ตอนที่ 7
สูตรลับ จับหัวใจ (2)
“ไม่ใช่นะครับ!”
ภัทรพลรีบปล่อยมือของอีกฝ่ายทันทีเมื่อหันไปเห็นมารดาเดินกลั้นยิ้มเข้ามาในครัว ชายหนุ่มรู้สึกว่าพื้นที่ในห้องครัวช่างคับแคบยิ่งนัก เหมือนถูกมารดากระชับพื้นที่เพื่อล้อมเป้าหมายให้ดิ้นไม่หลุด มือไม้เจ้ากรรมเริ่มเกะกะไปหมดไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน เมื่อการกระทำของเขาได้ทำให้มารดาเกิดการเข้าใจผิดอีกครั้ง ด้านลีลาวดีเองก็มีท่าทีที่ไม่ต่างกัน จนต้องยกมือขึ้นเอาผมทัดหูเพื่อปกปิดความประหม่าเขินอาย
“เอ๊ะ! จริงสิ เมื่อกี้แม่ก็เพิ่งสังเกต จำได้ว่าตอนอยู่สนามบอล มือของหนูลิลลี่ไม่ได้เจ็บนี่นา แล้วนี่ไปโดนอะไรมาตอนไหนจ๊ะ”
คล้ายท่านจะรู้ว่าทั้งสองกำลังเก้อเขินจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ซึ่งหล่อนเองก็สังเกตตั้งแต่ตอนจูงมือกันมาแล้ว แต่พอจะถามก็มีเหตุให้พูดเรื่องอื่นไปเสียก่อน
“เอ่อ…โดน”
“ผมเล่าเอง เดี๋ยวคุณเล่าผิดประเด็นเนื้อหาเพี้ยนหมด ทำให้ผู้สอบสวนได้เนื้อความไปผิดๆ ยุ่งกันใหญ่ล่ะทีนี้”
“คือยังงี้ครับคุณแม่…”
ภัทรพลเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มารดาฟังพอคร่าวๆ ขณะที่ผู้ฟังถึงกับใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที พูดไปถึงเรื่องอยากให้ทั้งสองไปทำบุญที่วัดในวันรุ่งขึ้น แม้จะเล็กหรือใหญ่หล่อนก็เชื่อว่ามันคือเคราะห์อยู่ดี สมควรจะไปทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลเสียบ้าง
“ผมจะหาเวลาไปก็แล้วกันครับคุณแม่”
“ทำบุญไม่ต้องรอ เอาเป็นว่า ไปพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”
“อ้าว ผมต้องกลับฐานนะครับคุณแม่”
ชายหนุ่มทำหน้าคล้ายคนจะร้องไห้ เมื่อมารดาของเขาช่างสร้างเหตุการณ์ได้เก่งยิ่งนัก สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้ดีว่าอีกนัยหนึ่งก็เพื่ออยากให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับลีลาวดีเท่าที่โอกาสจะอำนวย และท่านก็เลือกที่จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ช่างเหมาะเหม็งยิ่งนัก
“กำหนดลายังไม่ครบไม่ใช่เหรอจ๊ะ ไม่รู้ล่ะ แม่ไม่ยอม ต้องไปไหว้พระเก้าวัดกับแม่ก่อน โอเค๊”
“เฮ้อ…”
คนถูกบังคับถอนหายใจพลางทำหน้ารำคาญมายังลีลาวดีที่แอบทำหน้าง้ำรออยู่เช่นเดียวกัน ยิ่งเห็นท่าทีของเขา หญิงสาวจึงกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน
“คิดว่าฉันอยากไปทำบุญร่วมชาติกับคุณนักหรือยังไง ไม่อยากไปหรอกนะ ไม่อยากตามไปเจอกันชาติหน้า เจอกันแค่ชาตินี้ก็ปวดประสาทจะแย่”
“ก็เพราะคุณใส่บาตรตามตูดผมมาละมั้ง ถึงได้ตามมาเจอกันที่ชาตินี้ ให้ตายสิ ผมจะหนีคุณไม่พ้นเลยหรือยังไงกัน คุณดอกไม้”
“อ้าว คุณปากมอม ฉันว่าคุณนั่นแหละที่ใส่บาตรตามก้นฉัน และก็เป็นฉันต่างหากที่หนีคุณไม่พ้น อย่ามาหลงตัวเองนะ”
