ขวัญข้าวปรายตาไปหน้างาน เห็นชัดว่าอินทุอรกำลังรับแขกกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง จะว่าไปก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอเสียทีเดียว เธอเคยเห็นเขาขับรถไปรับไปส่งอินทุอรเป็นประจำ ตอนเรียนอยู่มัธยมเมื่อหลายปีก่อน แม้ออกจะแปลกๆ ที่ลูกเศรษฐีจากเมืองย่าโมอย่างอินทุอรเข้ามาเรียนในโรงเรียนเดียวกับเธอ ไม่เข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ที่ทายาทเศรษฐีแทบจะเดินชนกันตาย เธอกับอินทุอรเรียนห้องเดียวกันจนจบมัธยมศึกษาปีที่หก แล้วต่างไม่ทราบข่าวคราวกันอีกเลย จนเมื่อวันที่เธอไปรับพีรัชที่สนามบินตอนเขาเรียนปริญญาโทจบแล้วกลับมา อินทุอรก็เดินเคียงข้างเขาออกมาจากช่องผู้โดยสารขาเข้า ชนิดที่เรียกว่าเดินคลอเคลียกันมาเลยทีเดียว
ยายหน้าจืดคาบไอ้พีไปแดก...ประโยคนี้คิมห์เคยโพล่งออกมาอย่างฉุนเฉียว
ขวัญข้าวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อกำลังรำลึกถึงความหลัง เธอหันกลับมากะพริบตาถี่ๆ มองเจ้าของมือที่วางอยู่บนหลังมือเธออย่างงุนงง แล้วรีบดึงมือออกมาอย่างมีมารยาทเมื่อตั้งสติได้แล้ว
“อะไรนะคะ” เธอถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้ฟังคำถาม
“พี่ถามว่ามาคนเดียวจะกลับบ้านยังไง ดึกพี่เป็นห่วง”
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แท็กซี่เยอะแยะ” ขวัญข้าวยิ้มรับความหวังดีจากอดีตแฟนหนุ่ม จึงได้รับยิ้มอ่อนโยนกลับมา พร้อมคำพูดนุ่มนวลเช่นทุกครั้ง
“ข้าวยังอยู่บ้านเดิมหรือเปล่า” พีรัชถามอย่างคนเคยคุ้น ในตอนที่คบหาเป็นแฟนกัน เขาเคยไปบ้านขวัญข้าวหลายครั้ง เวลานั้นขวัญข้าวอยู่กับคุณยายแก่ๆ เพียงลำพัง บิดามารดาของหญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปก่อนหน้านั้นไม่นาน
“จะให้ไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ บ้านหลังนั้นเป็นสมบัติชิ้นเดียวของข้าว” ขวัญข้าวสาบานว่าไม่ได้ตั้งใจประชดหรือทำให้พีรัชคิดมาก เปรียบเทียบฐานะของเธอกับใคร โดยเฉพาะคู่หมั้นสาวของเขา เธอเพียงแต่พูดตามความจริงเท่านั้น
เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต เธอก็อยู่กับยายในบ้านหลังที่พ่อสร้างไว้ให้ แม้เป็นบ้านเล็กตามเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อย และเงินสะสมของยายที่มอบให้ลูกสาวคนเดียวเช่นแม่ จนมีบ้านหลังเล็กในพื้นที่ดินดั้งเดิมของปู่ย่าซึ่งถือเป็นมรดกชิ้นเดียวที่ตกทอดมาถึงพ่อ และบัดนี้ทุกอย่างทั้งบ้านและที่ดินก็ตกทอดมาถึงเธอ เมื่อทุกท่านเสียชีวิตไปหมดแล้ว แม้กระทั่งคุณยาย ที่เพิ่งจากไปก่อนที่เธอจะเรียนจบได้ไม่นาน
ในขณะที่เธอมีเพียงบ้านหลังเล็กๆ อินทุอรกลับมีทรัพย์สินมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ส่วนในกรุงเทพฯ ขวัญข้าวรับรู้เพียงแต่อินทุอรมีคอนโดฯ หรู ราคาแพงอยู่ในย่านเศรษฐี
