สงสัยกันใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร?
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ผมไปเที่ยวกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดตอนช่วงปิดเทอม จริง ๆ ก็คือพ่อผมไปดูงานเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้านั่นแหละครับ เลยถือโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนด้วยเลย
จริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากมาด้วยหรอกถ้าไม่ติดว่าแม่กับพ่อบังคับและลากผมมาด้วย ซึ่งเหตุผลก็เพราะอยากใช้เวลาครอบครัวอยู่ด้วยกัน
“เดินดูอะไรไปก่อนนะธาน เดี๋ยวแม่กับพ่อไปคุยงานก่อน” แม่หันมาพูดบอกผม ผมจึงพยักหน้าตอบแม่กลับไป
ท่านทั้งสองพอพูดกับผมเสร็จก็ไปทำธุระ ทิ้งให้ผมเดินเล่นในห้างคนเดียวแบบเหงา ๆ ผมไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนดี เพราะผมก็ไม่ใช่คนชอบเดินห้างไง แล้วก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะเดินช้อปปิ้งดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยได้เป็นวัน ๆ
เบื่อฉิบหาย
ผมเดินไปเรื่อย กวาดสายตามองดูคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา และสายตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงมอปลายสามคนที่กำลังเดินช็อปปิ้งกันอยู่ ตอนแรกผมก็กะจะมองผ่าน ๆ เหมือนคนอื่นทั่วไป แต่สายตามันดันไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น เธอดูน่ารัก ตาโต ๆ ตัวเล็ก ๆ ดูมีเสน่ห์มากกว่าเพื่อนของเธออีกสองคน
เวลาเธอยิ้มหรือหัวเราะ ทำให้โลกใบนี้ดูสดใสขึ้นมาในพริบตาเลยว่ะ ผมละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย
Rrrrrr…
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ทำให้ผมต้องละสายตาจากเธอมาสนใจโทรศัพท์มือถือของตนเองแทน
“ฮัลโหลครับ” ผมกดรับสายและขานรับไป เป็นแม่ผมเองที่โทรมาตามผม เพราะพ่อกับแม่จะกลับโรงแรมกันแล้ว
หลังคุยกับแม่เสร็จผมก็รีบกดวางสาย ก่อนจะกวาดสายตามองหาเด็กผู้หญิงคนนั้นต่อ แต่ผมไม่เห็นเธอและเพื่อนแล้ว ผมจึงตัดใจและเดินมาที่ลานจอดรถ และเห็นพ่อกับแม่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
พอขึ้นมาบนรถแม่ก็ถามผมว่าไปเดินทำอะไรมาบ้าง ผมก็ตอบปัด ๆ ไปว่าไม่ได้ทำอะไร เดินเล่นเฉย ๆ ผมล่ะอยากจะถามแม่กลับไปอยู่ว่ามาห้างนี่มีอะไรให้ผู้ชายอย่างผมทำก่อน? แต่ก็ไม่กล้าถามไป เพราะกลัวว่ามันจะไม่จบ
วันต่อมาผมก็ออกมาทานข้าวเที่ยงกับพ่อแม่ที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งของจังหวัดนั้น วันนี้เป็นวันเสาร์คนในร้านก็เลยค่อนข้างเยอะ โต๊ะนี่เต็มเกือบหมด ถ้าพ่อแม่ผมไม่ได้จองไว้ก็คงไม่ได้มานั่งกินอ่ะ
“รับอะไรดีคะ?” เสียงเล็กของพนักงานเอ่ยถามพวกเราขึ้น ผมจึงเงยหน้าจากเมนูอาหารขึ้นไปมองที่ต้นเสียง และก็ต้องตกตะลึง หัวใจเต้นแรง เพราะเธอคือเด็กผู้หญิงคนนั้นที่สามารถดึงดูดสายตาของผมได้ที่ห้างเมื่อวานนี้ และตอนนี้เธอก็ทำให้ผมละสายตาจากเธอไม่ได้เลย
“เอาปลากะพงราดพริก แกงเขียวหวานปลากราย ต้มยำกุ้ง...เอาอะไรอีกไหมคุณ ตาธาน?” แม่พูดสั่งอาหารกับเธอไป ก่อนจะหันมาถามผมกับพ่อ ซึ่งพ่อผมก็ส่ายหน้า
“ไม่ครับ” ผมพูดตอบแม่ไปแต่สายตายังมองไปที่คนตัวเล็กที่ยืนรอรับออเดอร์อยู่
“แค่นี้ล่ะจ้ะ” เมื่อเห็นว่าผมกับพ่อไม่สั่งอะไรเพิ่มเติม แม่ผมก็หันไปพูดบอกเธอ
“โอเคค่ะ รออาหารสักครู่นะคะ” เธอพูดบอกพวกเราพร้อมยิ้มหวานให้ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
“ผมไปเข้าห้องน้ำนะ” ผมเอ่ยบอกพ่อกับแม่ พอพวกท่านพยักหน้าให้ก็รีบลุกขึ้นเดินมาทางห้องน้ำ ซึ่งทางไปห้องน้ำมันต้องผ่านครัวไง ก็เลยกะว่าจะแอบส่องเธอคนนั้นสักหน่อย
พอผมเดินผ่านมาถึงครัวก็พยายามกวาดสายตามองหาเธอ แต่ก็ไม่มีวี่แววของเธอเลย ผมก็เลยตัดใจและเดินเลยไปทางห้องน้ำด้วยใจแป๋ว ๆ
ขณะกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ อยู่ ๆ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร่างของเธอกำลังยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาเธอเคร่งเครียดมาก ผมยืนมองเธออยู่ได้สักพักหนึ่ง เธอก็วิ่งมาทางผมพอดี
แต่วินาทีที่เธอกำลังจะวิ่งผ่านผมไป ผมก็เห็นว่าใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา เธอกำลังร้องไห้ วินาทีนั้นผมทำอะไรไม่ถูกจึงตัดสินใจคว้าข้อมือเธอไว้ และเธอก็หันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจมาก
“มีอะไรคะ?” เธอถามผมเสียงสะอื้นไห้ สีหน้าดูสงสัยไม่น้อยว่าทำไมผมถึงคว้าข้อมือเธอไว้
“เอ่อ...” ผมไม่รู้จะตอบเธอไปว่าอะไร เพราะอยู่ ๆ ก็ดันไปคว้าข้อมือเธอมาเลย ไม่รู้ว่ะ ผมเห็นเธอร้องไห้แล้วรู้สึกแปลก ๆ
เมื่อเห็นผมอึกอัก เธอก็ค่อย ๆ ขยับข้อมือของตัวเองออกจากมือผม พร้อมจ้องมองอย่างรอคำตอบจากผม
“...หม่อน”
ขณะที่ผมกำลังอ้ำอึ้ง เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังผม ผมจึงหันกลับไปมองต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นผู้ชายคนเมื่อกี้ที่ยืนคุยกับเธอ
พอเธอเห็นผู้ชายคนนั้นก็เตรียมจะวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ผู้ชายคนนั้นก็คว้ามือของเธอเอาไว้ได้ทัน
