ตอนที่6 จอมวายร้ายนายแจสเปอร์
ผู้ชายอันธพาลคนนั้นกัดฟันกรอดจนกรามนูนขึ้นมาเป็นสัน เขายกมือลูบหน้าตัวเองแล้วชี้หน้าฉันด้วยท่าทางที่โมโหสุดขีด
“ยัยโง่เอ้ย! ทำคุณบูชาโทษชัดๆ”
ผู้ชายเกเรปรี่เข้ามาหาฉันทำเหมือนอยากจะบีบคอฉันให้ตายคามือ การที่เขาพรวดเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงทำเอาฉันใจหายวาบ
“จะ… ทำอะไร” ฉันจ้องหน้าเขา เขาก็จ้องหน้าฉัน
“โง่”
จู่ๆ เขาก็ใช้นิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากของฉันอย่างแรงจนฉันเกือบหน้าหงาย
“พี่แจสเปอร์ หนูขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะพี่แจสเปอร์ ขอโทษนะคะ ขอโทษนะคะ”
วาวาโผเข้ามาดึงมือฉันออกห่างจากนายแจสเปอร์
“รีบพาเพื่อนโง่ๆ ของน้องกลับบ้านไปให้ไวเลยนะก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
นายแจสเปอร์อะไรนั่นอาฆาตฉันด้วยสายตาของเขา
“เรารีบไปกันเหอะมินนี่ พวกหนูขอตัวก่อนนะคะพี่ ขอบคุณค่ะ” วาวาดึงฉันอย่างแรงให้เดินตามนางออกห่างจากกลุ่มพวกผู้ชาย
“อะไรวาวา ทำไมต้องทำเหมือนกลัวผู้ชายคนนั้นด้วย”
ฉันพยายามขืนตัวจากการดึงของเพื่อนระหว่างที่นางลากฉันพาแทรก เบียดเสียดนักเที่ยวคนอื่นออกมา วาวาเหมือนจะหายเมาเป็นปลิดทิ้ง
“ยัยมินนี่เอ้ย เธอไปอยู่ที่ซอกไหนของมหาลัยมาเหรอยะถึงไม่รู้จักแถมไม่เคยได้ยินชื่อพี่แจสเปอร์ คนในมหาลัยแค่ได้ยินชื่อนี้พวกเขาก็ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยแล้ว”
พอออกมาจากผับได้วาวาก็บอกเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายอันธพาลคนนั้นให้ฉันฟัง
“หมอนั้นเป็นพวกมาเฟียงั้นเหรอ”
ฉันชักจะเริ่มสนใจหมอนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นจากเมื่อกี้ทั้งพี่เฟียสและพี่เทพหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าของผู้ชายคนนั้น มีแต่พี่เจไดเท่านั้นที่กล้าตอแยด้วย แต่ก็ถูกเล่นงานซะล้มหงายไป
“…” วาวาทำหน้าแหยๆ
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้เธอฟังดี เอาง่ายๆ เลยนะเขาเล่ากันว่าใครก็ตามที่กล้ามีเรื่องกับพี่แจสเปอร์มักจะมีจุดจบไม่สวยสักคนเดียว บางคนก็หายออกไปจากมหาลัยเฉยๆ โดยไร้ร่องรอย บางคนก็ถูกซ้อมปางตาย ที่เธอทำเมื่อกี้เท่ากับรนหาที่ชัดๆ เลยยัยมินนี่”
“โห เลวซะมัด ฉันไม่กลัวหรอกนะ คนอะไรหน้าตาก็ดีแต่นิสัยแย่สุดๆ” ฉันส่ายหน้าไปมา
