หลังจากถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องขัง มะปรางก็รีบมาหาเตชินตามที่นัดหมาย ซึ่งกระดาษที่เตชินให้กับเธอเมื่อคืนมีข้อความสั้น ๆ ระบุสถานที่อยู่ลับของเขา ตัวอักษรที่ไม่มีใครอ่านออก มีเพียงมะปรางคนเดียวเท่านั้นที่แกะรหัสตัวอักษรพวกนั้นได้
เด็กสาวสแกนรหัสผ่านประตูห้องลับด้วยรอยสักบาร์โค้ดขนาดเล็กที่อยู่บริเวณข้อมือข้างซ้าย รอยสักนี้คือรหัสที่แสดงถึงตัวตนของเตชินซึ่งเธอแอบสักไว้เมื่อหลายปีก่อน เธอปกปิดรอยสักนี้ไว้ภายใต้นาฬิกาและสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกหลากสี
เตชินที่กำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ เขารับรู้ถึงการมาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มือหนาเอื้อมไปปิดฝักบัวก่อนจะดึงชุดคลุมอาบน้ำมาสวมใส่ เขาเดินไปหยิบแท็บเล็ตแล้วเข้าไปเช็กดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในเซฟเฮาส์ จึงได้รู้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นคือมะปราง
เขาบิดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงสามารถเข้าไปในห้องลับของเขาได้ ห้องนั้นมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่สามารถยืนยันตัวตนและเข้าไปได้ หรือว่า...
“คุณไม่ใช่ตำรวจจริง ๆ ด้วย คุณปลอมตัวมาอีกแล้ว” มะปรางพูดขึ้นเมื่อเห็นเตชินปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เธอนั่งอ่านข้อมูลส่วนตัวของเตชินอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
“รู้อะไรไปแล้วบ้าง” ชายหนุ่มที่เป็นตำรวจกำมะลอพูดพร้อมเดินเข้าไปหาเด็กสาว
“ศูนย์ศูนย์เจ็ดคือรหัสอะไร แล้วเพชรลวงตาคือฉายาของคุณเหรอ”
“รู้เยอะเกินไปแล้ว” เตชินพูดพร้อมดึงเอกสารที่เป็นข้อมูลส่วนตัวของเขาออกจากมือของเธอ
อันที่จริงเตชินมาที่นี่อีกครั้งด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาคิดไว้แล้วว่ามะปรางจะต้องรู้ความจริงว่าทำไมเขาถึงต้องมาเป็นตำรวจอยู่ที่ชุมชนแห่งนี่ ซึ่งไม่ช้าก็เร็ว เธอคือคนเดียวที่รู้ความลับมากมายเกี่ยวกับตัวเขา ที่เตชินไม่ได้บอกอะไรกับเธอตั้งแต่ทีแรก เพราะการที่ปล่อยให้มะปรางตามหาความจริงเกี่ยวกับตัวเขาอีกสักครั้งและอีกหลาย ๆ ครั้ง มันก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นดี แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะสามารถเข้ามาในห้องที่เต็มไปด้วยความลับสุดยอดของเขาได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่ประตูทางเข้ามันซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือ และดูจะไม่ได้เป็นที่สะดุดตาขนาดนั้น
“องค์กร...”
“อย่าพูดถึงชื่อองค์กรเด็ดขาด!”
“...” มะปรางเอียงคอเล็กน้อยพลางทำสีหน้าเชิงคำถาม
“มันเป็นสิ่งต้องห้าม” เตชินกล่าวก่อนจะครุ่นคิดได้ว่ามะปรางรู้ชื่อจริงขององค์กรได้ยังไงในเมื่อมันไม่ได้มีระบุเป็นลายลักษณ์อักษร “เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
“ไม่บอก” มะปรางกระโดดลงจากโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม เด็กสาวยิ้มแป้น เพราะการที่ได้รู้ความลับของเตชินมันทำให้เธออารมณ์ดี
“อะส์!” คนตัวเล็กอุทานเสียงหลงเมื่อถูกแขนแกร่งรั้งเอวคอดเอาไว้
“เฮียจะจัดการปิดปากคนที่รู้ความลับของเฮียยังไงดีนะ” เตชินเอ่ยกระซิบกระซาบเสียงเบาที่ข้างกกหูใบเล็ก ก่อนจะเผยรอยยิ้มชวนขนลุกออกมา “คิดว่าเฮียจะปล่อยให้หนูออกไปจากห้องนี้ง่าย ๆ เหรอ”
ประตูของห้องลับถูกปิดอีกชั้นอย่างหนาแน่น จากห้องทำงานกลายเป็นห้องสีแดงฉานด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มะปรางมองห้องที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวคนข้างหลังเลยสักนิด
“เรามาทำอะไรที่ผ่อนคลายกันหน่อยไหม เด็กดีของเฮีย!”