“หม่อน...ฟังก่อน”
“ไม่! ปล่อย อย่ามาจับ!” เธอพูดเสียงแข็งและพยายามแกะข้อมือของตัวเองให้ออกจากการจับกุมของผู้ชายคนนั้น แต่เขาก็พยายามจับมือเธอไว้แน่นไม่ให้เธอแกะออกได้
“ฟังเราก่อนได้ไหม?” เสียงผู้ชายคนนั้นอ่อนลง พยายามขอร้องอ้อนวอนให้เธอฟังเขา แต่เธอก็ดูใจแข็งมาก
“ไม่!” เธอสะบัดข้อมือออกจากผู้ชายคนนั้นอย่างแรงพร้อมกับสร้อยข้อมือที่กระเด็นหลุดออกจากข้อมือของเธอ
เมื่อเป็นอิสระจากการจับกุมของผู้ชายคนนั้น เธอก็รีบวิ่งหนีออกไปจากร้านทันที ผู้ชายคนนั้นเองก็ไม่ยอมแพ้ เขารีบวิ่งตามเธอออกไป
ผมได้แต่ยืนอึ้งและงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงไปหยิบสร้อยข้อมือของเธอขึ้นมาดู มันเป็นสร้อยข้อมือน่ารัก ๆ ของผู้หญิง ผมยืนมองสร้อยข้อมือนี่ก่อนจะพึมพำออกมาคนเดียว
“หม่อน...เหรอ”
ผมได้ยินผู้ชายคนนั้นเรียกเธอว่า ‘หม่อน’ ก็แปลว่าเธอชื่อหม่อนสินะ ผมยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อรู้สึกดีใจที่ได้รู้ชื่อของเธอ ก่อนจะเก็บสร้อยข้อมือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง กะว่าจะเอาไปคืนเธอวันหลัง แต่ว่าวันต่อมาพ่อผมดันมีประชุมด่วนที่กรุงเทพฯ ทำให้เราต้องรีบกลับกรุงเทพฯ ก่อนกำหนด ผมจึงไม่มีโอกาสได้เอาสร้อยข้อมือไปคืนให้เธอ
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปที่นั่นอีกเลย เพราะครอบครัวผมไม่ค่อยว่าง บวกกับผมต้องเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยเเละเรียนหนักมาก จึงทำให้ผมไม่ได้เจอเธออีกเลยตั้งแต่นั้นมา
ผมจะคอยหวนคิดถึงเรื่องราวในวันนั้นเสมอ เวลาที่ได้เห็นสร้อยข้อมือของเธอ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะก็คือตอนที่ผมได้เจอเธออีกครั้งเมื่อวานนี้ เธอมาเรียนที่เดียวกับผม มันทำให้ผมอึ้งมาก แต่ก็ดีใจสุด ๆ เพราะในที่สุดผมก็ได้เจอเจ้าของสร้อยข้อมือเส้นนี้อีกครั้งแล้ว
ในขณะที่ผมกำลังกวาดสายตามองหาที่นั่งกินข้าวอยู่กับแก๊งเพื่อนอยู่ สายตาหลายคู่ที่อยู่ในโรงอาหารต่างจับจ้องมองมาที่พวกผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะชินแล้ว โดนมองแบบนี้ทุกวันจะไม่ให้ชินได้ไงคิดดู ยิ่งเวลาเดินมาด้วยกันหลายคนนะ สายตาแต่ละคนที่มองมานี่เหมือนจะจับพวกผมไปฉีกกินลงท้องอร่อยปากอ่ะถ้าทำได้
ขณะมองหาโต๊ะอยู่นั้น สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่ชื่อว่า ‘หม่อน’ ผมตกใจมากที่เจอเธอที่นี่ จนชะงักนิ่งไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผมไม่คิดว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ได้ อย่าบอกนะว่าเธอเข้ามาเรียนปี 1 ที่นี่