“ผมไม่เคยหลงตัวเอง และผมไม่เคยคิดอะไรกับคุณ”
“แล้วเมื่อกี้ใครกันที่จะจูบฉันน่ะฮึ”
หญิงสาวทำหน้าล้อเลียนอย่างคนเป็นต่อ ภัทรพลลอบชี้หน้า
เพื่อฝากเอาไว้ก่อนเพราะเกรงใจมารดาที่เหลือบตามองมา ทั้งๆ ที่มือของท่านก็กำลังผสมแป้งไปด้วย ไม่วายที่จะสังเกตอาการของเขาและหล่อนว่ากำลังซุบซิบอะไรกัน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“ซุบซิบอะไรกันจ๊ะ มาช่วยแม่หน่อยสิ หนูลิลลี่ก็มาดูเอาไว้ จะได้ทำเป็นไง เดี๋ยวคุณแม่เราเขาเปิดร้านจะได้ไม่ต้องไปเรียนให้ยุ่งยาก มาสิ”
“ลิลลี่ไม่ชอบทำขนมหรอกค่ะ มันยาก”
“แต่หมวดเขาชอบทานเค้กนะ หากแม่ไม่อยู่ ลิลลี่ก็จะได้ทำให้หมวดเขาทานได้ไงจ๊ะ”
ปฏิบัติการร้อยหัวใจเริ่มขึ้นอีกครั้ง จนภัทรพลคิดไปถึงว่า หากให้ตำแหน่งมารดาของเขา เขาจะยกให้ท่านกินตำแหน่งผู้ก่อการรัก นำไปนอนกอดอย่างไร้ข้อกังขากันเลยทีเดียว
“เขาไม่อยากเรียนคุณแม่ก็จะไปบังคับทำไม เนอะลิลลี่เนอะ บอกคุณแม่ไปสิว่าอยากกลับบ้าน เมื่อกี้ยังกระซิบบอกผมอยู่เลย”
“ชะ ใช่ค่ะ กลัวจะมืดค่ำก่อนน่ะค่ะ”
หญิงสาวรีบตามน้ำ เกือบหลุดเพราะเขาโยนมุกมาโดยไม่บอกกันล่วงหน้าสักนิด แต่ก็นึกชอบใจที่เขาเอ่ยออกมาแบบนั้น เพราะหล่อนเองก็ไม่อยากที่จะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ให้หมวดไปส่ง มือเจ็บแบบนี้จะขับกลับไปได้ยังไง ให้หมวดไปส่งนั่นแหละดีแล้ว รถของหนูแม่จะให้คนขับรถเอาไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยเลยจ้ะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิครับ คุณแม่”
ชายหนุ่มกัดฟันเข่นเสียงออกมาให้ได้ยินเพียงคนเดียว พลาง
ยกมือขึ้นท้าวเอวอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกมา เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของมารดากำลังจับจ้องมาทางเขาอย่างขอความร่วมมือ ไม่ใช่การบังคับ
เป็นการขอความร่วมมือแบบปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย ไม่ต่างจากการทำงานของเขา ที่คำสั่งของผู้กองคือเด็ดขาด ห้ามเถียง ห้ามถาม คำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือปะกาศิตที่ต้องปฏิบัติตาม แต่คุณแม่ของเขานั้นยิ่งกว่าผู้กอง เปรียบท่านเป็นผู้การที่แสนเผด็จการ แถมเป็นผู้การไม่ธรรมดา เป็นผู้ก่อการรักตัวยงพ่วงท้ายมาด้วย
“หมวดก็พิลึกคน คนมือเจ็บแต่จะใจดำให้ขับรถกลับไปเอง คุณแม่หนูลิลลี่จะคิดยังไง ที่ปล่อยให้ลูกสาวเขากลับไปสภาพแบบนี้”
“ลิลลี่ขอขับเองแหละค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก พอขับได้”
“จากเป็นไม่มากจะมากเอาได้ หากเคลื่อนไหวมากๆ เข้า เอาอย่างที่แม่ว่านั่นแหละ หมวดเขาจะไปส่งหนูลิลลี่เอง”
“เอ่อ…”
“เอาตามนี้แหละ ลิลลี่มาเร็วสิ แม่จะสอนวิธีทำเค้กให้อร่อย ง่ายนิดเดียว รับรองว่าทำแล้วจะสนุกจนติดใจอยากเข้าครัวอีกแน่”
ภาวิณีรีบเบี่ยงเบนประเด็น ลีลาวดีจำต้องเดินเข้าไปหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหตุผลเดียวเพียงเพราะเกรงใจท่านนั่นเอง จริงๆ หล่อนอยากทำตัวเป็นคนก้าวร้าวเสียบ้างแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่นิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ครอบครัวของหล่อนสอนมาแบบนั้นว่าให้เคารพผู้ใหญ่ จะผิดถูกอย่างไรก็อย่าทำตัวก้าวร้าวใส่ เหตุนี้หล่อนจึงยอมๆ ท่านมาโดยตลอด
“ผมไปรอทานข้างนอกดีกว่า”
“ลิลลี่มือเจ็บ หมวดมาคอยเป็นลูกมือให้แม่แทนได้ไหม”
“ผมปวดขา เตะบอลมาเนี่ยครับ”
“ทีตอนลาดตระเวนเป็นหลายกิโลฯ ยังไม่บ่น แค่นี้ทำเป็นบ่นปวดขา ชิ”
“ก็ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ไม่ชอบเข้าครัวนี่คร๊าบบบ”
“คุณป้าปล่อยหมวดเขาไปเถอะค่ะ ลิลลี่ช่วยเอง ไม่ได้ยกของหนักอะไร ไปสิ ชิ่วๆ ไม่ต้องมาช่วย ไปนอนรอข้างนอกนั่นไป”
หญิงสาวได้ทีรีบสมทบขึ้นทันที เพราะหล่อนเองก็ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้อยู่แล้ว เพราะขยาดที่เขาเป็นคนปากว่ามือถึง บางทีพูดอีกอย่าง แต่ก็ทำอีกอย่าง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใจเขาคิดอย่างไรกับตนกันแน่
แต่ที่แน่ๆ คืออยู่กับเขาแล้วเปลืองตัวยิ่งนัก การอยู่ห่างจากสิ่งมีชีวิตเช่นเขา คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
“ทีลับหลังแม่ล่ะเอาเชียว อย่าคิดว่าไม่เห็นนะ”
“ผมไปดีกว่า”
“เห็นไหม รีบหนีเพื่อกลบเกลื่อน หนูลิลลี่อย่าไปยอมนะ อย่าไปเสียเปรียบเขาฝ่ายเดียว หากหมวดทำอะไรล่วงเกิน ต้องรีบเอามาบอกแม่ เดี๋ยวจะจัดการให้เอง”
“เมื่อกี้หมวดเขาแอบแต๊ะอั๋งลิลลี่ เวลาอยู่ใกล้ก็ชอบหลอกลิลลี่ต่างๆ นานา หากหมวดยังเป็นแบบนี้ ลิลลี่จะไม่มาบ้านนี้อีกแล้วนะคะ นัดไปไหนก็จะไม่ไป ลิลลี่ไม่อยากเข้าใกล้หมวด”
“โกหก”
ชายหนุ่มทำเป็นพูดไม่ออกเสียงใส่หน้าคนมารยา เมื่ออีกฝ่ายตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเสียเนียนสนิท แม้เขาอยากปฏิเสธ แต่เชื่อว่ามารดาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน เพราะยี่ห้อของเขานั้นก็ฟ้องบน
หน้าผากอยู่แล้ว
ลีลาวดีทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนลอบยิ้มออกมาขณะยืนมองเครื่องกำลังตีแป้งให้เข้ากัน ฟากภาวิณีก็ส่งค้อนไปให้ลูกชายของตนตาเขียว
“อย่าเอานิสัยที่ทำกับผู้หญิงคนอื่นมาใช้กับหนูลิลลี่ หากยังไม่ได้แต่งงานกันหมวดจะต้องให้เกียรติเธอ แม่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามระหว่างสองครอบครัวโดยเด็ดขาด จำเอาไว้ แม่จะไม่พูดด้วยเลย หากหมวดทำตัวไม่ดี”
“แหม ก็ผมรักของผมนี่นา ผมแค่อดใจไม่ไหว ก็น้องลิลลี่เขาทั้งน่ารักทั้งน่า…ขนาดนี้ ใครจะไปอดใจไหวกัน”
“ว๊าย!”
ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มปราดเข้ามากอดลีลาวดีที่กำลังยืนตกตะลึงอ้าปากค้างกับคำพูดของเขาอย่างหน้าตาเฉย พวงแก้มสาวถูกเขาขโมยหอมแก้มไปทีหนึ่ง คนก่อเหตุส่งยิ้มพราวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่เพิ่งถูกมารดาตำหนิไปหยกๆ
“คุณ! อะไรนี่ ปล่อยลิลลี่นะ”
“ตาเถรตก! หมวด จะทำอะไรหัดเกรงใจคนแก่บ้าง”
“คุณแม่ครับ แต่งปีนี้เลยดีไหม ไม่ต้องรออะไรแล้ว”
“จะบ้าหรือไง ใครจะแต่งกับคุณ แล้วยังไม่ปล่อย อย่ามาทำเนียนนะ”
“ผู้หญิงร้อยเล่ห์ ต้องเจอแบบนี้”
ชายหนุ่มกระซิบชิดใบหูก่อนหัวเราะเล็กๆ ตบท้าย ยอมที่จะคลายอ้อมกอดออก แล้วเดินผิวปากจากไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำของตน ทิ้งให้ลีลาวดีมองตามไปด้วยความขุ่นมัวใน
อารมณ์ที่ทำอะไรเขาไม่ได้
“เอ่อ…ระ เรามา ทำขนมกันต่อเถอะจ้ะ”
ภาวิณียิ้มเฝื่อนเมื่อลูกชายของตนแสดงออกมาเช่นนั้น แม้ใจอยากจะเดินตามไปต่อว่า แต่คิดอีกทีหากการแสดงเมื่อสักครู่นั้นออกมาจากใจ การแสดงความรักด้วยการกอดและหอมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิแต่อย่างใด ตราบใดที่ยังไม่ข้ามขั้นเลยเถิดมากไปกว่านี้
เค้กชิ้นนุ่มถูกนำออกมาจากเตาอบเพื่อรอตกแต่งหน้าให้สวยงาม ลีลาวดีเลือกที่จะทำเค้กนมสดโรยหน้าด้วยไวท์ช็อคโก้ เนื่องด้วยเคยทานแล้วติดใจในรสชาติหอมมันนุ่มลิ้น คิดว่าหากทำเป็นหล่อนจะได้ไม่ต้องไปเรียนเพิ่มหากมารดาเปิดร้าน ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการที่ถูกบังคับให้เรียนในวันนี้
เพิ่งรู้ว่าการเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อยในขั้นตอนการตีแป้งก็ทำให้เค้กนุ่มขึ้นได้ ภาวิณีได้สอนแบบไม่หมกเม็ดกันเลยทีเดียว แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้างเพราะหล่อนไม่รู้เรื่องปฏิกิริยาเคมีในส่วนผสมแต่ละชนิด จึงต้องอาศัยการจดอย่างละเอียด เพื่อเอาไว้ดูคราวหลังต่อไป
“ผมจะกินได้ไหมนะ ที่เห็นว่าเคลือบด้วยครีมสวยๆ ด้านนอกน่ะ ข้างในไหม้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
ภัทรพลแสร้งก้มหน้าลงมาดมพิสูจน์กลิ่น เมื่อเดินผ่านครัวแล้วอดที่จะแวะเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากเขาเห็นลีลาวดีกำลังตั้งใจปาดครีมแต่งหน้าเค้กอยู่ การที่ได้หาเรื่องชวนปะทะคารม มันคืองานอดิเรกของเขาอยู่แล้ว
“อย่ามาปากดี เมื่อกี้แม่ยังไม่ได้สะสางเลยนะ”
“สะสางอะไรครับ ก็คนรักกัน แสดงความรักต่อกันมันผิดตรงไหนครับคุณแม่”
“มันไม่ผิด แต่มันประเจิดประเจ้อ ให้รู้สถานที่เสียบ้าง เกรงใจหัวหงอกหัวดำที่ยืนอยู่เสียบ้างนะ”
“หรือจะให้ผมไปทำในที่ลับตา ดีเลย ถ้าอย่างนั้นจะไม่แค่กอดแน่”
“นี่แน่ะ!”
“โอ๊ย! คุณแม่ หยิกผมทำไม”
ชายหนุ่มคลำป้อยที่แขนตัวเองเมื่อมารดายื่นมือมาหยิกโดยที่ไม่ทันได้ระวัง ลีลาวดีหัวเราะออกมาอย่างชอบใจที่เห็นเขาเจ็บตัว หล่อนไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายได้เล็งเป้าหมายเพื่อโจมตีอีกครั้ง
“หมั่นไส้”
“ให้ผมช่วยนะ”
ด้วยความอยากจะแกล้ง ภัทรพลรีบเดินอ้อมมายืนอยู่ทางด้านหลังลีลาวดี ก่อนถือโอกาสโน้มกายโอบร่างของหล่อนเอาไว้ มือเรียวถูกเขากอบกุมโดยที่หล่อนชักหนีไม่ทัน ก่อนบังคับให้หล่อนละเลงครีมไปบนก้อนเค้กตามที่ใจเขาจะลากไป
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองตาเขียว อยากจะตะโกนใส่หน้าเขา แต่ก็เกรงใจผู้ใหญ่ จำต้องรักษามารยาทเอาไว้ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสเอาคืนทีหลังก็ยังไม่สาย
“อย่าเกร็งสิครับ เค้กเบี้ยวเลยเห็นมั้ย”
“ก็หมวดจะปาดไปทางโน้น ลิลลี่จะปาดมาทางนี้ ขัดกันแบบนี้มันจะสวยได้ยังไงกันเล่า ปล่อยเลยนะ อย่ามาจุ้น”
“ก็ผมกลัวคุณเหนื่อยเลยอาสาช่วยแล้วไง จะได้ไม่ว่ากันทีหลังว่าผมนั่งรอทานอย่างเดียว”
“ลิลลี่ไม่ได้ทำให้คุณ ทำไปให้คุณแม่ต่างหาก”
“อ้าว”
ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที เหลือบมองไปทางมารดา เห็นท่านนั่งแต่งหน้าเค้กในส่วนของตน สีหน้าฉายแววอมยิ้มอย่างคนมีความสุข เมื่อได้เห็นสัญญาณที่ดีของการทำตัวเป็นผู้ก่อการรักครั้งนี้
“คุณแม่ ของผมล่ะครับ”
“หนูลิลลี่เอาอันนั้นให้หมวดก็ได้ เดี๋ยวเอาของแม่กลับไป ของใครก็เหมือนกันแหละจ้ะ”
“ชิ…”
หญิงสาวกระทุ้งข้อศอกไปที่สีข้างของคนฉวยโอกาสเมื่อเขายังทำเนียนไม่เลิก ทั้งๆ ที่จะเดินไปนั่งข้างๆ กันก็ทำได้ แต่เขากลับโน้มกายผ่านร่างของหล่อนไปเพื่อหยิบไวท์ช็อคขูดฝอยมาโรยหน้าเค้กที่แต่งจนเรียบแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าเขาส่งยิ้มพราวพร้อมแววตาขบขันรออยู่ก่อนแล้ว ราวสนุกเสียนักหนาที่ได้แกล้งให้หล่อนหงุดหงิดอยู่ในหัวใจเล่นๆ
“คุณกำลังขำฉันทางสายตา จะจิ้มให้ตาบอดเลย”
หญิงสาวกระซิบพลางเหลือบตามองไปทางมารดาของเขา กลัวท่านจะหันมาเห็น ขณะกำลังล้างมืออยู่ที่อ่าง แล้วเขาเดินตามมาสมทบ ถ้อยคำชวนตีก็เล็ดลอดผ่านปาก
“เหรอ ตรงไหนล่ะลิลลี่ที่บอกว่าผมขำคุณทางสายตา”
“ก็แววตาคุณมันสั่นไหว นั่นแหละ มันแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังหัวเราะฉัน”
“เปล่า ที่คุณเห็นมันสั่นไหว เพราะมันกำลังหวั่นไหวตามจิตใจของผมที่กำลังสั่นคลอนต่างหาก”
“แหวะ ลิเกที่สุด”
“แต่ผู้หญิงก็ชอบอะไรที่มันลิเก”
“ฉันรู้ว่าหมวดแค่ต้องการจะแกล้ง ไม่ได้คิดแบบที่พูดหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราต้องร่วมมือกันทำอะไร เราต้องร่วมมือกันทำลายความตั้งใจของคุณแม่คุณที่จะให้เรารักกัน ไม่ใช่ทำให้ท่านมีความหวังเช่นนี้”
“ผมจำไม่ได้”
“อ้าว หมวด อย่ามาตุกติกนะ”