“หนูจะได้เป็นเด็กของคุณจริง ๆ แล้วใช่ไหม” มะปรางพูดอย่างมีความหวังและรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง แต่เตชินกลับมองว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอนั้นมันคือรอยยิ้มของเด็กสาวเจ้าเล่ห์และไว้ใจไม่ได้
“พูดอะไร ไม่อายเฮียเหรอ”
“หนูไม่มียางอายตั้งแต่เกิดแล้ว” เตชินหัวเราะแล้วปล่อยมะปรางให้เป็นอิสระ เขาขยี้ผมเด็กสาวเบา ๆ ก่อนจะจูงมือเธอออกจากห้องส่วนตัวเพื่อมุ่งหน้าไปยังทิศทางของอีกห้อง “จะพาหนูไปไหน”
“ไปเถอะน๊า เฮียไม่ทำอะไรมิดีมิร้ายกับหนูหรอก”
“ชิ!”
“ทำเสียงแบบนั้นหมายความว่าไง หนูเสียดายเหรอ” เตชินหยุดก้าวขาอัตโนมัติแล้วหันมาถามเธอด้วยความสงสัย ทำเอามะปรางแสดงสีหน้าไม่ถูก ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธออาจจะเสียดายจริง ๆ
“อะ...อะไรของคุณ หนูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซะหน่อย ปากบอกว่าเฮียจะไม่ทำอะไรมิดีมิร้าย แต่คำถามชวนขนลุกชะมัด”
“หนูกลัวเหรอ”
“ไม่ได้กลัว แล้วตกลงจะพาหนูไปไหนกันแน่”
เตชินไม่ได้ตอบคำถามของมะปรางนอกจากจูงมือเล็ก ๆ ของเธอเดินไปยังทิศทางของอีกห้องหนึ่ง
ภายในห้องมีแผนผังซึ่งมีพื้นหลังเป็นแผนที่ชุมชนที่มะปรางอาศัยอยู่ หมุดหลากหลายสีที่ปักอยู่บนแผนผังบ่งบอกว่าได้ทำการลงพื้นที่สำรวจแล้ว
หมุดสีเขียวเป็นพื้นที่ปลอดภัย
หมุดสีส้มเป็นพื้นที่เสี่ยงและไม่น่าไว้วางใจ
หมุดสีแดงเป็นพื้นที่อันตราย ส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นที่ลับตาคน
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นเพียงแค่กวาดสายตามองมะปรางก็สามารถปะติดปะต่อและเข้าใจมันได้โดยสัญชาตญาณและประสบการณ์
“ตอนนี้ยาเสพติดกำลังระบาดและลุกลามไปทั่วพื้นที่กว้าง หนึ่งในแหล่งพื้นที่ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดเพื่อส่งออกคือชุมชนนี้ เราต้องสืบให้รู้ว่าพวกมันลักลอบผลิตยานรกนั่นบริเวณไหนของหมุดแดงที่ปักไว้”
“...”
“สายของเฮียรายงานมาว่าผู้ชายในภาพนี้อาจจะอยู่เบื้องหลังหรืออาจจะมีการสนับสนุนลับ ๆ”
“ท่านดำรง” มะปรางเอ่ยพึมพำเสียงเบา
“หนูรู้จักมันด้วยเหรอ”
“เขาเป็นกำนันอยู่ตำบลใกล้เคียงมาสี่ปีติดแล้วไม่มีใครโคตรล้มสักที แต่ได้ข่าวว่าเร็ว ๆ นี้เขาจะลงสมัครเป็นผู้ว่าการอำเภอนะ” มะปรางละสายตาจากแผนผังเบื้องหน้า หันมามองเตชินพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่คุณเถอะ จะมาทลายเอเยนต์ผลิตยา แต่ปลอมตัวเป็นตำรวจ เปิดเผยตัวโจ่งแจ้งแบบนี้มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ หรือว่ามีแผนอะไร”
“ครั้งนี้เฮียต้องปลอมตัวเป็นตำรวจยศผู้กอง เพราะเฮียเชื่อว่ามันต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ คราวนี้แหละคนที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงมันจะปรากฏตัวออกมา ไม่แน่อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับที่เราเคยส่งเข้าคุกเมื่อห้าปีก่อนก็ได้”
“พวกนั้นได้ออกจากคุกแล้วเหรอ” มะปรางเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ เพราะมันเร็วเกินไปสำหรับอิสระที่พวกนั้นได้รับ
“พวกมันบางส่วนได้รับอิสรภาพแล้ว เพราะว่ามีการอภัยโทษนักโทษหลายคน”
“อภัยโทษเพื่อให้ออกมาทำผิดซ้ำเนี่ยนะ”
“เฮียเชื่อนะว่าหลายคนที่ได้รับโอกาสเขาจะกลับตัวกลับใจ แต่ส่วนคนที่ยังสำนึกไม่ได้และกลับมาทำผิดซ้ำซาก มันจะต้องได้รับผลกรรมที่สาหัสกว่าเดิมแน่นอน”
“แล้วกว่าที่พวกมันจะได้รับผลกรรม จะมีใครบ้างที่ต้องเดือดร้อนเพราะพวกมัน!”
“เพราะแบบนี้ไง เราจึงต้องร่วมมือจับพวกมันเข้าคุกอีกครั้ง”
“เรา?”
“หนูมาทำงานนี้ร่วมกับเฮียได้ไหม ถ้าเราร่วมมือกันพวกมันจะกลับเข้าไปในคุกและจะไม่มีโอกาสกลับออกมาอีก”
“ทำไมจะต้องเป็นหนูด้วย คุณจะหลอกใช้หนูอีกแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“พอหนูหมดประโยชน์ คุณก็จะหายไปจากชีวิตหนูเหมือนห้าปีก่อนใช่ไหม”
“มะปราง”
“หนูไม่ทำ! มันไม่ใช่กงการอะไรที่หนูจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง”
จังหวะที่มะปรางจะหันหลังเดินออกไป เตชินก็จัดการอุ้มเด็กสาวให้ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานก่อนจะดันร่างของเธอให้นอนลงอย่างอุกอาจ เตชินทำแบบนั้นเพราะว่าเด็กฝึกของเขาเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาไม่รู้อีโหน่อีแหน่
พรึ่บ!
“อ๊ะส์...ทะ...ทำอะไรของคุณ” คนมาใหม่สามคนตกใจไม่ใช่น้อย ไม่คาดคิดว่าหัวหน้าจะมีแขก
พวกเขาเป็นเด็กฝึกของเตชินที่มาร่วมปฏิบัติงานในครั้งนี้ด้วย ทั้งสามทำท่าทีเลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้หญิงที่อยู่กับหัวหน้าของพวกเขาคือใคร
“ช่วยเฮียเถอะนะเด็กดี งานนี้เฮียต้องการหนูจริง ๆ”
“ปล่อยหนู!”
“ไม่ปล่อยจนกว่าหนูจะตอบตกลงช่วยเฮีย นะครับเด็กดีของเฮีย” พูดจบเตชินก็จูบหน้าผากมนของเด็กสาวเบา ๆ ทำเอามะปรางอึ้งไปชั่วขณะ หัวใจดวงน้อยมันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
เซน ซาน และนาวินเองก็ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่ก็คิดไปก่อนว่าหัวหน้าคงหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของเธอเท่านั้น
“ช่วยเฮียเถอะนะ นะ ๆ เด็กดี”
“ชะ...ช่วยก็ได้” มะปรางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงติดขัด ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ก่อเกิดขึ้นมาภายในใจดวงน้อยดวงนี้เข้าแล้ว มันไม่ดีเลย มันไม่ดีต่อใจเธอเลยจริง ๆ
“น่ารักที่สุด” เตชินพูดแล้วจูบหน้าผากมนอีกครั้ง เด็กสาวไม่ได้ขัดขืน เธอเพียงแค่หลับตาลงด้วยความเขินอาย
เตชินจึงใช้จังหวะนั้นไล่เด็กฝึกทั้งสามคนที่ยังยืนอยู่เดิมให้รีบวิ่งไปหาที่หลบ เซน ซาน และนาวินจึงรีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว โดยแอบไปซ่อนตัวอีกห้องหนึ่ง
เตชินมองเด็กสาวที่หลับตาปริ่มด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เธอยังน่ารักและยังใจอ่อนต่อคำขอร้องของเขาเสมอ
เตชินโน้มใบหน้าลงไปจูบปากอวบอิ่มอย่างละมุนละไมด้วยความที่เขาอดใจไม่ไหว เด็กสาวไม่ได้มีท่าทีขัดขืน เธอตอบรับจูบนั้นราวกับว่าต้องการมันมานานแสนนาน สองมือเรียวโอบรัดลำคอหนาของเขาอย่างลืมตัว บทจูบนั้นเร่าร้อนและดูดดื่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างให้ความร่วมมือกัน
แต่เวลาแห่งความสุขมันมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ จนมะปรางเองก็อดที่จะเสียดายช่วงเวลาดี ๆ นั้นไม่ได้ เธอเม้มปากด้วยความเขินอาย ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นนั่ง โดยมีเตชินช่วยประคับประคอง
“ขอบคุณนะครับเด็กดี หนูยังเป็นเด็กดีของเฮียเสมอ” เขาพูดพลางลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“หนูเป็นแค่เด็กดีของคุณเองเหรอ” คำพูดของมะปรางทำให้เตชินเงียบไปสักพัก ก่อนที่เขาจะบิดยิ้มแล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วหนูอยากเป็นอะไรสำหรับเฮีย?” คำถามของเตชินทำให้บรรยากาศภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ
เธอจะพูดออกมาได้อย่างไรว่าเธออยากเป็นมากกว่าเด็กดีของเขา การที่เธออยู่เป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้เพราะเธอเชื่อเสมอว่าเขาจะกลับมา และตอนนี้เขากลับมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงกลับไม่กล้าพูดความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของเธอมาตลอดออกไป มะปรางได้แต่ฉีกยิ้มกลบเกลื่อนแล้วส่ายหน้าไปมา
“หนูต้องกลับบ้านแล้ว หนูหายไปนานเดี๋ยวแม่มะลิเป็นห่วงเอา” พูดจบ มะปรางก็รีบวิ่งออกไปจากห้องและมุ่งหน้าออกจากฐานลับของเตชิน โดยที่เธอก็ระมัดระวังตัวไม่ให้ใครเห็น