ตอนที่ 9
ตัวไกล ใจเหงา
สายลมหนาวพัดกรรโชกมาเป็นระลอก หนาวบาดหัวใจชอนไชเข้าไปถึงกระดูกดำ บนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเป็นพันเมตร มองไปอีกฟากจะสามารถแลเห็นฝั่งพม่าได้อย่างชัดเจน ถัดจากฐานทัพไปไม่ไกล เป็นหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อย และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ประชาชนเริ่มนิยมมาเยี่ยมเยียนกันมากขึ้น ฐานทัพตามแนวชายแดนที่แสนหนาวเหน็บเมื่อยามลมหนาวมาเยือน น้อยคนนักที่อยากจะพาตัวเองมาลำบากที่นี่หากไม่มีใจรักในอาชีพจริงๆ
ภัทรพลหอบหิ้วสัมภาระลงมาจากรถจิ๊ป ที่จ่าคนสนิทขับไปรับเขาถึงสนามบิน ชายหนุ่มถึงกับห่อไหล่สูดปากด้วยความหนาวเหน็บจนมือชา แม้เขาจะสวมใส่อาภรณ์ปกปิดอย่างมิดชิด แต่สายลมเจ้ากรรมก็ยังพยายามชอนไชเข้าไปทักทายถึงอณูเนื้อของเขาได้
สัมภาระส่วนตัวถูกชายหนุ่มสะพายเดินตรงไปที่เบิร์มของตน เพื่อเก็บข้าวของให้เรียบร้อย ก่อนเดินออกมาเพื่อที่จะหาเพื่อนคุยด้านนอก ซึ่งตอนเข้ามาชายหนุ่มเห็นว่ากำลังนั่งจับกลุ่มสนทนากันอยู่ท่าทางสนุกสนาน อยากที่จะไปร่วมวงด้วย เพราะการนอนคุดคู้อยู่คนเดียวในเบิร์มนั้นมันเหงาใช่เล่น
“อ้าวหมวด กลับมาแล้วเหรอครับ พอดีเลย มาทานข้าวกัน”
จ่าวัลลภกวักมือเรียกเมื่อเห็นว่าภัทรพลเดินผ่านมาทางโรงครัว ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนเดินเข้าเมียงมองดูกับข้าวว่ามีอะไรทานบ้าง เนื่องจากเขาเองก็กำลังหิวอยู่พอดี
“หวัดดีครับจ่า มีอะไรทานบ้างครับเนี่ย”
“วันนี้เมนูหลักมีไก่คั่วน้ำปลาครับหมวด”
“แหม ทำเหมือนรู้ใจผมเลย กำลังนึกอยากทานอยู่พอดี ไก่คั่วฝีมืออ้าย แซบอีหลีอย่าบอกใครเด้อ”
“ฮ่าๆ เชิญครับ”
สองหนุ่มต่างวัย ต่างสถานะประสานเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่มีคำว่าสูงกว่าต่ำกว่า ภัทรพลทำท่ายกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย การที่เขาหยอกแบบนั้น เนื่องจากจ่าวัลลภเป็นคนอีสาน ฝีมือการทำอาหารนั้นระดับพ่อครัวร้านอาหารเรียกพี่เลยทีเดียว โดยชายหนุ่มอาศัยฝากท้องกับจ่ารุ่นพี่แทบจะทุกมื้อเลยก็ว่าได้
“ก็มีแต่หมูกับไก่ ทำวนเวียนอยู่อย่างนี้ล่ะครับ ฮ่าๆ อ้าว แล้วนั่น หอบหิ้วอะไรมาเต็มไม้เต็มมือครับหมวด”
“คุณแม่ผมฝากมากลัวว่าลูกชายจะอด จ่าเอาไปเก็บไว้แบ่งกันทานในฐานนี่แหละ นี่ผมก็เกร็งแทบแย่กลัวถูกไล่ลงจากเครื่องบิน เพราะกลิ่นของมันหอมไปเตะจมูกนักบินเข้า ฮ่าๆ”
พูดพลางยื่นถุงอาหารแห้งใบใหญ่ส่งให้จ่ารับไป ในนั้นคือปลาเค็มและปลาหมึกตากแห้งที่มารดาของภัทรพลยัดเยียดใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วย ท่านบรรจุมาอย่างมิดชิดเป็นอย่างดีซ้อนกันหลายชั้นเพื่อป้องกันกลิ่นเล็ดลอดออกมา เพราะอาจถูกห้ามไม่ให้นำขึ้นเครื่องมาด้วย
“อ้าว ไงครับ คุณหมวดเต้รูปหล่อพ่อนายพล กระผมก็นึกว่ามัวหลงสาวจนหน้ามืดตามัว จนหาทางกลับฐานไม่ถูกซะล่ะ”
เสียงทักทายอันเป็นเอกลักษณ์ดังมาจากทางด้านหลัง พร้อมฝ่ามือหนักที่ตบพลั่กลงบนบ่าของตน ไม่ต้องหันไปมองภัทรพลก็รู้ได้ทันทีว่าคือผู้หมวดกฤติชัยบัดดี้คู่ใจของเขาที่ทำงานด้วยกันจนรู้ใจ
