“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” หลังจากที่เสร็จภารกิจอันแสนจะวุ่นวาย เตชินเดินเข้ามาในห้องทำงานโดยที่มีเด็กฝึกทั้งสามคนยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่เขาได้มอบหมายเมื่อตอนบ่ายของวันนี้อย่างขะมักเขม้น
เซน มีหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่น่าสงสัย และเรียบเรียงลำดับข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาตลอดหลายสัปดาห์
ซาน ตรวจเช็คสัญญาณพิกัดที่ติดตามตัวนายเจษฎาที่คาริสาเคยติดตั้งไว้ อีกทั้งยังเช็คดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่มีในชุมชนซ้ำ ๆ เพื่อหาบุคคลต้องสงสัยเพิ่มเติม
นาวิน ประดิษฐ์อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน มีทั้งหน้ากากสำหรับปลอมตัว อุปกรณ์แปลงเสียง และอาวุธจิ๋วสำหรับป้องกันตัว
“ผมเปิดกล้องวงจรปิดดูซ้ำ ๆ ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติเลยครับ ส่วนตำแหน่งของนายเจษฎาก็ยังอยู่ในพื้นที่สีเขียว” ซานพูดรายงาน
“เมื่อตอนเย็นหลังจากที่ไปส่งพี่ปราง ผมเห็นคนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แถวหน้าบ้านของพี่ปรางด้วย พวกมันมากันสองคน”
“ใคร? ได้ถ่ายรูปเอาไว้ไหม”
“นี่ครับหัวหน้า” เซนยื่นมือถือที่บันทึกภาพของชายแปลกหน้าสองคนให้เตชินดู เขาได้หาข้อมูลของทั้งสองคนสำรองเอาไว้แล้ว “พวกมันเคยต้องโทษจำคุกเมื่อห้าปีก่อนด้วย”
“พวกของไอ้ไมเคิล” เตชินเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
มะปรางคงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ไมเคิลต้องการจัดการ เพราะเมื่อห้าปีก่อนมะปรางคือคนเดียวที่เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะส่งไมเคิลเข้าคุกให้ได้ ทั้งที่เขามีโอกาสที่จะรอดคดีเพราะมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง แต่หลักฐานที่มะปรางมีอยู่ในมือตอนนั้นทำให้เขาไปไหนไม่รอด
คนมีอิทธิพลที่หนุนหลังเขาอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอาจจะถูกเอี่ยวคดีไปด้วย ไมเคิลคงแค้นมะปรางมาก เพราะมะปรางคือคนเดียวที่เปิดเผยตัวตนชัดเจน ในขณะที่เตชินเป็นแค่คนที่ทำงานหนุนหลังมะปรางอีกที ตอนนี้ชีวิตของเธอไม่ปลอดภัย
“มะปรางกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“จริงเหรอเฮีย” เสียงของมะปรางดังขึ้น เธอนั่งอยู่ภายในห้องทำงานตำแหน่งเดียวกันกับที่นาวินเคยนั่งอยู่ก่อนหน้า เตชินหันไปมองเด็กสาวด้วยความตกใจ
“มะปราง!”
“หนูกลัวจังเลย เฮียต้องปกป้องหนูนะ”
จังหวะการพูดที่ผิดเพี้ยนทำให้เตชินถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา แล้วเดินไปตบศีรษะเจ้าของคำพูดจนหน้าเกือบทิ่มกับพื้น กล้าดียังไงเอาเด็กของเขามาล้อเลียน
“ใครอนุญาตให้มึงทำหน้ากากนี้ขึ้นมา แถมยังทำวิกกับกล่องเลียนเสียงอีก”
“ใจเย็นครับหัวหน้า” นาวินที่อยู่ภายใต้หน้ากากของมะปรางยกมือขึ้นห้ามปราม ขณะที่เซนและซานก็หัวเราะถูกใจในการกระทำของนาวิน
“ถอดออกมา!”
