1 ข้าโตแล้วช่วยทำงานหาเงินได้
กองโจรปิดบังหน้าตาขี่ม้าไล่สังหารคนในขบวนที่หยุดพักระหว่างทางจนหมดไม่นานนักก็จากไปทิ้งเพียงรอยเท้าม้า และซากศพหลายสิบร่างถูกสังหารบนเส้นทางที่ไร้ผู้คนกลางป่าเขา ข้าวของถูกทิ้งกระจัดกระจาย ห่างไปไม่ไกลนักมีเด็กชายวัยเก้าปีกอดเด็กทารกเพศหญิงที่หลับสนิทไว้ในอ้อมกอดแอบซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า
“อันเอ๋อร์ จำไว้อย่าได้ส่งเสียงอย่าขยับตัวออกมาจากที่นี่ เข้าใจไหม”
“ทำไม ข้าออกไปไม่ได้”
“เจ้ารักน้องสาวมากไม่ใช่เหรอเชื่อแม่”
โชคดีที่เด็กทารกไม่ได้ส่งเสียงร้องขึ้นมา เด็กชายมองภาพที่นองไปด้วยเลือดด้วยสายตาหวาดหวั่น ในใจทั้งหวาดกลัวทั้งเสียใจฟันน้ำนมกัดริมฝีปากไว้จนมีเลือดไหลซึมออกมา ภาพคนในขบวนพยายามต่อสู้จนสุดท้ายไม่มีใครเหลือรอดสักคน โชคดีที่กองโจรตรวจดูไม่มีใครรอดชีวิตก็ไม่ได้ค้นหาต่อ
ตอนนี้เขาไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นอีกต่อไปแล้วญาติที่เหลือเพียงคนเดียวคือน้องสาวในอ้อมกอด
“ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าจะดูแลน้องสาวให้ดีพวกท่านวางใจได้”
กานโจวเมืองขนาดเล็กในแคว้นเฟิ่ง
หมู่บ้านนอกเขตกำแพงเมือง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยคนยากจนบ้านเรือนที่ทรุดโทรมจำนวนมากปลูกกระจัดกระจายไปทั่ว บ้านร้างหลังหนึ่งที่ภายในบ้านหลังเล็กแทบจะเรียกไม่ได้ว่าบ้าน หลังคาแตกมองเห็นดวงดาวยามค่ำคืนฝนตกหิมะตกล้วนทำให้ภายในบ้านเปียกแฉะ ผนังบ้านมีรอยแตกเป็นรู
ยามที่ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านลอดช่องเข้ามาทำให้เด็กน้อยที่ร่างกายผอมบางหนาวสั่นสะท้านจนฟันกระทบกัน
“พี่ใหญ่ ข้าหนาวจัง”
“อดทนไว้ พรุ่งนี้พี่ชายจะไปหาฟางมาเพิ่มเจ้าจะได้อุ่นกว่าคืนนี้”
พี่ชายมองน้องสาววัยสามขวบด้วยความสงสารและจนปัญญา หากบิดามารดาไม่ได้จากไปกระทันหันน้องสาวต้องถูกเลี้ยงดูขาวอวบอ้วนกลมและเป็นที่รักอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ด้วยกำลังของเขาเพียงคนเดียวแทบไม่เพียงพอจะเลี้ยงน้องให้มีชีวิตรอดทั้งสองสวมเพียงชุดเก่าขาดวิ่นที่แทบจะให้ความอบอุ่นอันใดไม่ได้แล้ว เขาโอบกอดน้องสาวเข้ามาด้วยความสงสาร หวังเพียงการกอดกันให้แน่นกว่าเดิมจะสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้แก่กันได้ น้องสาวหลับไปในที่สุดเด็กชายนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เพราะเขาอายุยังน้อยได้แต่หลบหนีไม่ได้หยิบทรัพย์สินของบิดามารดาติดมาสักชิ้น
ชีวิตสองคนพี่น้องผ่านไปด้วยความยากลำบากเพราะอยู่ใกล้แนวป่าอาจมีสัตว์ร้ายออกมาได้ตลอดเวลา พี่ชายต้องซ่อนน้องสาวไว้ในตู้เก่าๆ ก่อนจะออกจากบ้านไปหางานทำเล็กๆน้อยๆ แลกกับอาหารกลับมาเป็นเช่นนี้อีกหลายปี
สวีฟู่อันเด็กหนุ่มร่างกายผอมบางแตกต่างจากเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน เพราะขาดแคลนร่างกายในวัยสิบห้าปีจึงเหมือนยังโตไม่เต็มที่นัก แตกต่างจากเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนกลับขาวอวบตัวอ้วนกลมบอกได้ว่าผู้เป็นพี่ชายรักใคร่ขนาดไหนเงินทองที่ใช้แรงกายหามาได้น้อยนิดล้วนกลายเป็นอาหารสำหรับน้องสาวตัวน้อยที่เขาแสนรักใคร่
“หลงเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์ พี่กลับมาแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาเช่นทุกวัน สวีฟู่อันรู้สึกตื่นตระหนกไม่เคยมีสักครั้งที่ตนกลับมาแล้วน้องสาวจะไม่ส่งเสียงทักทายและรีบวิ่งกลับมาหาเขา ยิ่งเปิดเข้าไปในบ้านไร้เงาของเด็กน้อยยิ่งรนรานวิ่งไปอีกห้องจนหาทั่วทั้งด้านในและด้านนอกเขายิ่งร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เสียงเดินด้านนอกที่คุ้นเคยดังขึ้น
"ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว"
“หลงเอ๋อร์ เจ้าไปไหนมาพี่กลับมาบ้านไม่เห็นเจ้าข้าตกใจมาก เจ้าไปไหนมา”
สวีหลิงหลงแบมือให้เขาดู ในสายตาของคนเป็นพี่ได้เห็นผิวที่ขาวเรียบเนียนมีรอยแดงช้ำรอยถลอกเขารู้สึกเจ็บแทนน้องสาว
“มือเจ้าเป็นแผลมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ใครทำอะไรเจ้า”
“ท่านพี่ ข้าให้ท่านดูมือข้าเสียที่ไหน ข้ากำลังให้ท่านดูเงินบนมือข้าต่างหาก”
สวีฟู่อันมองสิ่งที่อยู่บนฝ่ามือที่มีแต่รอยช้ำด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เจ้าไปทำอะไรมา”
“ข้าไปช่วยท่านป้าหลิวไล่นกบนแปลงนา นี่เป็นข้าแรงของข้า”
“โถ่ หลงเอ๋อร์ข้าให้เจ้าอยู่บ้าน เจ้าออกไปทำไมกัน”
“ท่านพี่ ข้าโตแล้ว ข้ารู้ว่าร่างกายของท่านอ่อนแอมากกว่าคนอื่นในรุ่นเดียวกัน”
“ใครพูดให้เจ้าฟังกันแน่ เจ้าอายุเท่านี้จะรู้ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องสนใจ ข้ารู้ก็แล้วกัน และจากนี้ไปท่านไม่ต้องห้ามข้า ข้าโตพอจะช่วยท่านได้แล้ว เด็กๆ คนอื่นในหมู่บ้านก็ทำได้เหมือนกัน ข้าร่างกายแข็งแรงกว่าท่านข้าทำได้”
“ไม่ได้”
“งั้นทางที่ดีท่านก็มัดข้าไว้กับเสาเรือนทุกวัน ไม่เช่นนั้นข้าจะหนีออกไป บางทีอาจไม่กลับมาเลยก็ได้”
“หลงเอ๋อร์ เจ้าต้องขู่ข้าเช่นนี้เชียวหรือ เฮ้อ ได้ตามใจเจ้า แต่เจ้าต้องดูกำลังของตัวเองได้เจ้าเป็นผู้หญิงข้าเป็นห่วง”
“ข้ารู้ ข้าจะระวังตัว ท่านไม่ต้องกังวล”
“ข้าต้องบอกเจ้าไว้ก่อน อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกจากที่นี่”
“พวกเราจะย้ายบ้านเหรอ”
“ใช่ ที่นี่แห้งแล้งขึ้นกว่าเดิม ข้าลองคุยกับชาวบ้านคนอื่นๆ แล้ว ว่าจะพากันไปที่เมืองหลวง ที่นั่นข้ายังพอใช้ความรู้เกี่ยวกับอักษรรับจ้างหาเงิน อาจได้มากกว่าที่นี่ซึ่งมีแต่งานที่ใช้แรง”
“ดีๆ พี่ชายไปไหนข้าไปด้วย”
สวีหลิงหลงรู้ดีว่าพี่ชายตัวเองอ่านและเขียนอักษรได้ แต่เพราะมีกันเพียงสองคนเขาต้องใช้แรงงานแลกเงินมาเลี้ยงดูตนเองเพราะที่นี่เล็กและไม่มีงานให้เลือกมากนัก