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าวอยู่จนงานเลี้ยงเลิกนะอย่าเพิ่งรีบกลับ แล้วพี่จะให้คนขับรถของคุณพ่อไปส่ง แต่ตอนนี้พี่ขอตัวไปช่วยน้องอ่อนรับแขกก่อนนะคะ” พีรัชเดินห่างไปแล้วโดยไม่รอฟังคำตอบตกลงจากหญิงสาว เพราะรู้สึกเหมือนถูกหญิงสาวว่ากระทบเข้าให้ ในเรื่องฐานะของเธอเอง
ขวัญข้าวอยากปฏิเสธออกไป เธอตั้งใจจะมาปรากฏตัวให้เขาเห็นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีเยื่อใย ไม่เจ็บ ไม่ปวดกับการตีจากของเขา แล้วจึงขอตัวกลับโดยไม่รอให้งานเลี้ยงจบลง เพราะความจริงแล้วข้างในลึกๆ เธอยังเจ็บ ยังปวดและเสียใจ เพราะเขาเป็นคู่รักคนแรกและคนเดียวของเธอ
“เครื่องดื่มครับ” แก้วน้ำหวานสีส้มเพียงใบเดียวในถาดยื่นมาตรงหน้า ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้นมองคนส่งให้ ก่อนจะยิ้มให้อย่างมีมารยาทกับบริกรหนุ่มหน้าตาดีพอใช้
“ขอบคุณค่ะ มีน้ำนางเอกแก้วเดียวเสียด้วย” เธอเย้าเล่น พ่อบริกรหนุ่มน้อยถึงกับทำหน้าเหลอ รีบถามออกไปทันที
“เอ่อ คุณผู้หญิงจะเปลี่ยนเป็นน้ำอะไรก็บอกมาเลยครับ ยินดีบริการ”
ขวัญข้าวยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำส้มเย็นจนมีหยดน้ำเกาะด้านนอกมาถือไว้ เหมือนกลัวเขาจะนำมันกลับคืนไป “เอาน้ำส้มนี่ล่ะค่ะ น้ำนางเอกเข้ากันได้ดีกับนางเอกอย่างพี่” เธอยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่มอีกครั้ง
บริกรหนุ่มน้อยยิ้มกว้างกับอาการขี้เล่นของหญิงสาว ก่อนโค้งแล้วถอยหลังห่างออกมา เพื่อทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
น้ำสีส้มค่อยๆ กลืนลงคอเพิ่มความชุ่มชื่นและดับกระหาย ขณะสายตาของเธอกวาดมองไปทั่วงาน งานของเศรษฐีจะมองมุมไหนก็สวยงามลงตัวไปหมด ดอกกุหลาบสีชมพูสะพรั่งไปทั่วงานสวยจนขวัญข้าวอิจฉา เธอเชื่อว่าผู้หญิงเกือบทุกคนต้องวาดหวัง วาดภาพงานพิธีสำคัญของตนเองเอาไว้ในใจ เช่นเดียวกับตัวเธอที่อยากให้ทั้งงานหมั้นและงานแต่งงานของตนเอง ประดับไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ เพื่อประกาศเป็นนัยว่าเจ้าสาวอย่างเธอนั้นยังรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้จนถึงวันสำคัญ
ขวัญข้าวส่ายหัวไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยของตนเอง แล้วรีบวางแก้วน้ำส้มที่ดื่มไปจนเกือบหมดลงบนโต๊ะ รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเลือดในกายสูบฉีดรุนแรงเหมือนดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ทั้งที่ดื่มแค่น้ำส้มแก้วเดียว อาหารอย่างอื่นก็ยังไม่ได้ตักมารับประทาน
หญิงสาวใช้กระเป๋าถือใบเล็กๆ โบกลมเข้าหน้า ก่อนหันซ้ายแลขวา มองหาเจ้าภาพ เธอคิดว่าคงต้องบอกลาทั้งคู่แล้วรีบกลับ อาจจะไปอาบน้ำให้ร่างกายเย็นลง ขวัญข้าวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาพีรัชที่กำลังพูดคุยอยู่กับแขกในมุมไกลๆ ที่มองเห็น
“โอ๊ย!”
“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มหน้าตาดีรีบขอโทษหญิงสาวที่ชนเข้ากับเขาจน ร่างบอบบางซวนเซ แถมเครื่องดื่มในมือเขายังหกรดชุดของเธออีก
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันสิต้องขอโทษ ที่เดินไม่ระวัง” ขวัญข้าวบอกขณะใช้มือปัดคราบชื้นบนเสื้อ
“ชุดคุณเลอะหมด ไปล้างดีกว่าครับ”
“คะ? คุณว่าอะไรนะ” ขวัญข้าวถามซ้ำ รู้สึกอาการวูบวาบที่เกิดกับเนื้อตัวจะทำให้หูตาเธอพร่าพราง
“มากับผมดีกว่าครับ ไปล้างชุดกัน” เขาแตะข้อศอกหญิงสาวอย่างสุภาพแล้วพาเดินเลี่ยงออกไปจากห้องจัดเลี้ยง ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นซึ่งเจ้าภาพเปิดห้องเอาไว้สำหรับพักผ่อนก่อนเข้างาน
“ตามสบายนะครับ” เขาเปิดประตูให้หญิงสาว แล้วผายมือเข้าไป ก่อนขยับมายืนรอหน้าห้องเมื่อหญิงสาวงับบานประตู แม้จะรู้สึกแปลกใจกับประกายหยาดเยิ้มในดวงตาของเธอก็ตามที
ตื๊ด...ตื๊ด...ตื๊ด
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ชายหนุ่มรีบควานมือลงไปหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับทันที โดยไม่ต้องดูว่าใครโทรเข้ามา
“ครับผม”
“ครับผมนะอยู่ที่ไหน มาหาน้องอ่อนหน่อยสิ คมกริช” เสียงปลายสายประกาศิตลงมา
เจ้าของชื่อคมกริชเหลือบตามองเพดานเขียนลวดลายสวยงามของโรงแรมห้าดาว แทนการพ่นลมหายใจอย่างระอากับการวางอำนาจของหญิงสาว แล้วตอบกลับ
“ครับผมคุณนาย” เขากดตัดการสื่อสาร แล้วรีบเดินกลับไปเข้างาน โดยลืมหญิงสาวในห้องเสียสนิท ไม่นานเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าอินทุอร
“มีอะไรให้รับใช้ครับ” เขาถามทันทีที่มาหยุดตรงหน้า โดยไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยปากก่อน
อินทุอรเอียงหน้าเข้ามาใกล้กระซิบบอกเขาเบาๆ ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนมองสบตาหญิงสาวเมื่อเธอขยับใบหน้าออกไปวางตรงแล้ว เหมือนจะถามย้ำว่าแน่ใจหรือ อินทุอรพยักหน้าตอกย้ำคำของตนเอง คมกริชจึงผละจากไป โดยอินทุอรมองตาม พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกลับเข้าไปกล่าวทักทายและขอบคุณแขกในงานเลี้ยงฉลองหมั้นของตนเองต่อ
แก้วเครื่องดื่มสีอำพันถูกยื่นมาข้างหน้าโดยบริกรในงาน อาติณณ์รับมันมาโดยไม่ลังเลหรืออิดออด วันแห่งความสุขของน้องสาวเขาตั้งใจมาฉลองเต็มที่อยู่แล้ว แต่พอปากแก้วบอบบางมาจรดตรงริมฝีปากของเขา เสียงหวานอ่อนโยนก็ค้านขึ้น
“พี่ติณณ์ดื่มมากระวังเมานะคะ” อินทุอรและพีรัชเดินมาหยุดใกล้ๆ เธอผละจากการกอดแขนของคู่หมั้นหนุ่มมานั่งคุกเข่าวางมือบนตักของพี่ชายคนเดียว เอียงคอดูน่ารักยามพูดประโยคออดอ้อน
“ไหนพี่ติณณ์บอกว่าเพลาการดื่มลงมาแล้วยังไงล่ะคะ”
“แค่ไม่กี่แก้วเองค่ะ น้องอ่อน” มือใหญ่ยกขึ้นแตะแก้มที่แต่งแต้มสวยงามของน้อง ถ้าไม่ติดว่าทรงผมเกล้าสวยของอินทุอรจะยุ่งเหยิงเสียทรง อาติณณ์คงยกมือขึ้นขยี้หัวน้องด้วยความเอ็นดูอย่างเคยชินไปแล้ว
อินทุอรดึงมือพี่ชายออกจากแก้ม มากำเอาไว้แล้วช้อนสายตาขึ้นสบตาพี่ชาย ดวงตาที่สบยามใดก็พบกับความอบอุ่นเสมอมา ใบหน้าแต่งแต้มสวยสมเป็นคนสำคัญของงานส่ายช้าๆ กับคำค้านที่เอ่ยออกมา
“ไม่กี่แก้วก็เมาได้ น้องอ่อนอนุญาตให้พี่ติณณ์ดื่มแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายนะคะ”
“จ้า คุณน้องบังเกิดเกล้า” อาติณณ์ทำเสียงยานๆ รับปากน้องสาว แล้วยกแก้วเหล้าเทเข้าปากจนหมด ก่อนคว่ำแก้วลงบนโต๊ะ
“พอใจหรือยัง”
“พี่ติณณ์น่ารักที่สุดเลย” อินทุอรพูดอย่างประจบพี่ชาย จึงได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ มาจากด้านหลัง ทั้งคู่จึงเหลียวไปมอง พบว่าพีรัชที่ยืนฟังเงียบๆ นั่นเองเป็นคนทำเสียง อาติณณ์ถึงกับหัวเราะร่วน ก่อนพูดเย้าน้องสาว
“มีคนอยากให้น้องอ่อนรักที่สุดเพิ่มมาอีกคนแล้ว” อาติณณ์พูด แต่รู้สึกเนื้อตัวร้อนรุ่มใบหน้าวูบวาบ อาจเป็นผลจากเหล้าที่ดื่มเข้าไป แม้จะรู้สึกว่ามันมากเกินกว่าอาการเมาเหล้าก็ตามที
“พี่อยากล้างหน้าล้างตา” เขาเปรยเบาๆ
“ไปห้องที่เปิดไว้สิคะ ล้างหน้าล้างตาหรืออาบน้ำเลยยังได้ เหมือนพี่ติณณ์จะเมาอย่างนั้นแหละ” อินทุอรบอก ก่อนหันไปมองหาผู้ช่วยเพื่อจะให้นำทางพี่ชายไปยังห้องที่เปิดไว้สำหรับพักผ่อน
“นี่เธอมานี่หน่อย” เธอกวักมือเรียกบริกรหนุ่มที่เดินอยู่ในงานเพื่อบริการแขก
“เรียกเขาทำไมน้องอ่อน” อาติณณ์ถามอย่างงุนงง
“ให้เขาพาพี่ติณณ์ไปห้องพักยังไงล่ะคะ”
“ไม่ต้องหรอกพี่ไปเอง”
“เอางั้นหรือคะ งั้นรอแป๊บนะคะ น้องอ่อนเอากุญแจห้องให้” อินทุอรผละไปเพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมคีย์การ์ด บอกตำแหน่งห้องเสร็จสรรพ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างของพี่ชายไปจนสุดสายตา แล้วลอบถอนใจเบาๆ และต้องมาสะดุ้งกับมืออุ่นๆ ของพีรัชที่วางลงบนไหล่
“ขวัญอ่อนจริงๆ นะคะ ยังกับแอบทำความผิดอย่างนั้นแหละ” พีรัชเย้าคู่หมั้นสาว ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม อินทุอรเลยค้อนให้ แถมพูดงึมงำ
“น้องอ่อนทำเพื่อเรานะ”
“ทำอะไรคะ” พีรัชถามงงๆ
“เปล่าๆ แขกทยอยกลับกันแล้ว ไปส่งแขกกันเถอะค่ะ” เธอฉวยข้อมือพีรัชแล้วพาเดินไปตำแหน่งที่บิดามารดาของเขากำลังขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน
แขกในงานต่างทยอยกลับไป โดยคู่หมั้นหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ฝ่ายชายยืนส่งอยู่ตรงซุ้มหน้างานเช่นเดิม โดยปราศจากอาติณณ์พี่ชายคนเดียวของฝ่ายหญิง
“มองหาใครคะพี่พี” อินทุอรสะกิดแขนคู่หมั้นหนุ่ม เมื่อเห็นเขากวาดสายตาไปทั่วงาน ซึ่งแขกทยอยกลับจนเกือบหมดแล้ว เหมือนมองหาใคร
“เปล่าจ้ะ” เขาปฏิเสธเสียงแกนๆ
ไปอยู่เสียที่ไหนนะข้าว ก็บอกให้รอก่อนอย่าเพิ่งกลับ
ประตูห้องพักถูกปิดลงเมื่ออาติณณ์เข้าไปอยู่ด้านใน ภาพตรงหน้าทำเอาสายตาที่พร่ามัวของเขาเบิกกว้าง แต่ร่างกายที่ร้อนวูบวาบเลือดในกายที่ฉีดแรงของเขากลับทำงานเพิ่มขึ้น กับภาพเรือนร่างเย้ายวนที่สะท้อนในดวงตา
เช่นเดียวกับเจ้าของร่างอรชรอ้อนแอ้นที่กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าและลูบไล้เนื้อตัวตนเอง หันมามองเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง รอยยิ้มของเธอยั่วยวนโดยเจ้าตัวไม่รู้ เมื่อต่างคนต่างเดินเข้าหากันเหมือนมีแรงดึงดูด ไม่นานต่างก็พาเรือนร่างอันเปล่าเปลือยของกันและกันก้าวขึ้นไปบนเตียงใหญ่กลางห้อง