และรักกันจนเหมือนเป็นเพื่อนตายไปแล้ว
“ก็ เกือบๆ ว่ะ แต่กูกลัวมึงเหงา ก็เลยรีบกลับมาให้มึงนอนกอดนี่ไงครับ”
ชายหนุ่มพูดไปขำไป พลางทำหน้าพยักพเยิดให้เพื่อนมาทานข้าวด้วยกัน โดยชายหนุ่มตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะชวนกันเข้าเมือง เพื่อไปเยี่ยมอาการของลูกน้องที่ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เพราะเขาสัญญาว่าจะกลับมาตั้งแต่สองวันก่อน แต่ก็เลื่อนมาเพราะประกาศิตจากมารดา ที่เขาไม่อยากขัดใจให้ท่านต้องพานโกรธเคืองจนต้องตามง้อกันให้วุ่นวาย
“กูว่านะ สาวที่ว่าคงโชคร้ายน่าดูที่ได้มึงไปทำผัว”
“ก็ไม่เหมือนมึงที่อยู่ป่าจนลืมวิธีจีบสาวไปแล้ว บ้านช่องไม่ยอมกลับ…จ่าครับ เอาปลาไปทอดปิดปากหมวดเขาหน่อย จะได้เงียบเสียที”
“โอ้โห หอบมาจากบ้านเลยเหรอวะ”
“คุณแม่กูฝากมา เอาไว้ปิดปากมึงไง”
“ฝากไปขอบคุณท่านด้วยก็แล้วกันครับ ที่ยังนึกถึงพวกเราเสมอ”
จ่าวัลลภแทรกขึ้น ด้วยต้องการขอบคุณอย่างใจจริง เพราะตั้งแต่ภัทรพลย้ายมาประจำการที่ฐานแห่งนี้ พวกเขาก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย เพราะภาวิณีมักจะฝากของกินและของใช้มาบ่อยๆ ด้วยกลัวว่าลูกชายเพียงคนเดียวจะลำบาก ซึ่งภัทรพลนั้นไม่ชอบเลยสักนิดกับการที่มีคนมาวุ่นวายบนนี้ เพราะรำคาญบรรดาผู้บริจาคบางคน และบรรดาผู้ติดตามทั้งหลายที่ชอบให้ทำข่าวเพื่อไปเอาหน้าเอาตากับสังคมว่าตนเป็นผู้ใจบุญคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะ
รั้วของชาติ
“อืม…นี่ท่านก็กำลังรวบรวมเสื้อกันหนาว และผ้าห่ม เพื่อที่จะนำมาบริจาคให้กับเจ้าหน้าที่แถวนี้ วันไหนพวกนั้นมา ผมคงต้องหนีไปอยู่ในป่า ขี้เกียจมาให้สัมภาษณ์”
“ดีออก สาวๆ สวยๆ ลูกคุณหญิงคุณนายทั้งนั้นนะเว้ย กูชอบเลย อยากให้มากันเยอะๆ หัวใจ ตชด. อย่างพวกเราจะได้กระชุ่มกระ ชวยกับเขาบ้าง”
กฤติชัยแทรกขึ้นขณะเดินไปช่วยจ่าทอดปลา ในยามนี้ไม่มีการแบ่งแยกเจ้านายลูกน้อง นอกจากกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เท่านั้น การให้เกียรติกันตามการดำรงยศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กลิ่นปลาเค็มทอดร้อนๆ หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ยั่วใจให้น่าต้มข้าวต้มทานคู่กันยิ่งนัก ทานร้อนๆ ยามผืนป่ากำลังถูกห่มคลุมด้วยไอเย็น ผสานหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งเทียมผาสูง พร้อมบรรยากาศที่แสนสดชื่นจากมวลหมู่ไม้ และดอกไม้ป่าสวยลึกลับที่หาไม่ได้ในเมืองหลากสี
“หมวดครับ ผู้กองให้มาตามไปพบครับ”
ยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะทานข้าวอิ่ม ผู้กองเผ่าพลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขาก็ใช้ให้คนมาตามไปพบที่ห้องทำงาน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนั้นสำคัญหรือไม่ แต่หากให้มาตามก็แสดงว่าต้องมีเรื่อง พวกเขาก็จะมัวมานั่งทานกันต่ออย่างสบายอารมณ์ไม่ได้
“อืม จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ภัทรพลพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนตักข้าวเข้าปากอย่างเร่งรีบ ด้านกฤติชัยก็รีบร้อนไม่ต่างกัน สองหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแทบจะพร้อมๆ กันราวนัดไว้ ก่อนพากันผลุนผลันตรงไปยังห้องทำงานของเจ้านายทันที
