เพียะ!
“ไอ้ยุงบ้านี่ ก็กัดได้กัดดี!”
เพนนี้หัวเสียใส่ยุงป่า ก่อนจะรีบไปหยิบขวดยามาทาตัว
“กลิ่นสมุนไพรเสยจมูกหักเลย นี่ไม่ใช่ไล่แค่ยุงแล้วมั้งเนี่ย” สาวสวยยังคงบ่นพึมพำอย่างต่อเนื่อง อยู่คนเดียว ก็บ่นไปเรื่อย เพราะยังไม่ชินกับการอยู่บนบ้านต้นไม้ แถมยังคิดหนัก เรื่องขอความช่วยเหลืออีก คิดยังไง ก็ดูไร้หนทางอย่างบอกไม่ถูก
“เมื่อไหร่เขาจะกลับมานะ หิวจะแย่”
มือเล็กสัมผัสหน้าท้องแบนราบ ที่เริ่งส่งเสียงโครกครากประท้วง ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีสารอาหารตกถึงท้องเลย คาดว่าอีกสักประเดี๋ยว จะเริ่มกินใบไม้ ใบหญ้าแทนแล้วเนี่ย
กรึบ!
เสียงคนกระชากเถาวัลย์ ดึงสายตาคู่สวยให้หันไปมอง
“มาแล้วเหรอ!?”
รีบลากสังขารไปยืนรอตรงทางขึ้น แต่พอนึกได้ว่ายังโกรธอยู่ ก็รีบถอยกรู่กลับไปนั่งไขว่ห้างบนเตียง พร้อมกับเชิดหน้าสวย
พรึบ!
เจ้าของร่างบึกบึน ผิวแทนคมเข้ม ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพื้นไม้ไผ่อย่างชำนาญ ก่อนที่เขาจะหยิบถุงผ้าใส่ของกินกลับมาด้วย
จะว่าไป เขาก็ดูมีศักยภาพ ร่างใหญ่กำยำ เหมาะกับการเป็นคนป่า ถ้าเขาอยู่ที่นี่มาสิบห้าปีจริงๆ แล้วถือว่าเก่งมากๆ เลย
ส่วนเรื่องหน้าตา ข้ามไปก่อน เพราะเขาดูเหี้ยมไม่ใช่น้อย
เหี้ยมในที่นี่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่หล่อเลย แต่รอยแผลเป็นบนหน้า เป็นรอยบากบริเวณดวงตา แถมยังมีบาดแผลตามตัวเต็มไปหมด ที่เรียกว่าชายหน้าตาอัปลักษณ์ คือไม่เกินจริง เพราะถ้าเจอผู้ชายในเมืองทรงนี้ เธอจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้แม้แต่ปลายเล็บ
“หิวหรือยัง?”
หิวสิถามได้! (ตอบในใจไปก่อน)
“ถ้ายังไม่หิว…”
“หิว”
ความหิวไม่เข้าใครออกใคร ปากแข็งมากเดี๋ยวไม่ได้กิน
“อยากกินอะไร?”
“ถามแบบนี้ ถ้าฉันตอบว่าอยากกินสเต๊ก จะมีใช่ไหม?”
เขาเงียบ แต่สายตาที่มองมากำลังด่าทออย่างเจ็บปวด
“ฉันกินได้ทุกอย่าง เลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสักที”
ผู้ชายอะไร ด่าทางสายตาได้เจ็บกว่าเอ่ยปากด่าเสียอีก!
“ได้ปลามา หวังว่าคุณจะชอบ”
“ฉันเกลียดปลา”
“ไหนบอกว่ากินได้ทุกอย่าง?”
“ก็กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นปลา”
คนตรงหน้าวางถุงผ้าสีดำ แล้วถอนหายใจใส่เธอ
“อะไร แค่นี้ไม่ถือว่าเรื่องมากหรอกนะ ตอนฉันอยู่ในเมือง รู้ไหมว่าฉันกินหรูอยู่สบายขนาดไหน อีกอย่างนะคุณ ฉันเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แถมพ่อแม่ของฉันก็ยังเป็นถึงนักธุรกิจ ที่มีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่าพันล้าน ดีไม่ดี ถ้าคุณช่วยเหลือฉัน ตามใจฉัน แล้ววันหนึ่งมีคนมาช่วยเรา ฉันสัญญาเลยนะ ว่าฉันจะตอบแทนคุณอย่างงาม ขอแค่คุณดูแลฉันให้ดีก็พอ” เพนนีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมหยิบยื่นโอกาสอันล่ำค่าให้กับชายหนุ่มแปลกหน้า ถึงเขาจะดูน่ากลัว และยังไม่รู้จักนิสัยกันดีพอ แต่ถ้าเขารู้ว่าเธอรวย เขาอาจจะใจดีกับเธอก็ได้
“มีแค่ปลา จะกินก็กิน ไม่กินก็หิวตายไปซะ”
อะ อ้าว ทำไมผลลัพธ์ถึงออกมาแบบนี้ล่ะ (-0-!?)
เพนนีอ้าปากเหวอ เมื่อผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ได้เหมือนดั่งใจคิด เธอไม่เคยถูกปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตามแต่ คนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าเธอเป็นใคร มักตามใจเธอไปเสียทุกอย่าง เพราะถ้าหากทำให้เธอขัดใจ มันผู้นั้นอาจจะโดนเธอเด็ดหัวทิ้งได้
“นี่คุณ!”
ร่างเล็กดีดตัวลุกขึ้น แล้วเดินไปยืนกอดอกอยู่ข้างหลังชายร่างใหญ่ ที่กำลังค้นหาอุปกรณ์ในการประกอบอาหาร ริมฝีปากอิ่มสวยเผยอเตรียมด่า ทว่าบางสิ่งที่เขาหยิบออกมา ทำให้เธอเปลี่ยนจากด่าเป็นคำถาม เพราะสิ่งนั้น ก็คือแก๊สกระป๋อง!
“ทำไมคุณถึงมีของพวกนี้ล่ะ?”
เขาไม่ตอบคำถาม แต่หันไปหยิบเตาเหล็กมาเชื่อมกับแก๊สอัดกระป๋อง แล้วจุดวอร์มให้ประกายไฟขึ้น จากนั้นก็ไปหยิบหม้อที่แขวนอยู่บนเสา เอามาใส่ข้าวสารแล้วเอาไปซาวน้ำอีกครั้ง
นี่มันไม่ใช่วิถีคนป่า อย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย!
“นี่!”
เพนนีรีบย้ายสารร่างไปยืนดักหน้าคนตัวใหญ่
“คุณโกหกใช่ไหม เรื่องที่คุณบอกว่าถูกน้ำทะเลซัดมา”
“ทำไมผมต้องโกหก?”
“แล้วข้าวของพวกนี้มันคืออะไร?”
“ก็แค่ของใช้ธรรมดา”
“มันไม่ใช่แค่ของใช้ธรรมดา แต่เป็นของที่ไม่น่าจะมีในป่าต่างหาก!” เพนนีแผดเสียงใส่ เพราะเธอมั่นใจว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังโกหกเพื่อปิดบังความจริง เขาอาจจะเป็นบุคคลที่หลบหนีมาอยู่ที่นี่ ดูจากความพร้อมและของอำนวยความสะดวกเหล่านี้!
“คุณเป็นใครกันแน่?”
“มันสำคัญด้วยเหรอ ว่าผมเป็นใคร”
“สำคัญสิ ถ้าเกิดว่าคุณเป็นโจรที่หลบหนีมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
เขานิ่ง ก่อนจะเดินเข้าหาร่างเล็กทั้งที่ยังถือหม้อข้าวอยู่
“แล้วถ้าผมเป็นอย่างที่คุณคิด คุณจะทำยังไง?”
หญิงสาวเบิกตากลมสวย ค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าว
“ฉะ ฉัน คือว่าฉันก็จะ…”
คนตัวเล็กถอยหนีอย่างต่อเนื่อง จนลืมไปว่าข้างหลังไม่มีขอบกั้น ทำให้เธอเสียหลัก ก้าวพลาด กระชากร่างลงไปเบื้องล่าง
ทว่า! ก่อนที่เธอจะตกลงไปนั้น ก็มีวงแขนกำยำตวัดโอบรอบเอวบอบบาง กระชากร่างของสาวสวยกลับคืนสู่อ้อมแขนล่ำสัน ทั้งคู่ได้สบตากันในระยะประชิด เหมือนอย่างในละครไม่มีผิด
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก!
