“ลูกน้องของคุณนี่มันห่วยแตกดีนะ แค่ผู้หญิงคนเดียวก็ปล่อยให้หนีไปได้” เตชินทำทีพูดกระแนะกระแหนไมเคิล พลางตวัดสายตามองลูกน้องของไมเคิลทีละคน
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เรื่องใหญ่ตอนนี้คือคนที่ขับรถไปส่งสินค้าพวกมันหายหัวไปไหน”
“แน่ใจนะว่าคนของคุณไม่ได้หอบเงินหนีไปแล้ว”
“พวกมันไม่กล้าทำแบบนั้นแน่ เพราะถ้ามันทำเรื่องนี้คงไม่เล็ดลอดสายตาของ...”
“...ของใคร?” เตชินเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าไมเคิลเหมือนจะหลุดปากพูดอะไรออกมา
“ผมว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของคุณนะผู้กอง”
“โอเค ผมจะไม่ยุ่ง แต่ที่ผมพูดเพราะว่าถ้าลูกน้องของคุณหอบเงินหนีไป เปอร์เซ็นต์ที่ผมควรจะได้มันจะสูญเปล่า”
“ฮึ! ผู้กอง... คุณนี่มันสนใจแต่เรื่องเงินกับเรื่องผู้หญิงจริง ๆ เลยนะ”
“แล้วคุณไมเคิลคิดว่าผมควรจะสนใจอะไร นอกจากเงินกับผู้หญิงล่ะครับ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้งั้นเหรอ”
“มีสิ” ไมเคิลควงปืนในมือเล่น เขาส่งสายตามองไปยังลูกน้องของเขาก่อนจะหันหน้ากลับมามองที่เตชิน “ชีวิตของมึงไง”
หลังจากที่ไมเคิลพูดจบประโยค ลูกน้องของเขาก็หัวเราะดังลั่นราวกับกำลังเยาะเย้ยเตชินก็ไม่ปาน แต่เสียงหัวเราะที่ดังที่สุดกลับเป็นเสียงหัวเราะของเตชินเอง
“ฮาฮ่าฮ่า คุณว่ายังไงนะ ผมกำลังจะถูกพวกคุณฆ่าตายอย่างนั้นเหรอ น่าตื่นเต้นดีจังนะ”
“นอกจากมึงจะเป็นตำรวจหื่นกามแล้ว มึงยังโรคจิตอีกนะ จับตัวมันไว้!” สิ้นคำสั่งของไมเคิล ชายฉกรรจ์สองคนก็พุ่งมาจับล็อกตัวเตชินเอาไว้อย่างแน่น
“ไม่เอาน๊า เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ”
“กูไม่เคยลงเรือลำเดียวกับมึง ในเมื่อมึงหมดประโยชน์แล้วกูก็ต้องกำจัดทิ้ง ตอนแรกกูก็อุตส่าห์ใจดีจะสนองตัณหาให้มึงก่อนตายนะ แต่อีเด็กนกต่อนั่นดันหนีไปได้ก่อนนะสิ เสียใจด้วยวะ อดสนุกด้วยกันเลย”
“หว่า... อดสนุกจริง ๆ ด้วย แต่จะว่าไป ถ้าผมไม่แน่จริงผมคงไม่กล้ามายืนอยู่ในที่ของคุณตัวคนเดียวหรอกนะครับ” เตชินเอ่ยพูด
รอยยิ้มร้ายกาจที่เปี่ยมไปด้วยความคิดที่ยากจะคาดเดา ใครเห็นก็เป็นต้องขนหัวลุก
“หมายความว่าไง”
“เรียกผมมาที่นี่มีธุระอะไร” เตชินยังไม่ได้ตอบคำถามของไมเคิล นายเจษฎาก็เดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องอีกสี่คน
“ใครเรียก?”