“ยังทำมาพูดดีอีก รีบไปกันเหอะแท็กซี่มาแล้ว”
“วาวาแล้วพวกพี่เจไดละ เราจะปล่อยไว้แบบนั้นเหรอ” ฉันรู้สึกเป็นห่วงพี่เจไดกับเพื่อนของเขา
“โอ้ยแม่คุณ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหมมินนี่ เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าขนาดผู้ชายตัวโตสามคนยังทำอะไรพี่แจสเปอร์ไม่ได้เลยแล้วพวกเราจะทำอะไรได้ มาเร็ว”
วาวาเปิดประตูรถแล้วดึงฉันให้ขึ้นรถตามไปด้วย
ฉันมองไปบริเวณหน้าผับจนกระทั่งรถแท็กซี่พาฉันกับวาวาห่างออกมาจนมองไม่เห็น
“นาย แจส เปอร์”
ฉันทวนชื่อของผู้ชายร้ายกาจคนนั้น
‘ยัยโง่เอ้ย! ทำคุณบูชาโทษชัดๆ’
เสียงของนายแจสเปอร์ตามมาหลอกหลอนในหัวของฉัน ดังซ้ำไปซ้ำมา
“เอ๊ะ! อะไรคือทำคุณบูชาโทษงั้นเหรอวาวา มันแปลว่าอะไรบอกฉันหน่อยสิ”
ฉันหันไปถามวาวา
“มันเป็นสุภาษิตไทย ก็หมายความประมาณว่า… ทำความดีแต่ได้รับผลรับที่ไม่ดีอะไรประมาณนั้นแหละ”
วาวาอธิบาย
“เมื่อตอนอยู่ในผับนายแจสเปอร์ชี้หน้าฉันแล้วก็บอกว่า ยัยโง่เอ้ย ทำคุณบูชาโทษชัดๆ แล้วสิ่งที่เขาทำมันเป็นเรื่องดีตรงไหนกันฉันงงไปหมดแล้ว”
วาวาพิงหลังกับเบาะทำท่าเหมือนคนจะหมดแรง
“คืนนี้ซวยจริงๆ เลยพี่เจไดอุตส่าห์ชวนมาเที่ยวแท้ๆ พังหมด เห้อ”
“วาวาเล่าเรื่องของผู้ชายที่ชื่อแจสเปอร์ให้ฉันฟังอีกได้ไหม คืนนี้เธอไปค้างที่ห้องฉันก็ได้ นะ นะ”
[แจสเปอร์ TALKS]
“มึงกล้าหักหน้ากูต่อหน้าคนอื่นเหรอไอ้แจสเปอร์”
“ไอ้เจได กูว่าพวกเรากลับกันเหอะวะ อย่ามีเรื่องเลยมึง”
ไอ้เฟียสทำเสียงอ่อยๆ หลังจากที่มันช่วยพยุงเพื่อนลุกขึ้นมาได้ ตอนนี้นักเที่ยวคนอื่นพากันมายืนมุงดูเหตุการณ์อย่างสนอกสนใจ หลายคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพเอาไว้
“กูก็คิดเหมือนกับเฟียส กลับเหอะเจได”
ไอ้เทพมองผมอย่างขยาดๆ
“พวกมึงกลัวมันเหรอวะ ไอ้เพื่อนเชี้ย แทนที่จะช่วยกูเล่นงานมัน”
ไอ้เจไดหันไปตวาดใส่เพื่อนของมันด้วยท่าทางหงุดหงิด
“เกรี้ยวกราดเหลือเกิน ต่อหน้าหญิงกูเห็นทำเป็นสุภาพบุรุษ แล้วนี่แม่มึงรู้ไหมว่าพวกมึงชอบวางยาแล้วทำระยำกับผู้หญิงน่ะ” ผมหัวเราะเยาะ
“มึงไม่ต้องมาเสือกเรื่องของพวกกู เอาตัวมึงให้รอดก่อนเหอะ”
“กูเอาตัวรอดได้มานานแล้วไอ้เจได ตั้งแต่ที่กูออกจากบ้านหลังนั้น และถ้ามึงยังแบมือขอเงินแม่ใช้อยู่ก็อย่ามาปากดี กลับบ้านไปกินนมนอนไป สัส!”
ไอ้เจไดโกรธจนตัวสั่น มันกำหมัดแน่น เหมือนตอนพวกเราสองคนยังเด็กที่ผมกับมันมีเรื่องชกต่อยกัน ซึ่งตอนจบก็วนลูปเหมือนเดิมทุกครั้ง คือมันโดนผมอัดจนหน้าแหกเลือดกลบปาก ร้องไห้โฮไปฟ้องพ่อกับแม่ของมัน แล้วผมก็ถูกพ่อเฆี่ยนจนหลังลายแถมให้อดข้าวเย็นและตัดเงินค่าขนมไปหลายวัน
ผมเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าโลกใบนี้มันไม่มีความยุติธรรม พ่อไม่เคยถามว่าเราสองคนมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน ทุกครั้งที่ผมทะเลาะกับมันพ่อจะตัดสินว่าผมคือคนผิดเสมอ
“เอาสิวะไอ้เทพ ไอ้เฟียส มึงสองคนช่วยกูเข้าไปอัดมันพร้อมกัน”
ไอ้เจไดหันไปหาเพื่อนทั้งสองคน แต่ดูเหมือนจะไม่ใครเล่นด้วยสักคน ไอ้พวกนี้ก็ดีแต่หน้าม่อสีหญิงไปวันๆ พอมีเรื่องมีราวชกต่อยเข้าจริงก็ปอดแหกหัวหดอยู่ในกระดองเป็นเต่า
“พวกมึงเข้ามาพร้อมกันเลยก็ได้นะโว้ย กูจะได้ไม่เสียเวลา”
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
จังหวะนั้นเองก็มีการ์ดร่างกำยำกล้ามโตสองคนวิ่งแทรกบรรดาไทยมุงเข้ามา
“พี่ครับ ไอ้นี่มันเข้ามาหาเรื่องพวกเรา พี่ช่วยลากมันออกไปจัดการให้หน่อยดูสิมันอัดเพื่อนผมด้วย”
“จริงครับพี่จัดการมันเลย” ทั้งไอ้เทพและไอ้เฟียสรีบฟ้องการ์ดในผับ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าไอ้สองนี้เป็นคนของผม
“คุณแจสเปอร์จะให้พวกผมจัดการยังไงครับ”
การ์ดทั้งสองคนหันมาถามผม
“ไม่เป็นไร แค่ไอ้เด็กกากสองสามตัวแค่นี้ฉันจัดการเองได้ มีอะไรก็ไปทำซะ”
“งั้นก็ตามสบายเลยครับ”
การ์ดทั้งสองเดินออกไปดูเชิงอยู่ข้างๆ ผม
“เชี้ยมันพวกเดียวกัน” เสียงไอ้เทพร้องบอกเพื่อน
“ไอ้เจไดกลับเหอะ ถ้ามึงไม่กลับกูไปก่อนนะ”
คนที่ชื่อเฟียสสะกิดแขนไอ้เจได
“เออ ฝากไว้ก่อนเถอะมึงไอ้แจสเปอร์ งานนี้กูเอาคืนแน่ ระวังตัวไว้ด้วยนะมึง”
ไอ้เจไดชี้หน้าผม ผมเพิ่งจะเห็นว่ามือของมันมีเลือดไหลออกมาด้วย ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นตอนมันล้มแล้วไปโดนแก้วแตกบาดจนเลือดไหล
“นี่กูต้องกลัวใช่ไหม ห๊ะ”
ผมเดินย่างสามขุมเข้าไปใกล้ พวกมันทั้งสามก็สามัคคีกันถอยหลังกรูด ก่อนหนึ่งในสามคนจะใส่ตีนหมาวิ่งหนีไปก่อนเพื่อน แล้วคนที่เหลือก็วิ่งตามกันออกไป
“สนุกกันต่อครับไม่มีอะไรแล้ว”
ผมหันมายิ้มให้นักเที่ยวในผับคนอื่น