“ครับ ๆ แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะว่ามันใช้ได้ผล” นาวินยอมถอดวิกผมและหน้ากากออกมาแต่โดยดี ก่อนจะยื่นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นให้กับหัวหน้าของเขาที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“นับวันยิ่งเหมือนยัยเคสนะมึง” เตชินพูดเสียงแข็งกร้าว นับวันนาวินยิ่งเหมือนเพื่อนสาวที่แสนยียวนกวนประสาทของเขาไปทุกที นาวินหันไปยิ้มแหยให้กับเซนและซาน เขาไม่ได้สะทกสะท้านกับคำด่าทอของเตชินเลยแม้แต่น้อย
“หัวหน้าครับ ตอนนี้พวกเราเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน งานหลักที่เราได้รับมอบหมายคือสืบหาตำรวจหลายนายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ที่หัวหน้าให้พวกผมทำ...” เซนออกความเห็น หลังจากที่คิดทบทวนมาหลายคืน เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเหมือนจะหลุดออกจากเป้าหมายหลักที่แท้จริงไป ซานและนาวินเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับเซน เตชินมองหน้าเด็กฝึกทั้งสามคนอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจอธิบายความจริงออกไป
“รู้อะไรไหมว่าทำไมฉันถึงต้องแฝงตัวมาเป็นตำรวจที่นี่ พวกแกอาจเข้าใจว่าเพราะที่ชุมชนแห่งนี้มีการเปลี่ยนตำรวจมาประจำการหลายนาย บางคนก็ลาออกไปทั้งที่ยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ถึงเดือน บางคนก็หายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุ ทางการต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตำรวจพวกนั้น จึงติดต่อมาที่องค์กรของเรา แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าไอ้พวกที่ฉันเคยจับมันยัดเข้าคุกเมื่อห้าปีก่อนมันได้ออกมาจากคุกแล้ว ฉันจึงไม่ลังเลเลยที่จะรับงานนี้มาทำด้วยตัวเอง สิ่งที่ฉันให้พวกแกทำมันอาจจะดูหลุดประเด็นไปบ้างนะ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันหมด เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนเดียวกัน”
“เข้าใจแล้วครับ” เซนพยักหน้าก่อนจะเอ่ยพูดออกไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หลังจากที่เตชินอธิบายทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งมันก็ช่วยปลดล็อกข้อสงสัยของเขาไปหลายอย่าง
“อ้อ มีอีกเรื่องที่ถูกปิดข่าวไปแต่ว่าตอนนี้ถูกเปิดเผยแล้ว มีเหยื่อถูกข่มขืนจากเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนด้วย ฉันฝากแกติดตามเรื่องนี้ต่อด้วยนะเซน”
“ครับ” เซนก้มหน้ารับคำ ก่อนที่เตชินจะเดินออกไปจากห้องทำงานพร้อมกับวิกผมและหน้ากากใบหน้าของมะปรางในมือ
“หัวหน้าแม่งโคตรเท่” ซานพูด
“เมื่อก่อนกูเคยคิดว่าพี่เคสเป็นคนที่เก่งและฉลาดมาก ใคร ๆ ก็อยากร่วมทำงานด้วยเพราะว่าพี่เคสเป็นคนทำงานเร็วและปิดจ๊อบไว แต่ตอนนี้กูคิดว่าหัวหน้าคือคนที่กูอยากทำงานด้วยมากที่สุด เพราะหัวหน้าทำงานรอบคอบและครอบคลุม และยังเชื่อมั่นในการทำงานของคนร่วมทีม หัวหน้าเหมาะที่จะเป็นผู้นำที่สุดแล้ว”
“อีกสองปี พี่ก็จะได้รับรหัสเป็นหัวหน้าศูนย์หนึ่งศูนย์แล้วนี่ พี่เซนเองก็เก่งไม่แพ้หัวหน้าหรอก” นาวินพูดพร้อมตบบ่าพี่ชายเป็นการให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงาน
“ถึงยังไงกูก็ภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่มีมึงเป็นพี่ชายนะเว้ยเซน” ซานผู้เป็นน้องชายแท้ ๆ พูด สีหน้าของเซนดูเหมือนมีอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา
วันต่อมา...
“มีอะไรหรือเปล่าพี่ปรางเรียกมาหาแต่เช้าเลย”
“เช้าบ้านป้าแกสิ นี่จะสิบโมงแล้วอีกนิดเดียวก็จะเที่ยงแล้ว” มะปรางเอ่ยตำหนิ เนื่องจากเติร์ดมาเลยเวลาเกือบค่อนชั่วโมง
“อ้าวเล่นถึงป้าผมเลยเหรอ ไม่น่ารักเลยนะพี่ปราง”
“พูดมากว่ะไอ้เติร์ด ตามฉันมาเร็ว ๆ” พูดจบมะปรางก็เดินนำหน้าเติร์ดไปในทันที ทั้งคู่เดินเข้าไปในซอกซอยที่แออัด หลังซอยนั้นมีกระต๊อบหลังเล็กที่มะปรางทำไว้สำหรับหมักเหล้าเถื่อนขาย เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบสงัดจนเกินไป เติร์ดจึงชวนมะปรางคุยไปตลอดทางเดิน
“ว่าแต่พี่ปรางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า หายหน้าหายตาไปนานเลย ที่โรงเรียนพี่ก็ไม่ได้ไปช่วยป้ามะลิขายของ ผมจึงต้องไปช่วยป้ามะลิขายของแทน เพราะไอ้พวกกวนส้นตีนมันเยอะ”
“พวกกวนส้นตีน?”
