บทที่ 14 ตกอยู่ในอันตราย

1858 คำ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” หลังจากที่เสร็จภารกิจอันแสนจะวุ่นวาย เตชินเดินเข้ามาในห้องทำงานโดยที่มีเด็กฝึกทั้งสามคนยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่เขาได้มอบหมายเมื่อตอนบ่ายของวันนี้อย่างขะมักเขม้น เซน มีหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่น่าสงสัย และเรียบเรียงลำดับข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาตลอดหลายสัปดาห์ ซาน ตรวจเช็คสัญญาณพิกัดที่ติดตามตัวนายเจษฎาที่คาริสาเคยติดตั้งไว้ อีกทั้งยังเช็คดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่มีในชุมชนซ้ำ ๆ เพื่อหาบุคคลต้องสงสัยเพิ่มเติม นาวิน ประดิษฐ์อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน มีทั้งหน้ากากสำหรับปลอมตัว อุปกรณ์แปลงเสียง และอาวุธจิ๋วสำหรับป้องกันตัว “ผมเปิดกล้องวงจรปิดดูซ้ำ ๆ ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติเลยครับ ส่วนตำแหน่งของนายเจษฎาก็ยังอยู่ในพื้นที่สีเขียว” ซานพูดรายงาน “เมื่อตอนเย็นหลังจากที่ไปส่งพี่ปราง ผมเห็นคนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แถวหน้าบ้านของพี่ปรางด้วย พวกมันมากันสองคน” “ใคร? ได้ถ่ายรูปเอาไว้ไหม” “นี่ครับหัวหน้า” เซนยื่นมือถือที่บันทึกภาพของชายแปลกหน้าสองคนให้เตชินดู เขาได้หาข้อมูลของทั้งสองคนสำรองเอาไว้แล้ว “พวกมันเคยต้องโทษจำคุกเมื่อห้าปีก่อนด้วย” “พวกของไอ้ไมเคิล” เตชินเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มะปรางคงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ไมเคิลต้องการจัดการ เพราะเมื่อห้าปีก่อนมะปรางคือคนเดียวที่เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะส่งไมเคิลเข้าคุกให้ได้ ทั้งที่เขามีโอกาสที่จะรอดคดีเพราะมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง แต่หลักฐานที่มะปรางมีอยู่ในมือตอนนั้นทำให้เขาไปไหนไม่รอด คนมีอิทธิพลที่หนุนหลังเขาอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอาจจะถูกเอี่ยวคดีไปด้วย ไมเคิลคงแค้นมะปรางมาก เพราะมะปรางคือคนเดียวที่เปิดเผยตัวตนชัดเจน ในขณะที่เตชินเป็นแค่คนที่ทำงานหนุนหลังมะปรางอีกที ตอนนี้ชีวิตของเธอไม่ปลอดภัย “มะปรางกำลังตกอยู่ในอันตราย” “จริงเหรอเฮีย” เสียงของมะปรางดังขึ้น เธอนั่งอยู่ภายในห้องทำงานตำแหน่งเดียวกันกับที่นาวินเคยนั่งอยู่ก่อนหน้า เตชินหันไปมองเด็กสาวด้วยความตกใจ “มะปราง!” “หนูกลัวจังเลย เฮียต้องปกป้องหนูนะ” จังหวะการพูดที่ผิดเพี้ยนทำให้เตชินถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา แล้วเดินไปตบศีรษะเจ้าของคำพูดจนหน้าเกือบทิ่มกับพื้น กล้าดียังไงเอาเด็กของเขามาล้อเลียน “ใครอนุญาตให้มึงทำหน้ากากนี้ขึ้นมา แถมยังทำวิกกับกล่องเลียนเสียงอีก” “ใจเย็นครับหัวหน้า” นาวินที่อยู่ภายใต้หน้ากากของมะปรางยกมือขึ้นห้ามปราม ขณะที่เซนและซานก็หัวเราะถูกใจในการกระทำของนาวิน “ถอดออกมา!” “ครับ ๆ แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะว่ามันใช้ได้ผล” นาวินยอมถอดวิกผมและหน้ากากออกมาแต่โดยดี ก่อนจะยื่นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นให้กับหัวหน้าของเขาที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก “นับวันยิ่งเหมือนยัยเคสนะมึง” เตชินพูดเสียงแข็งกร้าว นับวันนาวินยิ่งเหมือนเพื่อนสาวที่แสนยียวนกวนประสาทของเขาไปทุกที นาวินหันไปยิ้มแหยให้กับเซนและซาน เขาไม่ได้สะทกสะท้านกับคำด่าทอของเตชินเลยแม้แต่น้อย “หัวหน้าครับ ตอนนี้พวกเราเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน งานหลักที่เราได้รับมอบหมายคือสืบหาตำรวจหลายนายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ที่หัวหน้าให้พวกผมทำ...” เซนออกความเห็น หลังจากที่คิดทบทวนมาหลายคืน เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเหมือนจะหลุดออกจากเป้าหมายหลักที่แท้จริงไป ซานและนาวินเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับเซน เตชินมองหน้าเด็กฝึกทั้งสามคนอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจอธิบายความจริงออกไป “รู้อะไรไหมว่าทำไมฉันถึงต้องแฝงตัวมาเป็นตำรวจที่นี่ พวกแกอาจเข้าใจว่าเพราะที่ชุมชนแห่งนี้มีการเปลี่ยนตำรวจมาประจำการหลายนาย บางคนก็ลาออกไปทั้งที่ยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ถึงเดือน บางคนก็หายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุ ทางการต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตำรวจพวกนั้น จึงติดต่อมาที่องค์กรของเรา แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าไอ้พวกที่ฉันเคยจับมันยัดเข้าคุกเมื่อห้าปีก่อนมันได้ออกมาจากคุกแล้ว ฉันจึงไม่ลังเลเลยที่จะรับงานนี้มาทำด้วยตัวเอง สิ่งที่ฉันให้พวกแกทำมันอาจจะดูหลุดประเด็นไปบ้างนะ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันหมด เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนเดียวกัน” “เข้าใจแล้วครับ” เซนพยักหน้าก่อนจะเอ่ยพูดออกไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หลังจากที่เตชินอธิบายทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งมันก็ช่วยปลดล็อกข้อสงสัยของเขาไปหลายอย่าง “อ้อ มีอีกเรื่องที่ถูกปิดข่าวไปแต่ว่าตอนนี้ถูกเปิดเผยแล้ว มีเหยื่อถูกข่มขืนจากเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนด้วย ฉันฝากแกติดตามเรื่องนี้ต่อด้วยนะเซน” “ครับ” เซนก้มหน้ารับคำ ก่อนที่เตชินจะเดินออกไปจากห้องทำงานพร้อมกับวิกผมและหน้ากากใบหน้าของมะปรางในมือ “หัวหน้าแม่งโคตรเท่” ซานพูด “เมื่อก่อนกูเคยคิดว่าพี่เคสเป็นคนที่เก่งและฉลาดมาก ใคร ๆ ก็อยากร่วมทำงานด้วยเพราะว่าพี่เคสเป็นคนทำงานเร็วและปิดจ๊อบไว แต่ตอนนี้กูคิดว่าหัวหน้าคือคนที่กูอยากทำงานด้วยมากที่สุด เพราะหัวหน้าทำงานรอบคอบและครอบคลุม และยังเชื่อมั่นในการทำงานของคนร่วมทีม หัวหน้าเหมาะที่จะเป็นผู้นำที่สุดแล้ว” “อีกสองปี พี่ก็จะได้รับรหัสเป็นหัวหน้าศูนย์หนึ่งศูนย์แล้วนี่ พี่เซนเองก็เก่งไม่แพ้หัวหน้าหรอก” นาวินพูดพร้อมตบบ่าพี่ชายเป็นการให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงาน “ถึงยังไงกูก็ภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่มีมึงเป็นพี่ชายนะเว้ยเซน” ซานผู้เป็นน้องชายแท้ ๆ พูด สีหน้าของเซนดูเหมือนมีอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา วันต่อมา... “มีอะไรหรือเปล่าพี่ปรางเรียกมาหาแต่เช้าเลย” “เช้าบ้านป้าแกสิ นี่จะสิบโมงแล้วอีกนิดเดียวก็จะเที่ยงแล้ว” มะปรางเอ่ยตำหนิ เนื่องจากเติร์ดมาเลยเวลาเกือบค่อนชั่วโมง “อ้าวเล่นถึงป้าผมเลยเหรอ ไม่น่ารักเลยนะพี่ปราง” “พูดมากว่ะไอ้เติร์ด ตามฉันมาเร็ว ๆ” พูดจบมะปรางก็เดินนำหน้าเติร์ดไปในทันที ทั้งคู่เดินเข้าไปในซอกซอยที่แออัด หลังซอยนั้นมีกระต๊อบหลังเล็กที่มะปรางทำไว้สำหรับหมักเหล้าเถื่อนขาย เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบสงัดจนเกินไป เติร์ดจึงชวนมะปรางคุยไปตลอดทางเดิน “ว่าแต่พี่ปรางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า หายหน้าหายตาไปนานเลย ที่โรงเรียนพี่ก็ไม่ได้ไปช่วยป้ามะลิขายของ ผมจึงต้องไปช่วยป้ามะลิขายของแทน เพราะไอ้พวกกวนส้นตีนมันเยอะ” “พวกกวนส้นตีน?” “ก็พอป้ามะลิวุ่นวายขายของไม่ทัน พวกฉวยโอกาสมันก็หยิบของไปแบบไม่จ่ายตังค์อ่ะดิ” “ใครมันกล้าทำเรื่องอุบาทว์แบบนี้ว่ะ จับได้นะแม่งจะตบกบาลเรียงตัวเลย” “ฮึ ไม่ต้องให้ถึงมือพี่ปรางหรอก ผมจัดการไปแล้วเรียบร้อย” “อ่าวเติร์ดเดินตามผู้หญิงต้อย ๆ เลยนะ ฮาฮ่าฮ่า” เด็กวัยมัธยมกลุ่มหนึ่งเอ่ยแซวเติร์ดที่เดินตามมะปรางอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะพากันหัวเราะล้อเลียน เด็กกลุ่มนั้นอายุน้อยกว่าเติร์ดหนึ่งถึงสองปี แต่ที่เด็กเหล่านั้นกล้าแซวเติร์ดแรง ๆ โดยไม่เคารพอายุกัน เพราะเติร์ดเป็นคนไม่มีสังคมในโรงเรียน จึงคิดว่าจะพูดจาอย่างไรด้วยก็ได้ “สงสัยช่วงนี้จะเป็นช่วงเดือนเก้าว่ะ” “เอ้า! ไอ้เด็กเวรนี่พูดแบบนี้มาตัวต่อตัวกันเลยไหมฮะ” “เป็นแค่ผู้หญิงอย่ามาปากดี เห็นไหมว่าพวกเรามีกันกี่ตีน” เด็กในกลุ่มนั้นพูดพร้อมสั่นเท้าดิ๊ก ๆ เพื่อท้าทาย การกระทำของเด็กกลุ่มนั้นทำให้เติร์ดตวัดสายตามองขวางด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากมะปรางที่ยังสู้สุดติ่ง “เป็นผู้หญิงแล้วไง เป็นผู้หญิงก็เตะปากผู้ชายแตกได้นะเว้ย โดยเฉพาะเด็กกระโปกกะโหลกกะลาอย่างพวกแก” “สงสัยจะอยากได้ตีนว่ะ เอาตีนไปกินหน่อยไหม” “อย่ามาทำปากดีกับฉันนะไอ้พวกลูกหมา ถ้าปากว่างนักก็กินขี้ไป” “พูดอย่างนี้ก็สวยดิเห้ย” “เอาเลยไหม สั่งสอนให้รู้ว่าที่นี่ถิ่นใคร” “อย่าไปต่อกรกับพวกมันเลยพี่ปราง เสียเวลา!” เติร์ดกัดฟันพูดพร้อมเดินไปห้ามมะปรางและจับแยกเธอออกมา ในขณะที่เด็กกลุ่มนั้นก็ทำท่าทางล้อเลียนตามหลังอย่างผู้ชนะ “พวกเด็กกระโปกกะโหลกกะลา อย่าให้เจออีกรอบนะแม่งจะเอาตีนยัดปาก” มะปรางพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด เติร์ดรู้ดีว่าที่มะปรางมีนิสัยแบบนี้เพราะคำพูดของคนที่ไม่เคยให้เกียรติเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ใครหน้าไหนก็หาเรื่องไม่ได้ เพราะเธอจะสวนกลับไปให้สาแก่ใจและสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง “เอ้า! ยืนบื้ออยู่ทำไมมาช่วยกันยกของสิ” มะปรางเรียกให้เติร์ดมาช่วยเธอยกถังหมักเหล้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งเติร์ดก็รีบปฏิบัติตามโดยเร็ว “ช่วงนี้ตำรวจมัวแต่ยุ่งอยู่กับชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อ คงไม่มีเวลามาจับผิดพวกเรา เดี๋ยวแกกรองเอาแต่น้ำแล้วเอาไปต้มฆ่าเชื้อ ต้มเสร็จแล้วรอให้เย็น จากนั้นก็กรอกใส่ขวดขายได้เลย” “โอเคป่ะเนี่ยพี่ปราง ทำไมหน้าพี่ดูซีด ๆ โทรม ๆ ผิดปกติ” เมื่อเห็นว่ามะปรางมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เติร์ดจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้เจอกันสองสัปดาห์มะปรางดูเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน “ฉันโอเคมาก เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีเรื่องมันวุ่น ๆ ฉันเลยกินข้าวไม่ค่อยลง ยังไงฝากแกเอาของพวกนี้ไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย ส่วนเงินที่ได้ก็เป็นเงินค่าเทอมกับค่าเลี้ยงชีพของแกทั้งนั้นแหละไอ้เติร์ด เข้าใจไหม” “คร้าบบบ” เติร์ดรับคำเสียงดังก่อนจะลงมือทำงานถนัดอย่างขะมักเขม้น โดยที่มะปรางนั่งมองดูอยู่ห่าง ๆ อาการอยากยาของเธอเริ่มทุเลาลงแล้ว เพียงแค่ยังมีอาการเหนื่อยบ้างเล็กน้อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม