“เพลิน?”
ไม่เพียงแค่ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่น้ำเสียงก็ยังคุ้นหูอีกด้วย ไพลินเอียงคอมองอย่างงุนงง เพราะเธอมีเรื่องสับสนมากเกินไปจึงคิดชื่อผู้ชายคนนี้ไม่ออก
“นี่อาโปรดเอง” ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้แล้วประคองร่างที่สั่นเทาของเธอไว้ “จำอาได้ไหมที่อยู่บ้านติดกับเพลินไง”
“อาโปรด...”
ชื่อนี้ช่างฝังลึกในความทรงจำ ไพลินหลับตาลง เหมือนเห็นภาพตัวเองตอนยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ปีนรั้วเตี้ย ๆ ไปข้างบ้านซึ่งเป็นไร่ขนาดใหญ่
เจ้าของเงานั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้มากจนเธอรับรู้ถึงความสูงและแข็งแกร่งจนเกินบรรยายของอีกฝ่าย
“ใช่ นี่อาโปรดเอง” ชายหนุ่มย้ำแล้วเสยเส้นผมที่เปียกน้ำขึ้น “ทำไมเพลินมาอยู่ตรงนี้ ให้อาไปส่งที่บ้านไหม?”
มาโปรดยอมรับว่าประหลาดใจที่เห็นไพลินมาเดินริมถนนอย่างนี้ เธอต้องอยู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่หรือ? หรือเธอกลับมาเยี่ยมคนที่บ้านไร่?
“บ้าน?” ไพลินส่ายหน้ารัว ๆ เธอยังไม่พร้อมจะเจอคนในครอบครัวตอนนี้ เธอจะพูดกับคนอื่นอย่างไรว่าเมธานอกใจเธอ ซ้ำยังนอนกับเพื่อนสนิทของเธออีก
หลังจากที่เธอหนีออกมาจากคอนโดของเมธา เธอก็คิดอะไรไม่ออก เธออยากหนีไปตั้งสติที่ไหนสักแห่ง รู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่บนรถทัวร์มุ่งหน้าสู่บ้านไร่ของตากับยายแล้ว
มาโปรดเห็นท่าทางของไพลินแล้วก็มั่นใจว่าต้องมีเรื่องบางอย่างแน่ ๆ เขาจึงตัดสินใจแทน “ถ้าอย่างนั้นไปที่ไร่ของอาก่อนดีไหม อย่าอยู่ที่นี่คนเดียวเลย มันอันตราย”
ไพลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างเหม่อลอย ฝนที่จู่ ๆ ก็กระหน่ำจนต้นไม้รอบตัวเอนลู่ เสียงฟ้าร้องลั่นทำให้หญิงสาวเผลอหวีดร้องออกมา ชายหนุ่มจึงรีบคว้าร่างบอบบางเข้าไว้ในวงแขนอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรนะอาอยู่นี่แล้ว” มาโปรดกระซิบแล้วประคองเธอไปที่รถ เปิดประตูแล้วพยุงให้เธอขึ้นไปนั่งและปิดประตูให้
เขาวิ่งกลับมาที่ฝั่งคนขับ เห็นไพลินยังนั่งนิ่งอยู่จึงโน้มตัวไปช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้ เสียงกริ๊กทำให้ร่างเล็กสะดุ้ง รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะอยู่ใกล้ใบหน้า ทำให้เธอเผลอจ้องมองใบหน้าคมเข้มเปื้อนหนวดเคราบาง ๆ เขารู้ว่าเธอจ้องมองเขาอยู่จึงเผยรอยยิ้มขึ้น
“ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วนะ”
มาโปรดขยับตัวไปประจำที่คนขับ ออกสตาร์ทพารถเคลื่อนออกไปอย่างระมัดระวัง แต่กระนั้นยังเหลือสายตาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ เป็นระยะ
เขารู้จักกับเพลินหรือไพลินมาตั้งแต่เด็กคนนี้แค่เจ็ดแปดขวบที่แสนซุกซนชอบมุดรั้วหรือบางทีก็ปีนรั้วเตี้ย ๆ มาที่ไร่ของเขา
หนูน้อยเพลินในความทรงจำของเขาคือเด็กช่างพูด ช่างถาม ถามเสียจนไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ตอนนั้นเขาอายุสิบแปด ตัดสินใจเรียนด้านเกษตรเพื่อพลิกฟื้นที่ดินกว่าห้าสิบไร่ แน่นอนว่าด้วยวัยแค่สิบแปดนั้นมันหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ทุกอย่าง เขาจึงเลือกเรียนใกล้บ้านเพื่อที่จะได้สามารถเรียนและดูแลไร่ไปพร้อมกันได้
ครอบครัวของไพลินอยู่ที่ไร่เล็ก ๆ ติดกับเขา เขาได้พบเด็กหญิงจอมพลังในช่วงเวลาปิดเทอมเท่านั้น เพราะพ่อแม่ของเธอทำงานที่กรุงเทพฯ จะพาลูกสาวมาเยี่ยมตากับยายได้แค่ช่วงเวลานั้น จนเมื่อไพลินจบชั้นประถมฯ ก็กลับมาเรียนชั้นมัธยมฯ ที่นี่ เขาจึงได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอแยกทางกันและส่งเด็กน้อยกลับมาอยู่ในความดูแลของตาและยาย แต่ไพลินไม่เคยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาหรือเรียกร้องความสนใจ เธอใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่าย มีคุณตาขับรถกระบะเก่า ๆ ไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน บางวันรถสตาร์ทไม่ติด เธอถือกระเป๋านักเรียนวิ่งมาหาเขาให้พาไปส่งที่โรงเรียน จนกระทั่งเธอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย สอบติดมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ จึงย้ายไปเรียนที่นั่น หลังจากนั้นเขาเริ่มไม่ได้เจอเธอ นานนับปีจะพบกันสักครั้งจนไม่ได้เจอกันอีกเลย ได้แต่รับรู้เรื่องราวของเธอจากคุณตาและคุณยายข้างบ้านที่เขาแวะเวียนไปหาเป็นประจำเท่านั้น
รถฝ่าสายฝนมาถึงไร่รุ่งอรุณ ไพลินรู้สึกตัวตื่นในตอนที่เครื่องยนต์ดับลงและรถจอดสนิทพอดี เธอจ้องมองบ้านหลังใหญ่อย่างประหลาดใจ เหมือนไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้นัก เรียกว่าไม่ได้อยู่ในความทรงจำเลยเสียดีกว่า
มาโปรดมองท่าทางของหญิงสาวแล้วลอบยิ้ม
“บ้านอาเอง เพลินไม่ได้มาที่นี่หลายปี บ้านหลังเก่ารื้อไปแล้ว” เขาบอกแล้วโน้มตัวไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้ เธอรู้ว่าเขาไม่ตั้งใจแต่ใบหน้าใกล้กันทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ เธอมองเขาลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประฝั่งเธอด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน