ในบ้านหลังเล็กเจ้าของบ้านยืนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวของห้องนอน ปิดม่านแล้วยังไม่เปิดไฟ ม่านหน้าต่างแหวกออกพอมองเห็นออกไปด้านนอก เธอเห็นเพื่อนหนุ่มคนสนิทมายืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว ได้ยินเสียงเขากดกริ่งติดต่อกัน เสียงโทรศัพท์ที่เขาโทรเข้ามา รวมถึงเสียงตะโกน แล้วทำท่าเหมือนจะปีนประตูรั้วเข้ามา เธอเห็นเขาพูดคุยอะไรกับโด่งสักพักเขาก็กลับขึ้นรถ แต่ไม่ได้บังคับให้รถแล่นออกไปในทันที เขานั่งทำอะไรสักอย่างในรถและเวลานี้เธอรู้แล้วว่าเขาทำอะไร เพราะโทรศัพท์มือถือของเธอส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีข้อความสั้นถูกส่งเข้ามา เธอไม่ได้หยิบมาเปิดออกอ่านในทันที ขวัญข้าวยืนในมุมเดิมจนคิมห์เคลื่อนรถจากไปเช่นเดียวกับโด่งที่ขับมอเตอร์ไซค์คู่ชีพของตนจากไปอีกคน
หญิงสาวเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอนหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความ ข้อความที่ไม่ได้ประดิดประดอยให้สวยหรู แต่บ่งบอกถึงความจริงใจของคนส่ง และคำลงท้ายนั้นก็ทำให้คนอ่านอย่างเธอยิ้มออกมาได้
“ขอบคุณนะคิมห์ ขอบคุณมาก” ขวัญข้าวไม่ได้พูดประโยคนี้เพียงลำพัง แต่เธอโทรกลับไปหาเขา และรู้ว่าเขารีบรับสายของเธออย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำหลายครั้ง
“ข้าวไม่เป็นอะไรนะ” เสียงปลายสายเจือความอาทรมาอย่างเปี่ยมล้น
“ข้าวสบายดี ขอบคุณมาก” เธอรีบตัดสายหยุดการสนทนาเสียทันที ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ ก่อนจะโยนเครื่องมือสื่อสารลงบนที่นอนแล้วทิ้งตัวลงนอนขวางเตียง อย่างเหนื่อยล้า
เหนื่อยเหลือเกินสำหรับวันนี้ แต่เป็นการเหนื่อยใจไม่ใช่เหนื่อยกาย เรื่องที่ผ่านมาแล้วและอยากลืม กลับลืมไม่ได้เพราะมันเกิดประเด็นใหม่ขึ้นมา เธออยากรู้นักอาติณณ์จะทำเช่นไรกับผู้ร้ายปากแข็งเช่นอินทุอร แค่ตบหน้าไปทีเดียวมันยังไม่เท่ากับสิ่งที่อินทุอรทำให้เธอสูญเสียไป และทำให้ทั้งเขาและเธอเสียชื่อเสียง แต่การขอรับผิดแทนน้องในตอนท้ายของเขานั้น ชี้ชัดให้เห็นว่าเขารักน้องมากเพียงใด
“จะทำอะไรก็ตามใจ ขอแค่ต่อไปอย่ามายุ่งกับฉันก็แล้วกัน” เธอพูดขึ้นมา ดวงตาว่างเปล่ามองเพดานห้องนิ่ง ต้องใช้เวลาอีกกี่วันข่าวซุบซิบนี้จะซาลง ป่านนี้คนในตลาดแหล่งรวมของชนแทบทุกชั้น คงมีเรื่องใหม่ได้พูดคุยกันเป็นที่สนุกปาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของการอยู่ร่วมกัน อีกไม่นานเมื่อมีหัวข้อใหม่ให้พูดคุย ให้สนใจขุดคุ้ย เรื่องของเธอก็คงเลิกพูดเลิกคุยไปเอง ว่าแต่ตัวเธอนี่สิ คืนนี้จะหลับตาลงหรือ หลายวันที่ผ่านมาสู้อุตส่าห์ทำใจข่มตาให้หลับลงได้ แต่กลับมาเจอเหตุการณ์ในวันนี้ คงต้องเริ่มทำใจกันใหม่อีกครั้ง
ลืมมันเสีย ลืมมัน หลับเสีย หลับนะจ๊ะขวัญข้าวจ๋า หญิงสาวพร่ำบอกตนเองอยู่อย่างนั้นจนหลับไปในเวลาล่วงดึกพอสมควร
ร่างกำยำเปียกชื้นไปด้วยประกายเหงื่ออยู่ตรงหน้าเธอ สายตาที่จ้องมองไปทั่วเรือนร่างเต็มไปด้วยความชื่นชมและประกายฉ่ำหวาน ฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างไม้เว้นแม้แต่ตารางนิ้วเดียว พร้อมพร่ำคำเยินยอ รอยยิ้มวาบหวามกดลึกที่มุมปากเมื่อเขามองสบตาเธออีกครั้ง ฝ่ามือร้อนวนเวียนอยู่แถวสะโพกและต้นขา เธอหลับตาปล่อยใจและร่างกายตามการนำพาของเขา เมื่อคิดว่าร่างกายของเธอต้องการให้เขาช่วยดับความร้อนรุ่มในขั้นตอนที่ลึกซึ้งมากขึ้น
หญิงสาวลืมตาโพลงอย่างตื่นตะลึง ผวาถดร่างหนีเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่แทรกเข้ามาในร่างกาย ก่อนจะกรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด
ขวัญข้าวผวาลุกขึ้นนั่งหอบหายใจในความมืดของห้อง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผากและแผ่นหลัง หัวใจเธอเต้นแรง เนื้อตัวสั่นสะท้านและใบหน้ากำลังร้อนวูบวาบกับความฝันที่เหมือนจริง
ทำไมต้องฝันถึง ลืมมันไปสิ ลืมมันไป
“กรี๊ด!”
“น้องอ่อน” อาติณณ์ที่นั่งอยู่ข้างเตียงผวาเข้ากอดน้องสาวไว้แนบอก เมื่ออินทุอรที่นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นผวาลุกขึ้นมากรีดร้องอย่างโหยหวน จนเขาต้องเอามืออุดปากเธอเอาไว้ เกรงว่าเสียงจะเล็ดลอดไปรบกวนคนไข้ในห้องอื่นๆ หรือกลัวว่าพยาบาลเวรจะแตกตื่นพากันเข้ามา เพราะอินทุอรกรีดร้องมาไม่ใช่ครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเธอจะลุกขึ้นมาร้องกรี๊ดๆ เสียเกือบทุกชั่วโมง
“พี่ติณณ์ พี่พีล่ะ พี่พีไปไหนอย่าให้เขาไปไหนนะ” เธอเพรียกหาชายคนรัก
“พี่อยู่นี่” พีรัชรีบขยับมายืนอีกฟากของเตียง
อินทุอรรีบยันตัวเองออกจากอ้อมแขนของอาติณณ์โผเข้ากอดพีรัช โดยไม่กลัวเกรงสายตาพี่ชายอีกต่อไปแล้ว ไหนๆ อาติณณ์ก็เข้าไปเห็นเธอนอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับพีรัชบนเตียงแล้ว แม้เขาไม่ซักถามแต่พี่ชายเธอไม่ใช่คนโง่ เวลานี้อาติณณ์ต้องรู้แล้วว่าน้องสาวอย่างเธอทำตัวชิงสุกก่อนห่าม ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน แต่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเธอ สิ่งที่อินทุอรกังวลตอนนี้คือแผลบนใบหน้ากลัวมันจะกลายเป็นแผลเป็น และที่กลัวที่สุดคือกลัวพีรัชทิ้งเธอไป ถ้าหากความสวยของเธอลดน้อยลง
พีรัชเหลือบตามองอาติณณ์อย่างเกรงๆ เพราะอินทุอรเคยบอกเขาว่าอาติณณ์ไม่ชอบให้น้องสาวปล่อยตัว แต่เหตุการณ์ที่คอนโดฯ อาติณณ์ก็คงรู้แล้ว แล้วยิ่งอินทุอรเล่นร้องหาเขาเสียทุกครั้งที่ผวาลืมตาตื่น คนไม่โง่ก็คงดูออก
“พี่พีอย่าไปไหนนะคะ พี่พีต้องอยู่กับน้องอ่อนนะ” หญิงสาวพึมพำอยู่แนบอกคู่หมั้นหนุ่ม
“พี่ไม่ไปไหนหรอก น้องอ่อนนอนพักผ่อนนะคะ พี่อยู่ตรงนี้” พีรัชประคองให้อินทุอรนอนลงอย่างเก่า
“พี่พีต้องสัญญาว่าจะอยู่กับน้องอ่อนตลอดเวลานะคะ สัญญาก่อนสิ” อินทุอรคาดคั้นด้วยน้ำเสียงและสายตา ทั้งยังขืนตัวไปยอมนอนลงไป
พีรัชเหลือบตามองอาติณณ์ แม้ใบหน้าพี่ชายของคู่หมั้นสาวจะดูมึนตึง สื่อความไม่พอใจกับท่าทางออดอ้อนของน้องสาวเท่าใดนัก แต่เขาก็ยังพยักหน้าให้พีรัชเล็กน้อย เป็นการอนุญาตให้พีรัชทำตามคำขอของอินทุอร แสดงให้รู้ว่าเขารักและตามใจน้องขนาดไหน เมื่อได้รับไฟเขียวเปิดทางพีรัชจึงรีบตกปากรับคำอินทุอรในทันที
“พี่สัญญาค่ะ น้องอ่อนนอนพักนะคะ พี่นั่งเฝ้าข้างเตียง แล้วจับมือน้องอ่อนไว้อย่างนี้ พอใจหรือยังคะ ที่รัก” เสียงพีรัชนั้นทั้งปลอบโยนอ่อนหวาน จนอินทุอรยิ้มออก แต่ยิ้มได้เพียงนิดเพราะรู้สึกตึงๆ กับแผลบนใบหน้าที่ถูกพันผ้าไว้อย่างมิดชิด หญิงสาวยอมนอนราบไปกับที่นอนกำมือคู่หมั้นหนุ่มเอาไว้แน่น กลัวเขาจะหนีห่างไปถ้าเธอหลับตาลง พีรัชนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ส่งยิ้มให้คู่หมั้นสาวมืออีกข้างปัดเส้นผมที่ระใบหน้าและลูบศีรษะเธอเบาๆ
“หลับนะคะ คนดี” เสียงเขาอ่อนหวานเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่แสดงออกมา อินทุอรมองเขานิ่งอย่างหลงใหล ในเวลานี้เหมือนห้องนี้มีแค่เธอและพีรัชเท่านั้น โดยไม่สนใจหันไปมองพี่ชายตนเองแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องตาพีรัชอยู่อย่างนั้น
อาติณณ์ค่อยๆ ถอยห่างเตียง มาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวยาว ที่เมื่อครู่พีรัชนั่งอยู่ ส่วนตัวเขาเดินวนข้างเตียงบ้าง นั่งใกล้เตียงคนป่วยบ้าง เวลานี้จึงเหมือนเขาและพีรัชสลับที่นั่งกัน สลับกันปลอบโยนอินทุอรซึ่งเป็นคนป่วย และดูเหมือนคนป่วยจะชื่นชอบให้เป็นแบบนี้มากกว่า