ทั้งสองทำความเคารพเมื่อเข้ามาด้านในแล้ว ใบหน้าที่แสดงถึงความเคร่งเครียดของผู้บังคับบัญชา ทำให้ทั้งสองลอบมองหน้ากันอย่างรู้ในความหมายดี ว่าคงมีงานใหญ่มาถึงมืออีกอย่างแน่นอน
“นั่งก่อนสิหมวด”
“ขอบคุณครับ”
“ทานข้าวกันอิ่มแล้วนะ”
“ก็ลองไม่อิ่มสิ ได้ถูกซ่อมข้อหาหละหลวมต่อหน้าที่แน่ ผู้กองยิ่งเผด็จการอยู่ด้วย”
สองหนุ่มยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน ในขณะที่เจ้านายของตนกำลังลุกจากเก้าอี้ไปหยิบเอกสารจากทางราชการมาเปิดดู ไม่ได้สนใจว่าลูกน้องกำลังกระซิบอะไรกัน
“ผมเพิ่งได้รายงานมา เป็นเรื่องลับสุดยอด แต่ผมจำเป็นต้องอาศัยความสามารถของพวกคุณในการทำงานชิ้นนี้”
“ผู้กองมีอะไรให้พวกผมรับใช้ครับ ขอให้สั่งมาได้เลย”
“ตอนนี้มีข่าวลับๆ มาว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกำลังมีแผนที่จะกระจายฐานกำลังของตนจากภาคใต้มาฝังตัวในแถบนี้ ไล่ยาวมาตั้งแต่ตากจนถึงแม่ฮ่องสอน จุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเจ้าหน้าที่ เพราะแถบนี้หลายคนสนใจกันแต่เรื่องยาเสพติด เรื่องก่อการร้ายนี่ยังถือว่าใหม่ในความคิดของคนแถบนี้”
“ผู้กองกำลังจะบอกว่า โจรแบ่งแยกดินแดนได้คิดการใหญ่ โดยจะกระจายกันไปทั่วผืนแผ่นดินไทย เพื่อกระทำการบางอย่าง คล้ายๆ กับการรวมอำนาจไว้ในมือของคนเพียงคนเดียว ใช่ไหมครับ”
ภัทรพลวิเคราะห์ตามที่ตนเข้าใจ เพราะหากมีการกระจายกำลังจริง เป้าหมายหลักในตอนนี้คือการโน้มน้าวประชาชนให้เข้าเป็นพวกตน อาศัยการแทรกซึมเข้ามาอย่างช้าๆ ชายหนุ่มกำลังคิดว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่จะทำเช่นนี้ได้ ต้องมีคนหนุนหลังที่มีอำนาจมากพอ อาจจะโยงใยไปถึงการก่อการร้ายสากลข้ามชาติ ที่กำลังถูกจับตามองจากประชาชนทั่วโลก
“ใช่ พวกมันฉลาดมาก ผมคาดว่ามันจะปั่นหัวให้เรากับรัฐบาลพม่ารบกันเอง ส่วนผู้ก่อความไม่สงบก็เสือนอนกินไป อาศัยความเปราะบางตรงนี้ ก่อนเข้ามาแทรกแซงแล้วยึดอำนาจไป”
“ประมาณว่า หากทำการฆ่าคนเพื่อสร้างสถานการณ์แล้ว ก็ทำการป้ายสีให้กองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน”
“ทำนองนั้น หมวดลองคิดเล่นๆ หากเกิดการรบขึ้นมาอีกครั้ง แผ่นดินจะต้องร้อนเป็นไฟ ผมคิดว่าหากพวกนี้เป็นผู้ก่อการร้ายสากล สงครามโลกครั้งที่สามที่หลายคนกลัวคงต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข่าวกรองยังรายงานมาว่า ทางอเมริกากำลังเต้นกับเรื่องนี้ ถึงขนาดส่งสายลับเข้ามาในเมืองไทยเพื่อสืบเรื่องนี้ด้วย”
“การทำงานของพวกนั้น ก็ไม่พ้นดึงคนเข้าเป็นพวกเหมือนเคย ล้างสมองให้เกลียดชาติตัวเอง”
กฤติชัยหันมามองหน้าบัดดี้ที่นั่งข้างกัน สบตากันชั่วครู่ เพราะรู้ดีถึงหลักการทำงานของคนพวกนี้ หากทางกองทัพยังปล่อยปละละเลย เขาเชื่อว่าอีกไม่นานแถบนี้จะมีสภาพไม่ต่างไปจากภาคใต้อย่างแน่นอน
“นั่นแหละที่ผมกลัว และผมคิดว่าเป้าหมายของพวกมันจะไม่ใช่ชาวบ้านตาสีตาสาเหมือนเคย แต่จะมุ่งไปที่บรรดาคนมีเงิน บรรดานักธุรกิจทั้งหลาย โดยใช้ความโลภความอยากของคนเป็นเหยื่อล่อ ตราบใดที่คนเรายังลุ่มหลงอยู่ในภาพมายา ก็จะตกเป็น