“ก็พอป้ามะลิวุ่นวายขายของไม่ทัน พวกฉวยโอกาสมันก็หยิบของไปแบบไม่จ่ายตังค์อ่ะดิ”
“ใครมันกล้าทำเรื่องอุบาทว์แบบนี้ว่ะ จับได้นะแม่งจะตบกบาลเรียงตัวเลย”
“ฮึ ไม่ต้องให้ถึงมือพี่ปรางหรอก ผมจัดการไปแล้วเรียบร้อย”
“อ่าวเติร์ดเดินตามผู้หญิงต้อย ๆ เลยนะ ฮาฮ่าฮ่า”
เด็กวัยมัธยมกลุ่มหนึ่งเอ่ยแซวเติร์ดที่เดินตามมะปรางอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะพากันหัวเราะล้อเลียน เด็กกลุ่มนั้นอายุน้อยกว่าเติร์ดหนึ่งถึงสองปี แต่ที่เด็กเหล่านั้นกล้าแซวเติร์ดแรง ๆ โดยไม่เคารพอายุกัน เพราะเติร์ดเป็นคนไม่มีสังคมในโรงเรียน จึงคิดว่าจะพูดจาอย่างไรด้วยก็ได้
“สงสัยช่วงนี้จะเป็นช่วงเดือนเก้าว่ะ”
“เอ้า! ไอ้เด็กเวรนี่พูดแบบนี้มาตัวต่อตัวกันเลยไหมฮะ”
“เป็นแค่ผู้หญิงอย่ามาปากดี เห็นไหมว่าพวกเรามีกันกี่ตีน”
เด็กในกลุ่มนั้นพูดพร้อมสั่นเท้าดิ๊ก ๆ เพื่อท้าทาย การกระทำของเด็กกลุ่มนั้นทำให้เติร์ดตวัดสายตามองขวางด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากมะปรางที่ยังสู้สุดติ่ง
“เป็นผู้หญิงแล้วไง เป็นผู้หญิงก็เตะปากผู้ชายแตกได้นะเว้ย โดยเฉพาะเด็กกระโปกกะโหลกกะลาอย่างพวกแก”
“สงสัยจะอยากได้ตีนว่ะ เอาตีนไปกินหน่อยไหม”
“อย่ามาทำปากดีกับฉันนะไอ้พวกลูกหมา ถ้าปากว่างนักก็กินขี้ไป”
“พูดอย่างนี้ก็สวยดิเห้ย”
“เอาเลยไหม สั่งสอนให้รู้ว่าที่นี่ถิ่นใคร”
“อย่าไปต่อกรกับพวกมันเลยพี่ปราง เสียเวลา!” เติร์ดกัดฟันพูดพร้อมเดินไปห้ามมะปรางและจับแยกเธอออกมา ในขณะที่เด็กกลุ่มนั้นก็ทำท่าทางล้อเลียนตามหลังอย่างผู้ชนะ
“พวกเด็กกระโปกกะโหลกกะลา อย่าให้เจออีกรอบนะแม่งจะเอาตีนยัดปาก” มะปรางพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด เติร์ดรู้ดีว่าที่มะปรางมีนิสัยแบบนี้เพราะคำพูดของคนที่ไม่เคยให้เกียรติเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ใครหน้าไหนก็หาเรื่องไม่ได้ เพราะเธอจะสวนกลับไปให้สาแก่ใจและสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
“เอ้า! ยืนบื้ออยู่ทำไมมาช่วยกันยกของสิ” มะปรางเรียกให้เติร์ดมาช่วยเธอยกถังหมักเหล้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งเติร์ดก็รีบปฏิบัติตามโดยเร็ว
“ช่วงนี้ตำรวจมัวแต่ยุ่งอยู่กับชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อ คงไม่มีเวลามาจับผิดพวกเรา เดี๋ยวแกกรองเอาแต่น้ำแล้วเอาไปต้มฆ่าเชื้อ ต้มเสร็จแล้วรอให้เย็น จากนั้นก็กรอกใส่ขวดขายได้เลย”
“โอเคป่ะเนี่ยพี่ปราง ทำไมหน้าพี่ดูซีด ๆ โทรม ๆ ผิดปกติ” เมื่อเห็นว่ามะปรางมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เติร์ดจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้เจอกันสองสัปดาห์มะปรางดูเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน
“ฉันโอเคมาก เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีเรื่องมันวุ่น ๆ ฉันเลยกินข้าวไม่ค่อยลง ยังไงฝากแกเอาของพวกนี้ไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย ส่วนเงินที่ได้ก็เป็นเงินค่าเทอมกับค่าเลี้ยงชีพของแกทั้งนั้นแหละไอ้เติร์ด เข้าใจไหม”
“คร้าบบบ” เติร์ดรับคำเสียงดังก่อนจะลงมือทำงานถนัดอย่างขะมักเขม้น โดยที่มะปรางนั่งมองดูอยู่ห่าง ๆ อาการอยากยาของเธอเริ่มทุเลาลงแล้ว เพียงแค่ยังมีอาการเหนื่อยบ้างเล็กน้อย