ผู้เป็นพี่ลอบถอนหายใจเบาๆ อินทุอรไม่เคยเชื่อฟังสิ่งที่เขาพร่ำสอนอย่างจริงใจ น้องสาวหลอกเขามาตลอด ซ้ำร้ายยังมีคมกริชที่ฝากให้ดูแลช่วยกันปกปิดอย่างเต็มใจ แล้วยังช่วยกันทำเรื่องเหลวไหลซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ดูเขาช่างเป็นพี่ชายที่ล้มเหลวในการปกครองน้องเสียจริงๆ แล้วอย่างนี้จะกล้าจุดธูปบอกบิดาและมารดาที่ล่วงลับไปแล้วได้อย่างไรว่าเขาเป็นพี่ที่ดูแลน้องตามคำสั่งเสียของทั้งสองท่านเป็นอย่างดี
ขอโทษครับพ่อ ขอโทษครับแม่
“คุณติณณ์กลับไปพักผ่อนเถอะครับ ผมอยู่เฝ้าน้องอ่อนเอง”
เสียงพูดอย่างเกรงๆ ของพีรัชเรียกให้อาติณณ์หลุดจากภวังค์แห่งความสำนึกผิดต่อบิดามารดา ชายหนุ่มค่อยๆ เบือนหน้าไปตามเสียง มองผ่านหน้าคนพูดไปที่น้องสาวคนเดียวของตนเอง อินทุอรพยักหน้าอยู่บนเตียงเห็นพ้องกับแฟนหนุ่มของตนเอง
“พี่ติณณ์กลับไปพักเถอะค่ะ พี่พีอยู่กับน้องอ่อนคนเดียวก็พอแล้ว”
ทีแรกอาติณณ์ตั้งใจจะอยู่เฝ้าอินทุอร แต่ได้ยินคำพูดของเธอแบบนั้นทำเอาแทบสะอึก เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินที่น้องไม่ต้องการอย่างไรอย่างนั้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว พยายามไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมาให้ทั้งสองเห็น แม้จะรู้สึกน้อยใจก็ตามที
“อย่างนั้นพี่กลับก่อน พรุ่งนี้จะมาใหม่”
อาติณณ์เดินออกไปจากห้องที่รู้สึกเหมือนถูกไล่และเป็นส่วนเกิน โดยยังไม่มีจุดหมายที่แน่นอน การเข้ากรุงเทพฯ ครั้งนี้ของเขา มาแบบกะทันหันเมื่อเห็นข่าวซุบซิบให้หน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ได้เอาเสื้อผ้าติดตัวมา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ผู้ชายสบายๆ อย่างเขาใส่เสื้อผ้าซ้ำวันนั้นไม่มีปัญหา และเสื้อผ้าของเขาที่คอนโดฯ ของอินทุอรก็พอมี แต่เขาไม่อยากย่างกรายเข้าไปในห้องนั้น เรื่องของอินทุอรและพีรัชยังทิ่มแทงความล้มเหลวในการปกครองน้องของเขาอยู่
อาติณณ์ตัดสินใจเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาล เพราะรถปิคอัพของเขาจอดทิ้งไว้ที่คอนโดฯ ของอินทุอร ตอนพาเธอมาส่งโรงพยาบาลด้วยรถของพีรัช ชายหนุ่มบอกจุดหมายกับแท็กซี่ส่วนบุคคลที่วิ่งรถรับจ้างจนดึกดื่น ไม่ต้องส่งรถเป็นกะเหมือนแท็กซี่ที่เช่าช่วงเวลาทั่วไป
ไม่นานรถคันดังกล่าวก็พาเขามาส่งหน้าประตูรั้วเหล็กดัดสีขาวของบ้านชั้นเดียว ที่ปลูกสร้างท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นและมืดครึ้มในเวลากลางคืน ดึกดื่นขนาดนี้เจ้าของบ้านคงนอนหลับสนิทแล้ว แต่เขาหวังจะได้พบกับพี่ชายของเธอในวันพรุ่งนี้