เหยื่อของคนพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย”
“น่ากลัวนะครับ หากพวกมันมาตั้งฐานทัพของตนจนมั่นคงในแถบนี้ได้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน แผ่นดินแถวนี้คงร้อนเป็นไฟไม่ต่างจากภาคใต้”
ภัทรพลลอบถอนหายใจออกมา แค่ปราบปรามเรื่องยาเสพติดและไม้เถื่อนก็นับว่าหนักเอาการ ยังจะมีเรื่องใหม่เข้ามาให้ต้องปวดหัว บางครั้งชายหนุ่มก็นึกท้อ ที่การทุ่มเทให้กับงานของเขานั้น ไม่ได้ช่วยให้คนกระทำผิดลดลงเลย ตรงกันข้าม นับวันกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น ตามสภาพสังคมและจิตใจของคนที่เสื่อมโทรมลงไปทุกขณะ
“อืม…ทีนี้งานของพวกคุณคือ เข้าไปสังเกตการณ์ในเขตเส้นทางที่น่าจะอยู่ในข่ายต้องสงสัย เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะได้รีบหาทางป้องกันได้ทันท่วงที ก่อนที่กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งขึ้น”
“ครับ มันคือหน้าที่ของพวกผม”
“ผมดีใจ ที่พวกคุณคิดแบบนี้ ประเทศชาติของเราจะได้คงอยู่สืบไป เอาเถอะ ผมไม่รบกวนแล้ว หมวดเต้เพิ่งเดินทางมาถึง รีบไปพักผ่อนก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้ของพวกเรายังอีกยาวไกล ขอให้พระคุ้มครอง”
“ขอบคุณครับ”
“กลับมาก็เข้าป่าเลยกู ชีวิตกูสงสัยคงต้องอยู่กับนางไม้ไปจนวันตายแน่”
ภัทรพลเอ่ยขึ้น พยายามแค่นเสียงหัวเราะออกมาเพื่อสร้าง
กำลังใจให้ตัวเองขณะพากันเดินกลับมาที่เบิร์ม กฤติชัยยื่นแขนมากอดคอเพื่อนรักเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน รู้ดีว่าเพื่อนก็กำลังท้อแท้ไม่ต่างไปจากตน เพียงแต่ไม่แสดงออกมาเท่านั้น
“มันคืองานของพวกเรา ท่องไว้เพื่อน กูถึงได้ไม่อยากมีความรักไง มันยากนะที่จะดูแลใครสักคน ในขณะที่เรายังต้องทำงานหนักเช่นนี้”
“อืม…กูรู้ แต่เมื่อถึงวันนั้นมันจะห้ามได้ไหมนะ ห้ามใจไม่ให้รักเธอคนนั้น”
จู่ๆ ภัทรพลก็ยิ้มออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่างจากสีหน้าก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง ท่าทีเปลี่ยนปุบปับของเพื่อน ทำให้กฤติชัยอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนของตนจะมาอาการไหนกันแน่
“ยิ้มอะไร ผีนางไม้เข้าสิงเหรอมึง”
“เปล่า…พูดถึงผู้ก่อการร้าย กูก็เลยอยากมีกับเขาบ้าง”
“พูดถึงอะไรวะ อธิบายให้ชัดเจนหน่อยเพื่อน”
“ตำนานรักไงเพื่อน หากกูจะรักใครสักคน ก็จะต้องสร้างตำนานรักให้เป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศไปตราบนานเท่านาน ให้น่าภาคภูมิใจไปถึงลูกหลาน เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นกันมา พวกเขาเหล่านั้นคือไอดอลในดวงใจที่ทำให้กูมายืนอยู่ที่นี่ ได้มาปกป้องอธิปไตยของชาติกับเขาบ้าง แทนที่จะไปนั่งหน้าขาวอยู่ในสำนักงาน มึงไม่เข้าใจหรอก ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน”
“เชิญคุณผู้หมวดอารมณ์ติสท์สร้างตำนานรักไปคนเดียวเถอะครับ กูกลัวว่าคุณผู้หมวดจะถูกโจรมันยิงหัวเอา ก่อนที่จะได้สร้างตำนานรักน่ะสิ”
