไม่รู้จะต้องพูดอธิบายอย่างไร
แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าเธอมาช่วยแก้คำสาปให้เข้าใจว่าเป็นเทพเซียนเองก็ดีเหมือนกัน เพราะจากที่เธอได้ฟังสองแม่ลูกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มันไม่ใช่จะแก้กันง่าย ๆ และเธอก็ต้องมีคนช่วย
“ฉัน...คือเราจะมาช่วยแก้คำสาปแต่เราทำเองไม่ได้ต้องมีคนช่วยเหลือ”
เพราะพูดคำว่าฉันแล้วอีกฝ่ายมองเธอแปลก ๆ จึงเปลี่ยนสรรพนามแต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลกอยู่ดี