“อย่ามาเล่นตลกกับผมนะ คุณคนเป็นเรียกผมมาที่นี่”
“น่าสนุกดีนะครับ ดูสิคนมาเยอะแยะเลย” เตชินพูด
ไม่ได้มีแค่ไหนแต่เจษฎาที่มาที่นี่ แต่ยังมีนายดำรงกำนันของหมู่บ้าน นายชูวิทย์ผู้อำนวยการโรงเรียน คุณหมอยอดศักดิ์ที่เปิดร้านขายยาบังหน้า นอกจากนี้ยังมีคุณหญิงรัศมีรองผู้ว่าการจังหวัด
“นี่มันเรื่องอะไรกัน มีเรื่องด่วนอะไรทำไมต้องเรียกรวมตัวด้วย” นางรัศมีพูดโวยวาย
“แล้วไอ้ตำรวจนี่เกี่ยวอะไรด้วย” ผู้อำนวยการชูวิทย์ถาม
“ใจเย็นนะทุกคน ผมไม่ได้เรียกพวกคุณมาที่นี่”
“หมายความว่าไง ถ้าคุณไม่ได้เรียกผมมาแล้วใครส่งข้อความมาหาผม” เภสัชหนุ่มเอ่ยถาม
“ฉิบหายแล้ว เหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล” นายเจษฎาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
“ฝีมือมึงใช่ไหม” ไมเคิลหันมาตะคอกถามพร้อมจ่อปืนเข้าที่ขมับซ้ายของเตชิน
“อ้าว ไงมาโบ้ยความผิดให้ผมล่ะ”
“ผมว่าพวกเรารีบแยกย้ายกันดีกว่า ก่อนจะเกิดเรื่องซวย” นายเจษฎาออกความคิด ทุกคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย จึงพากันรีบกระจายตัวทันที
“จะรีบไปไหนกันล่ะครับไม่อยู่รอนับเงินด้วยกันก่อนเหรอ”
“ไอ้ปากสว่าง”
ผัวะ! ปึก!
ไมเคิลยกด้ามปืนมาทุบที่ท้ายทอยของเตชินอย่างแรงเมื่อเขาพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่คนโดนกระทำกับหัวเราะออกมาอย่างสะใจ แม้ตัวเองจะลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นก็ตาม
“อะไรนะ!” นายเจษฎาหันมาเอ่ยถาม เรื่องการส่งออกสินค้าล็อตใหม่ ไมเคิลทำโดยพลการยังไม่ได้ปรึกษาผู้ที่ร่วมกระบวนการด้วย
“บอกพวกเขาไปสิว่าเมื่อวานนี้คุณได้ส่งออกยาล็อตใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว อั๊ก!” ไมเคิลทุบกำปั้นลงที่กลางหลังของเตชินอย่างแรงเพื่อบ่งบอกให้เขาหยุดพูด
“ว่าไงนะ มึงทำแบบนี้ได้ไง” นายดำรงโวยวาย
“คิดจะฮุบเงินเอาไว้คนเดียวเหรอ” นางรัศมีเสริมต่อด้วยความไม่พอใจ
“ใจเย็นนะ คือผม...”
“จะใจเย็นได้ไง มึงคิดจะหักหลังพวกกู” ชูวิทย์โวยวายโดยไม่ฟังคำอธิบายอะไรจากไมเคิล
“มึงก็ได้ไปเท่าไหร่แล้วจากเด็กติดยา อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่ามึงแอบเอาตัวยาที่กูผลิต ไปขายให้กับเด็กที่โรงเรียน”
“มันจะได้สักกี่บาทเชียวกับไอ้เด็กพวกนั้น”
“นี่คุณชั่วถึงขนาดนี้เลยเหรอ” นางรัศมีพูดขึ้น เมื่อเห็นว่านายชูวิทย์ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังโวยวายว่าตัวเองได้ค่าตอบแทนมาไม่กี่หยิบมือ
“อย่ามาว่าคนอื่นชั่วทั้งที่ตัวเองก็ชั่วเหมือนกัน รองผู้ว่าการเหรอ? ได้เงินเน่า ๆ จากการบริหารชุ่ย ๆ ไปกี่ล้านแล้วล่ะ” ชูวิทย์ตอกกลับ
“โวยวายไปจะได้อะไร ตอนนี้เงินที่ได้จากการส่งออกสินค้าล็อตใหม่อยู่ที่ไหน” นายเจษฎาทักท้วง
“ไอ้พวกที่ไปส่งของมันยังไม่โผล่หัวมาเลย ติดต่อไม่ได้ด้วย” ไมเคิลตอบ
“โธ่เอ๊ย! ไม่ใช่มันหอบเงินหนีไปแล้วเหรอ” เจษฎาเริ่มหัวเสีย งานนี้เขาลงทุนกับมันไปมาก เขาจะได้ผลลัพธ์ที่สูญเปล่าไม่ได้
“พวกมันจะหนีไปได้ยังไง ในเมื่อมีคนของไอ้หมอขับรถตามติดอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดอะไรขึ้นคนของไอ้หมอก็ต้องโทรมารายงานแล้วสิ”
“อะไรนะ มึงก็รู้เห็นเป็นใจกับมันเหรอ” ชูวิทย์ขึ้นเสียงดัง ที่เห็นหมอยอดศักดิ์เงียบ ๆ ไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย ก็เพราะว่าเขารู้อยู่แล้ว เรื่องที่ไมเคิลจะส่งออกของล็อตใหม่ และจะแบ่งรายได้กันแค่สองคน
“พวกแกสองคนนี่มันชั่วจริง ๆ นะ ไม่ได้ลงทุนอะไรแต่จะเอาผลประโยชน์เข้าตัวอย่างเดียว” นางรัศมีโวยวายต่อว่า
เงินลงทุนล้วนมาจากนายเจษฎา นายดำรง นางรัศมี และนายชูวิทย์ในส่วนที่เท่า ๆ กัน ส่วนหมอยอดศักดิ์กับไมเคิลคือผู้คิดค้นและผลิตตัวยาออกมา
“ใครบอกว่าผมไม่ลงทุน ยาตัวนี้ถูกผลิตออกมาได้ก็เพราะการทดลองจากผมทั้งนั้น พวกหวังแต่ผลประโยชน์แต่ไม่เคยใช้สมอง!” หมอยอดศักดิ์ตอกกลับหลังจากที่อดทนเงียบมานาน
พวกเขาแตกคอกันเอง ที่เป็นอย่างนั้นเหตุผลก็มาจากอสรพิษที่เรียกว่า ‘เงิน’ ที่มันคอยกัดกินจิตใจของคนให้เกิดกิเลสที่เรียกว่า ‘ความโลภ’
“ดิ้นไม่หลุดแล้วล่ะ” เตชินเอ่ยพูดขณะที่ยังฟังบทสนทนาผ่านเครื่องดักฟังที่ตอนนี้มีการถกเถียงและโบ้ยกันไปมาของผู้ร่วมกระบวนการ
เตชินปฏิบัติงานอยู่กับทีมตำรวจกองปราบฝีมือดีถึงสองชุด และมีผู้กองสิบทิศนั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วย “หลังจากนี้ผู้กองคงต้องทำเอกสารตรวจสอบหน่วยงานราชการในพื้นที่อย่างละเอียดแล้วล่ะ”
“ทีมของคุณนี้เก่งจังเลยนะครับ โดยเฉพาะคนของคุณที่แฝงตัวอยู่ในนั้น พูดจนพวกมันคายความจริงออกมาจนหมด”
“อย่ามัวแต่เยินยอกันเลยครับ ผมว่าเราเริ่มปฏิบัติแผนต่อไปกันดีกว่า”
“ทำตามแผนที่วางไว้นะทุกคน ทีมเอไปกับคุณเตชิน ส่วนทีมบีมากับผม” สิ้นคำสั่งของผู้กองสิบทิศ ตำรวจกองปราบที่มีอาวุธครบมือก็พากันไปปฏิบัติหน้าที่ที่ได้ตระเตรียมกันไว้อย่างรอบคอบ
“หมอยอดครับ ไอ้สองตัวที่ตามติดคนของคุณไมเคิลติดต่อไม่ได้ทั้งคู่เลยครับ”
“หรือว่าพวกมันรวมหัวหอบเงินหนีไปแล้วว่ะ” นายดำรงพูด
“กูว่าพวกมันโดนจับได้มากกว่า การที่อยู่ ๆ ก็มีคนส่งข้อความให้พวกเรามารวมตัวกันก็เพราะว่า...” ยังไม่สิ้นคำพูดของนายเจษฎาทุกคนก็ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ฉิบหาย! รีบแยกย้ายสิวะ”
“ทุกคนอย่าขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกคุณถูกล้อมไว้หมดแล้ว ทิ้งอาวุธแล้วยกมือขึ้นเหนือหัว”
ผู้ร่วมกระบวนการและลูกน้องคนอื่น ๆ ต่างยกมือขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากอยู่ ๆ ตำรวจก็บุกเข้ามาโดยที่ไม่มีใครได้ตั้งตัว นาวินที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเตชินก็ยกมือขึ้นด้วย ประหนึ่งว่าตัวเองก็เป็นผู้ร้ายเช่นกัน
“อย่าขยับและอย่าคิดตุกติก เอามือไว้หลังท้ายทอย”
“มาจับกุมพวกผมข้อหาอะไร” นายดำรงพูด
“ข้อหามียาวเป็นหางว่าว ไปคุยกันที่โรงพัก”
พรึ่บ!