“มึงหยุดทำเหี้ยไร ไอ้สัตว์ธาน!” ไอ้อาเธอร์บ่นด่าผมอยู่ข้างหลัง เพราะอยู่ ๆ ผมก็หยุดเดินแบบกะทันหัน
“เปล่า...” ผมตอบมันไป แต่สายตาก็ยังคงจดจ้องมองเธอแบบไม่วางตา เธอยังน่ารักเหมือนเดิม และดูเหมือนจะน่ารักมากขึ้นกว่าเดิมด้วยแหละผมว่า
พอหาโต๊ะได้พวกผมก็พากันเดินมานั่ง ก่อนจะเอ่ยชวนคุยเรื่องกินอะไรดี
“แดกไรมึง?” ไอ้ติณถามผม
“อะไรก็ได้ เหมือนมึงอ่ะ” ผมหันไปตอบมัน
“แหม่ ๆ มึงสองคนแดกเหมือนกัน เป็นเเฟนกันเหรอวะ ฮ่า ๆๆ” ไอ้อาเธอร์เอ่ยแซวพวกผม ก็สไตล์มันอ่ะกวนตีนไปเรื่อย
“ไปซื้อข้าวเถอะมึง ก่อนจะได้แดกตีนกู” ผมแยกเขี้ยวตอกกลับมันไป
“เออ หยอกนิดหยอกหน่อยเองเพื่อน” ไอ้อาเธอร์ตอบและยิ้มแบบกวนตีนมาให้ผมอย่างไม่สะทกสะท้าน ผมจึงส่งสายตาอาฆาตไปให้มัน มันจึงยอมสะบัดตูดเดินไปซื้อข้าว
ผมนั่งกินข้าวพร้อมกับคอยเหล่ตาไปมองเธอคนนั้นเป็นระยะ ๆ จนไอ้เอ็กซ์คิวมันทักถามขึ้น “มึงมองไรวะ?” มันถามพร้อมหันไปมองตามสายตาของผม ไอ้สองตัวที่เหลือก็เลยหันไปมองตามไอ้เอ็กซ์คิวด้วย
“เปล่า” ผมพูดปฏิเสธไป แต่พวกมันกลับทำหน้าไม่เชื่อและคาดคั้นเอาคำตอบ ผมจึงแถไป “กูก็มองไปเรื่อย เด็กปีหนึ่งสวย ๆ เยอะ”
“ว้าว มึงนี่ก็ไม่ธรรมดานี่หว่า กูเห็นด้วยแม่งมีแต่คนน่ารัก ๆ เห็นแล้วอยากจับกด” ไอ้อาเธอร์พูดพร้อมทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย
“ไอ้สัตว์” ไอ้เอ็กซ์คิวหันไปด่าไอ้อาเธอร์
“มึงด่ากูทำไมเนี่ย หึงกูเหรอ?” ไอ้อาเธอร์พูดเย้าแหย่กลับ หากเป็นคนอื่นคงได้กินตีนไปแล้ว แต่นี่ไอ้เอ็กซ์คิวไง มันไม่ทำร้ายเพื่อนอยู่แล้ว
“กูไม่เล่น” ไอ้เอ็กซ์คิวตอบกลับแบบหน้าเรียบนิ่งตามสไตล์ของมัน แต่แววตากลับดูดุดันและน่ากลัว
“กูขอโทษเพื่อน” ไอ้อาเธอร์ทำหน้าจ๋อยทันทีและทำแก้มป่องให้ไอ้เอ็กซ์คิว แม่งคิดว่าตัวเองน่ารักเหรอวะ
“เออ แดกข้าวเสร็จพวกมึงไปไหนต่อว่ะ” ไอ้ติณถามขึ้น
“กูไปหาเหยื่อแถวนี้แดกแหละ พอดีแดกข้าวไม่อิ่ม” ไอ้อาเธอร์ตอบพร้อมกัดริมฝีปากล่าง
“กูกลับห้อง” ไอ้เอ็กซ์คิวตอบ
“มึงล่ะ?” ไอ้ติณหันมาถามผม
“กลับห้องมั้ง” ผมตอบมันกลับไปพร้อมเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาพอดี
LINE!
ผมก้มดูที่หน้าจอว่าใครส่งมา และคนที่ส่งมาก็คือ ‘น้ำหวาน’ ดาวคณะคนสวยของผมเอง เราเคยนอนด้วยกันครั้งหนึ่งช่วงปิดเทอมนี่แหละ เพราะไปเจอกันที่ร้านเหล้า เธอมายั่วผม ผมก็สนองไปแค่นั้น แต่หลังจากนั้นเธอก็เหมือนไม่จบเพราะยังทักมาหาผมอยู่เรื่อย ๆ
NAMWAN : มาเจอกันที่ห้อง B12 หน่อยสิ มีอะไรจะคุยด้วย
ETHAN : อะไร?