ให้ตายสิ ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ!
“อะ เออ คือว่า”
นัยน์ตาสีนิลหลบหลีกการสบตา เพราะสายตาดุจเหยี่ยวคู่นั้น ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย เต้นแรงอย่างบ้าระห่ำ ทั้งที่อีกฝ่ายออกจะหน้าตาเหี้ยมเกรียม น่ากลัว แต่กลับทำให้รู้สึกวูบไหว
“อยากตายหรือไง”
เสียงทุ้มต่ำเอ็ดคนตัวเล็ก แต่ทำไมฟังแล้วยิ่งใจสั่นระรัว
“เก็บความสงสัยของคุณเอาไว้ เพราะมันไม่ได้ช่วยทำให้คุณรอดชีวิตบนเกาะนี้ แต่เป็นผม ที่จะช่วยทำให้คุณไม่ตายภายในสามวันเจ็ดวัน” เพนนีถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาบอกว่าจะช่วยให้เธอไม่ตายภายในสามวันเจ็ดวัน แล้วหลังจากนั้นล่ะ
“ถะ ถ้าฉันหยุดสงสัย คุณจะไม่ฆ่าฉันใช่ไหม?”
เธอถามกลับด้วยสุ้มเสียงตะกุกตะกัก ปนหวาดระแวง
“ถ้าคิดจะฆ่าคุณ ผมจะช่วยคุณขึ้นมาจากทะเลทำไม?”
เออ ก็จริง แต่ยังไม่ปลักใจเชื่อ เพราะเขายังดูไม่น่าไว้ใจ
“ตกลง ฉันจะหยุดสงสัยเรื่องของคุณแล้ว”
พอเธอตอบอย่างนั้น เขาก็คลายอ้อมแขน
“รีบไปทำอาหารสิ ฉันหิว”
ถึงจะกลัว แต่ก็ยังทักท้วงเรื่องอาหารประทังชีวิต ซึ่งเขาก็ไม่ได้ถือสากับนิสัยเอาแต่ใจของเธอ ร่างใหญ่กำยำเดินกลับไปจัดการหุงข้าว พร้อมกับตั้งเตาย่างปลาและก่อไฟก่อนที่ฟ้าจะมืด
“คุณชื่ออะไรเหรอ ฉันถามได้ไหม?”
เรือนร่างอรชรนั่งพับเพียบ แล้วเอ่ยถามในสิ่งที่จำเป็น
“ฉันรู้ว่าฉันควรหยุดสงสัย แต่ชื่อแซ่ก็เป็นสิ่งที่คนอยู่ด้วยกันควรรับรู้นะคุณ ฉันชื่อเพนนี อายุยี่สิบห้า คุณล่ะ ชื่ออะไร”
“พญา…”
“พญา ที่หมายถึง พญานาคเหรอ?”
ฉับ!
ปังตออันใหญ่ ตัดฉับจนหัวปลาหลุดกระเด็น
“ฉะ ฉันพูดอะไรผิด?” รีบถอยห่างสามเมตร
“พญาโกสินทร์”
เขาพูดชื่อเต็มๆ ก่อนจะเสียบตัวปลาใส่บ้องไม้
“ชื่อยาวเฟื้อยเหมือนเชื้อราชวงศ์เลยนะคุณเนี่ย”
เขานั่งเงียบ ไม่ได้ปฏิเสธในสิ่งที่เธอคิดเองเออเอง
“แล้วอายุล่ะ ฉันบอกไปแล้วนะ ว่าอายุยี่สิบห้าปี”
พรึบ!
ร่างใหญ่ชันตัวลุกขึ้นไปจัดการย่างปลา เธอก็ตามไปด้วย
“ถ้าให้ฉันเดาจากหน้าตา สีผมที่เริ่มมีหงอกขึ้นแซมผมดำ คุณคงจะอายุสามสิบปลายๆ หรือเปล่า?” ดวงหน้าหยกแก้วเอียงคอถาม จังหวะนั้น เขาหันมาสบตา แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ยะ อย่าทำแบบนี้สิคุณ”
ฝ่ามือนุ่มนิ่รีบยันแผงอกล่ำสัน
“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกถาม?”