สวีฟู่อันยังคงละเอียดละออในการเลือกหาที่พักเมื่อมาถึงเขตชานเมืองซานซิง กลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกันก็แยกย้ายกันไปบางคนก็มีญาติบางคนก็ไปหางานทำงาน ตลอดการเดินทางสองพี่น้องรับจ้างทุกอย่างที่สามารถใช้แรงทำได้ แม้เด็กหนุ่มจะไม่ค่อยแข็งแรงนักแต่เพราะอ่านออกเขียนอักษรได้จึงพอหางานเล็กๆน้อยๆ ทั้งสองไม่ได้หาที่พักในเมืองเลือกที่จะอาศัยอยู่ในวัดเล็กๆ ก่อนจะสอบถามจนพอรู้ราคาบ้านเรือน ในที่สุดก็สามารถหาเรือนขนาดไม่ใหญ่มากนักได้
“พี่ชาย พวกเราสองคนมีบ้านแล้ว ดีจัง”
“พวกเราประหยัดเอาหน่อย อีกหน่อยค่อยซื้อไว้เป็นของเราป้าเจ้าของเรือนเขาบอกแล้วว่าตอนนี้เช่าไปก่อน”
“ไม่นานแน่นอน ข้าโตแล้วช่วยท่านได้”
“อย่าลืมเจ้าเป็นสตรี ด้านนอกล้วนมีแต่อันตราย”
เช้าวันรุ่งขึ้น สวีฟู่อันเปิดประตูห้องนอนออกมาก็ต้องตกใจด้านนอกมีเด็กชายวัยสิบขวบยืนจ้องมองมาที่เขา
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร”
“ฮิๆ พี่ชาย ข้าเอง หลงเอ๋อร์”
“นี่ๆ เจ้าแต่งตัวแบบนี้ทำไม”
“ข้าคิดว่าแต่งกายเป็นชายจะได้ปลอดภัย แล้วอีกอย่างก็จะหางานได้ง่ายขึ้นด้วย”
สวีฟู่อันรู้สึกอ่อนแออย่างยิ่ง เขากำลังมองแผ่นหลังเล็กๆ ของน้องสาวที่ตนเองดูแลมาตั้งแต่แบเบาะกำลังออกไปหางานทำในขณะที่ตนเองทำเพียงการรับจ้างคัดตำราและเขียนจดหมายเท่านั้น บางวันก็ยังมีไข้ล้มป่วยลงจนต้องลำบากนางออกไปซื้อยามาให้ ป้าฉินต้มให้กับตนเอง เพราะร่างกายนี้ทำให้นางยิ่งเพิ่มความอดทนทำงานแล้วจ้างคนมาดูแลทั้งที่เขาปฏิเสธ สุดท้ายก็ไม่สามารถโต้แย้งชนะนางได้สักครั้ง
แปดปี ต่อมาช่วงเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว น้ำท่าแห้งแล้งมีแต่ใบไม้แห้งกรอบร่วงหล่นปลิวตามแรงลมเสียงตะโกนดังแทรกความเงียบสงบยามดึก
“ไฟไหม้ๆๆ ช่วยด้วยไฟไหม้”
“เร็วๆ รีบออกมาไวๆ”
“บ้านไหนๆไฟไหม้”
“บ้านเถ้าแก่เจีย ร้านขายผ้า เร็วๆๆ ไฟไหม้ ใครรีบไปแจ้งหน่วยดับเพลิงนครบาลเร็วๆ"
“น้ำๆ ตักน้ำมาไวๆ เอาถังมาตักน้ำไปช่วยกันดับไฟไวๆ"
“มาช่วยกันดับไฟเร็วๆ”
เสียงดังโวยวายดังไปทั่ว ในยามจื่อของเดือนหกเริ่มต้นของฤดูร้อนที่อากาศแห้งแล้งไร้ซึ่งเม็ดฝนอีกยาวยาวนับสามเดือน แสงไฟลุกโชนแสงสีแดงสว่างท่วมฟ้าควันไฟพุ่งขึ้นสูงจนมองเห็นได้จากอีกฝากหนึ่งของเมือง เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในชุมชนที่บ้านเรือนแออัดทั้งยังขาดแคลนน้ำท่ามกลางกลุ่มคนที่สับสนวิ่งกันวุ่นวาย ยิ่งทำให้การเข้าไปดับเพลิงยิ่งทำได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้นกลุ่มทหารจากหน่วยดับเพลิงประจำเมืองวิ่งมาก็หยุดชะงักมองดูชาวบ้านที่บ้างก็วิ่งถือสิ่งของบ้างก็ถือถังน้ำขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันพยายามจะดับไฟ มีกลุ่มชาวบ้านที่นั่งกอดเด็กคนแก่ร้องไห้