“ปากมอมล่ะไอ้คุณกฤติ กูไม่กลัวหรอกโจรน่ะ เพราะตอนนี้
คือกูยังหาสาวที่จะมาร่วมสร้างตำนานรักไม่ได้นี่สิ น่ากลุ้มใจกว่าเป็นไหนๆ”
“มึงไม่เอามากกว่า อย่ามาทำพูดดี สาวๆ ในเมืองเยอะแยะ เสือกไม่เลือก ไปโน่น ถ่อไปหาแถวเมืองกาญจน์ ระวังนะเว้ย ห่างกันมากๆ ไม่มีเวลาไปดูแล สุนัขคาบไปรับประทาน มึงจะจุกจนร้องไม่ออก”
“รู้ดีจริง บอกว่าไม่มีก็ไม่เชื่อ ใครจะมารักคนอย่างกูจริง ไม่มีทาง”
ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อปกปิดแววตาผิดปรกติไม่ให้เพื่อนสังเกตเห็น เมื่อจู่ๆ เขาก็คิดถึงลีลาวดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าของหล่อนเข้ามาก่อกวนจิตใจที่เคยสงบนิ่งนับตั้งแต่จากกันแล้วเครื่องทะยานขึ้นฟ้าแล้ว ทั้งที่เขาพยายามหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านแล้วคิดถึงหล่อนมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะตามมาหลอกหลอนเขาแทบทุกวินาที ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ในขณะนี้
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ใกล้ชิดกันเพียงแค่ไม่นาน จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกันได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทัศนคติที่มีต่อหล่อนยามนี้เปลี่ยนแปลงไป เพียงได้เห็นตัวตนอีกมุมหนึ่งของกันและกัน แต่ท่าทีผลักไสของหล่อนนั้นทำให้เขาไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้ พยายามบอกตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรกับหล่อนเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเครื่องรางที่ได้จากหล่อนขึ้นมาพลิกดู เป็นเหล็กไหลที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว ซึ่งเป็นของบิดาหล่อนที่ได้มาจากเกจิชื่อดังที่นับถือกัน เขาได้มาอย่างไม่ตั้งใจ เพราะมารดาของเขาทักท้วงตอนพากันมาส่งที่สนามบินว่าอยากให้หล่อนมอบสิ่งของเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กันบ้าง โดยที่ไม่อาจขัดมารดาของเขาได้หล่อนจึงมอบสิ่งนี้มาให้เพราะไม่ทันได้เตรียมตัวมาก่อน ซึ่งเขาก็ได้พกติดตัวมาตั้งแต่ขึ้นเครื่อง จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้นำไปวางทิ้งไว้แต่อย่างใด
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลาลับขอบฟ้าไปอีกหนึ่งวัน สายลมหนาวยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างต่อเนื่อง ภัทรพลรีบซุกกายในอ้อมกอดของผ้าห่มอุ่น เมื่อไอเย็นแทรกผ่านเข้ามาในทุกรูขุมขนบนร่างกายบาดลึกเข้าไปถึงกระดูกดำ แม้กายจะอุ่นสบายใต้ผ้าห่มผืนหนา แต่ความเปลี่ยวเหงากลับถาโถมเข้ามารังแก เพียงเพราะคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกลกันเป็นระยะทางเกือบพันกิโลเมตร ความทรมานจากการเฝ้าพะวงถึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจยิ่งนัก ใจที่เคยแข็งแกร่งมาวันนี้กลับอ่อนแอเรียกร้องโหยหาไออุ่นจากใครสักคน ต้องการคนที่จะมาดูแลซึ่งกันและกัน หวังช่วยบรรเทาอาการหนาวใจที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ให้คลายลงไป…
“คุณกำลังทำอะไรนะลิลลี่ กำลังคิดถึงผมหรือเปล่า”