“เมื่อได้คำตอบจากคุณไง”
กลัวนะ แต่อยากรู้มากกว่า
“สี่สิบ”
“….” ถามจริง (-0-!)
“รู้แล้ว มีอะไรดีขึ้นไหม?”
ดวงหน้าสะสวยส่ายหัวไปมา
“งั้นก็อย่าถามเรื่องไร้สาระอีก”
เพนนีพยักหน้าแล้วปล่อยให้เขาไปย่างปลาต่อ ส่วนเธอก็เดินกลับเข้าไปนั่งรอบนเตียง ลืมบอกไปว่าบนนี้ไม่มีประตูกั้น มีเพียงหลังคาที่ทำมาจากไม้ไผ่แล้วมีใบไม้แห้งปกคลุมกันฝนอีกที
สภาพบ้านเหมือนจะอยู่ไม่ได้ แต่ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบนนี้แล้ว พอฟ้าเริ่มมืดสนิท บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มน่ากลัว ยังไม่รวมถึงข้างล่าง ที่มีสัตว์น้อยใหญ่ออกมาล่าเหยื่อในยามค่ำคืน
แต่ก่อนจะไปสนใจเรื่องพวกนั้น ขอมุ่งความสนใจไปที่กลิ่นปลาย่างหอมๆ พร้อมกับข้าวร้อนๆ ที่เพิ่งหุ้งสุกใหม่ สองขาเรียวพาร่างอันหิวโหยไปนั่งรอหน้าเตาย่างโดยอัตโนมัติ ดวงตาจ้องมองปลาทะเลตัวใหญ่ ตอนที่เขาลอกหนังให้ เนื้อมันขาวจั๊วะ
โครกคราก!
กรี๊ดดด! น่าเกลียดมาก เสียงท้องใครร้อง
“หึ…”
เขาเค้นเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งขึ้นมาเป่า ก่อนจะยื่นเนื้อปลาอวบแน่นชิ้นนั้น ให้สาวสวยที่นั่งหน้าแดง
“ลองชิมดู เนื้อปลาชนิดนี้หวานมาก เธอน่าจะชอบ”
ในใจท่องไว้ว่าเกลียดปลา แต่ปลาที่เขาส่งให้มันน่ากินจัง
“แกะใส่ข้าวได้ไหม เดี๋ยวกินเอง”
อยากกินใจจะขาด แต่จะให้กินจากมือผู้ชาย ก็กระไรอยู่
“รังเกียจหรือไง?”
“ใช่ เอ้ย! ไม่ใช่” รีบกลับคำในทันที
“ถ้ารังเกียจนัก ก็ไม่ต้องกิน”
เขาพูดพร้อมกับดึงมือกลับ ทว่าเธอใช้ความไว ในการอ้าปากงับเนื้อปลาชิ้นนั้น แล้วกระพริบตาปริบๆ ให้เจ้าของมือแกร่ง
กลีบปากนวลนุ่มค่อยๆ รูดความอร่อยออกจากสองนิ้วเรียวยาวที่จับเนื้อปลาแน่นหนึบเอาไว้ เมื่อได้ลองลิ้มชิมรสชาติจากเนื้อปลาทะเล สาวสวยก็ถึงกับตาลุกวาวพลางคลี่ยิ้มแก้มปริ
“หื้ม~ เนื้อปลาหวานมากเลยคุณ แล้วก็หนึบมากด้วย”
ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะแกะเนื้อปลาชิ้นใหญ่ วางลงบนข้าวร้อนๆ ตามด้วยโรยเกลือ แล้วขยำเหมือนข้าวแมว เธอแอบชะงัก เพราะไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน ในหัวก็คิดถึงเรื่องสุขอนามัย ว่ากินขี้มือเขาเข้าไป จะท้องร่วงหรือเปล่า?
“อะ เออ”
เบรกไม่ทัน มือที่ใช้แทนช้อนก็ยื่นมาป้อนข้าวให้เธอกิน