มีหรือที่นายเจษฎาจะยอมให้จับง่าย ๆ เขาใช้จังหวะเสี้ยววินาทีก้มไปหยิบปืน แล้วจับนาวินที่อยู่ภายใต้หน้ากากเตชินมาเป็นตัวประกัน
“อย่าเข้ามานะเว้ยไม่งั้นไอ้ผู้กองนี่หัวกระจุย”
“ผู้กองอะไรเหรอ” เตชินตัวจริงโพล่งออกมาท่ามกลางความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ทุกคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ
“มะ...มึงมีแฝดเหรอ”
“นั่นไม่ใช่แฝดของผม มันก็แค่พวกชอบทำตัวเลียนแบบคนอื่น ยิงมันให้ตายห่าไปเลย พวกคุณทุกคนก็แค่มีข้อหาเพิ่มมาอีกหนึ่งข้อหา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง โทษประหารชีวิต” นาวินถึงกับหน้าเสียเมื่อหัวหน้าของเขาพูดออกมาอย่างนั้น แม้มันจะเป็นแค่กลอุบายหรือจิตวิทยา แต่ปืนที่จออยู่ตรงขมับของเขา มันทำให้เขาเสียชีวิตได้เพียงแค่ปลายนิ้ว
“อย่าท้ากูนะเว้ย!”
พรึ่บ!
นาวินใช้จังหวะเสี้ยววินาทีแย่งปืนจากมือของนายเจษฎามาครอบครอง เป็นจังหวะเดียวกับคนอื่นที่ร่วมกระบวนการกำลังจะก้มเก็บปืน แต่ก็ถูกตำรวจกองปราบยิงสกัดเอาไว้ได้ก่อน
ปัง! ปัง! ปัง!
“บอกแล้วไงว่าอย่างคิดตุกติก ทุกคนอยู่ในความสงบ” ผู้กองสิบทิศพูด
ลูกน้องบางส่วนที่คิดจะหนีออกจากด้านหลังโกดัง ก็ถูกตำรวจดักทางไว้ได้หมด นาวินเดินแยกออกมาจากกลุ่มผู้ร่วมกระบวนการถูกทีมตำรวจเข้าไปใส่กุญแจมือและจับกุมทุกคนขึ้นรถ
ท่ามกลางเสียงโวยวายนางรัศมี นายชูวิทย์ และนายดำรง ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ยอมจำนนไปก่อน ไว้ไปต่อสู้ในชั้นศาล
“หัวหน้าทำผมเกือบตายนะ” นาวินมาทักท้วงคนเป็นหัวหน้า ถ้านายเจษฎามือลั่นขึ้นมา ศพของเขาคงไม่สวยแน่
“ก็ยังไม่เป็นอะไรนี่ ยังอยู่กวนประสาทได้อีกนาน กลับไปบอกเซนกับซานว่าให้เก็บข้าวของกลับองค์กรได้เลย ภารกิจที่นี่น่าจะเสร็จสิ้นแล้วแหละ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของศาลว่าเขาจะตัดสินคนผิดยังไง หลักฐานทั้งหมดที่เรามีถ้าพวกมันยังดิ้นหลุดมาได้ คงต้องใช้ศาลเตี้ยจัดการ”