NAMWAN : มาเจอสิ
เธอไม่ยอมตอบผมแต่อยากให้ผมไปหาแทน และผมก็อยากรู้ด้วยสิว่าเธอจะคุยอะไรกับผมกันแน่
“กูไปคุยธุระล่ะ”
“เอ้า ธุระไรวะ?” ไอ้อาเธอร์จอมเสือกถามขึ้นอย่างทันที
“เรื่องของกู” ผมตอบมันไปแล้วลุกเดินออกมาจากโต๊ะ ก่อนจะเดินไปผมก็แอบเหล่มองไปทางโต๊ะของเธอคนนั้นแวบหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว น่าจะลุกออกไปแล้วล่ะมั้ง
ผมละสายตาจากโต๊ะนั้นแล้วเดินมายังตึกที่น้ำหวานนัด ขณะกำลังจะขึ้นไปหาน้ำหวานดันมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนขวางทางผมอยู่
“โทษที หลบทางหน่อยจะเดิน”
“คะ? …อ้อ” เธอหันมามองผม ก่อนจะรีบหลบทางให้ผมเดิน จังหวะที่เห็นใบหน้าของเธอนั้นผมก็โคตรตื่นเต้น เพราะเธอนั่นเอง...เธอคนนั้น ผมปรายตามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเธอมา ในใจก็อยากจะคุยกับเธอนะ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยยังไงดี เธอคงจำผมไม่ได้หรอก
ผมเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงห้อง B12 และเจอกับร่างเพรียวของน้ำหวานที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไรจะพูด?” ผมเอ่ยถามน้ำหวานทันทีที่มาถึง
“คือ...เรามาลองคุยกันไหมธาน คือฉันรู้สึกดีกับนายอ่ะ หลังจากวันนั้นฉันก็อยากคุยกับนาย อยากคบกับนาย”
“......” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ยืนมองหน้าน้ำหวานแบบนิ่ง ๆ
“ได้ไหม?” เธอถามผมเสียงแผ่วอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ฉันไม่ได้ชอบเธอ” ผมตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและชัดเจน
“ยังไม่ลองคบจะรู้เหรอว่าชอบหรือไม่ชอบ” น้ำหวานพูดพลางเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ จนร่างของเราสองคนอยู่ในระยะประชิดกัน
“บางทีธานอาจจะติดใจน้ำหวานก็ได้นะ” พูดจบเธอก็เอามือลูบแผงอกของผมอย่างเนิบนาบ แล้วค่อย ๆ ลามลงไปข้างล่างเรื่อย ๆ และลากวนอยู่ตรงหน้าท้องของผมที่มันเต็มไปด้วยซิกแพคแน่น ๆ มันทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์ ผมจึงรีบตะครุบมือเธอไว้ไม่ให้ขยับลงไปมากกว่านี้ ก่อนจะเอ่ยบอกเธอไปด้วยเสียงแหบพร่า
“อย่า...”
“ทำไม ไม่อยากเหรอ? หวานยอมหมดเลยนะถ้าธานมาคบกับหวาน” เธอพูดพร้อมมองสบตาผมด้วยสายตาอ่อย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมากดท้ายทอยผมให้โน้มลงไปประกบปากจูบกับเธอ
เธอจูบผมแบบเร่าร้อน มันทำให้ผมเคลิ้มและเผลอจูบเธอกลับ เธอค่อย ๆ ส่งเรียวลิ้นบางเข้ามาในโพรงปากของผม ลิ้นผมและเธอแตะสัมผัสโดนกันเบา ๆ
ตอนนี้อารมณ์ของผมกำลังพลุ่งพล่านมาก ผมมีอารมณ์ ผมห้ามตัวเองไม่อยู่จึงผลักน้ำหวานนอนราบลงไปกับโต๊ะเรียนจนกระเป๋าของเธอตกลงบนพื้นและเกิดเสียงดัง ผมไม่ใส่ใจ จัดการบดขยี้ริมฝีปากและจูบเธออย่างดูดดื่มต่อแบบเร่าร้อน ก่อนจะค่อย ๆ สอดมือเข้าไปใต้เสื้อของเธอ
“อือ” น้ำหวานครางออกมาเบา ๆ อย่างมีอารมณ์
ผมยอมรับว่าเธอสวยมาก ใคร ๆ ก็อยากได้เธอ สวยถึงขั้นเป็นดาวมหาวิทยาลัยขนาดนี้ใครจะไม่สนวะ แต่ไม่ใช่ผมไง เพราะผมไม่ชอบผู้หญิงแบบเธอ ผมมีผู้หญิงในใจอยู่แล้ว
ใบหน้าหวานลอยเข้ามาในหัว ผมจึงได้สติและหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วผละออกจากน้ำหวาน ก่อนจะเดินหนีออกมาจากห้อง
จังหวะที่ผมเปิดประตูออกมาผมก็โคตรตกใจเลย เพราะผมเห็นหม่อนยืนตกใจไม่ต่างกันอยู่หน้าประตู หน้าเธอดูช็อกสุด ๆ ที่อยู่ ๆ ผมก็เปิดประตูออกมา ตอนนี้ในหัวผมมีคำถามคือ ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้วะ!?
เฮ้อ~ ผมไม่ได้พูดอะไรกับเธอ เลือกที่จะเดินผ่านเธอออกมา ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจยังไง
วันนี้ผมบังเอิญเจอเธออีกครั้งตอนที่กลับจากไปส่งไอ้เหี้ยโรมที่คอนโดของมันมา
ผมนึกขึ้นได้ว่าถุงยางหมดพอดี จึงแวะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อ เพราะผมมักจะพกมันติดตัวไว้เสมอเวลาที่ไปร้านเหล้าหรือผับ หรือที่ไหนสักที่ที่พร้อมอ่ะ จริง ๆ แล้วผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเมื่อวานถึงไม่มีอะไรกับน้ำหวาน เพียงแค่ผมนึกถึงหน้าผู้หญิงคนนั้น ผมก็ทำไม่ลง
เฮ้อ ผมลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางยืนเลือกถุงยางอนามัย พนักงานแคชเชียร์ก็เอาแต่มองผมตาเป็นมันพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ผมตลอดเวลา จนกระทั่งผมได้ยินเสียงใครบางคนพูดเสียงแข็งใส่พนักงานคนนั้นขึ้น
“คิดเงิน...หน่อยค่ะ!”
ผมหันไปมองต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นเธอคนนั้นอีกแล้ว ผมเจอเธออีกแล้ว
เธอจ่ายเงินเสร็จก็รีบเดินออกจากร้านไป ผมมองตามแผ่นหลังของเธอก่อนจะรีบหันไปจ่ายเงินและเดินออกจากร้านตามเธอมา แต่ขณะนั้นจู่ ๆ เธอก็หันมาและชนเข้ากับแผงอกของผมอย่างจัง บอกเลยว่าหน้าของเธอตลกมาก
พอผมได้อยู่ใกล้เธอในระยะประชิดแบบนี้มันก็รู้สึกใจเต้นแรงแปลก ๆ แฮะ ผมเลยตัดสินใจแกล้งเธอไป และทิ้งประโยคที่ทำให้เธอต้องหัวร้อนให้ผมกับคำว่า ‘ยัยหน้าบาน’
เธอได้ยินคำนั้นก็ถึงกับจะอ้าปากด่าผม แต่ไม่ทันหรอกครับ เพราะผมชิ่งหนีมาขึ้นรถก่อน ฮ่า ๆๆ
แค่นี้เธอก็ลืมผมไม่ลงแล้วล่ะ ยัยตัวเล็กเอ๊ย!