เรนิกาสะอื้นกับแผงอกจนเสื้อเชิ้ตสีดำเปียกชุ่ม มือหนาลูบเรือนผมนุ่มสลวยพลางถอนใจหนักออกมา เขาจะบ้าตายเพราะผู้หญิงที่ชื่อเรนิกาอยู่แล้ว
“พี่ขอโทษนะเรน พี่ไม่ได้ตั้งใจ ช่วงนี้งานพี่ยุ่งมาก”เขาพยายามหาข้อแก้ตัว ที่เหมือนว่าจะดูฟังขึ้น
เธอเงยหน้าสบตาเขาเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ในสภาพไม่สมควร จึงดันกายออกห่างยกมือปาดน้ำตาออก หลุบตามองต่ำด้วยความอาย นี่เธอ... ทำอะไรลงไป
“เรนต่างหากที่ต้องขอโทษพี่ทิวา เรนแค่น้อยใจที่พี่ทิวาทำเหมือนไม่อยากหมั้นกับเรน”บอกความรู้สึกออกไป จริงๆ อยากให้เขาได้รับรู้ ว่าเธอคิดยังไงกันแน่ ก็เขาตั้งท่าเหมือนไม่อยากหมั้นกับเธอจริงๆ
“เราไปเลือกแหวนกันใหม่อีกรอบเถอะ”ทิวากรเอ่ยชวน เห็นแววตาทอประกายของอีกฝ่ายส่งมา มือทั้งสองจับกันไว้แล้วพาเดินเข้าร้านด้วยกัน
ดวงตาทอประกายรอยยิ้มฉาบทั่วใบหน้า ทิวากรชะงักเมินหนีจากภาพตรงหน้า หัวใจของเขาสั่นไหวเพราะอะไร ทั้งสองจัดการเลือกแหวนหมั้นใหม่อีกครั้ง เรนิกาหยุดยืนอยู่ข้างรถขณะรอเขาเดินมาส่งในตัวบ้าน พาวินีชะเง้อมองเห็นบุตรสาวรีบเดินมาทักทาย ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ พาวินีรีบรับไว้ว่าที่คู่หมั้นบุตรสาวทันที
“สวัสดีจ้ะทิวา ขอบใจมากนะที่พายัยเรนมาส่ง”
“ยินดีครับ”
เขาหันมองว่าที่คู่หมั้นอีกครั้ง แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เรน... พี่ขอตัวกลับก่อนนะ”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มหันหลังเดินตรงไปที่รถ เรนิกามองตามแผ่นหลังนั้นจนชายหนุ่มนั่งรถขับเคลื่อนออกนอกรั้วบ้าน เธอระบายยิ้มออกมา พาวินีรีบโอบไหล่บุตรสาวพาเข้าด้านใน
“เป็นยังไงวันนี้อารมณ์ดีเลยนะลูกสาวแม่”โดนแซวแบบนี้ ใบหน้าเรียวเลยแดงซ่าน
แม่ลูกนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน “พี่ทิวาเขายอมรับเรนแล้วค่ะแม่”
“หมายความว่าไงเหรอลูก”
“ตอนแรกพี่ทิวาทำเหมือนไม่อยากหมั้น แต่เรนบอกว่าชอบเขาพี่ทิวาก็เลยชวนเรนไปเลือกแหวน”ออกอาการขัดเขินเล็กน้อย คนเป็นแม่เลยลูบศีรษะบุตรสาวในใจนึกห่วง
“เรน... ลูกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะหมั้นกับทิวาจริงๆ”ถามย้ำอีกครั้ง
“แน่ใจค่ะแม่ เรนชอบพี่ทิวาจริงๆ”
“จ้ะ งั้นไปนอนเถอะลูก”
เรนิกาสาวเท้าขึ้นชั้นสอง รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ต่อไปหวังว่าเธอกับพี่ทิวาจะมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน จะพยายามชนะใจเขาให้ได้
ขณะขับรถมือถือของชายหนุ่มดังขึ้น ทิวากรเหลือบมองเบอร์หน้าจอ เขาถอนใจออกมาก่อนเอื้อมกอดรับแล้วเสียบบลูทูชเข้ากับใบหู
“ว่าไงมน มีอะไรหรือเปล่า”เขาถามออกไป
“ทิวามาพบมนหน่อยได้ไหม มนมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”น้ำเสียงเศร้าแผ่วเบาถามกลับมา
“ผมไม่ว่างหรอกกำลังจะกลับบ้าน มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า”
“มาหามนหน่อยเถอะทิวา มนขอร้องล่ะ...”
ทิวากรนิ่งเงียบชั่วครู่ ไม่อยากไปเพราะไม่รู้จะคุยอะไรทมนตราเป็นเพื่อนกับเขามานาน เธอเป็นคนรู้ใจเขามากที่สุด แต่เขาไม่เคยคิดเกินเลยกว่านั้น
“อืมได้ เดี๋ยวไปหารอแป๊บนะมน”
รถยนต์สีดำเคลื่อนมาจอดในตัวบ้านไม้สองชั้น ชายหนุ่มเปิดประตูลงมาจากรถเห็นเพื่อนสาวยืนกอดอกรออยู่ สองเท้าก้าวเดินเข้าหา มนตรานำเข้าในตัวบ้านแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลขัดมันวางอยู่กลางบ้านด้วยกัน
“มีอะไรมน เรียกผมมาหัวค่ำแบบนี้”ถามเสียงเครียด เขาไม่อยากอยู่กับเธอสองต่อสองเช่นนี้
“ทิวากำลังจะหมั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มชะงักหลุบตามองกาแฟที่มนตรานำมาวางให้ก่อนหน้า สีหน้าหนักใจ
“ใช่”
“ทำไมถึงหมั้นล่ะ ไหนบอกว่าไม่อยากแต่งงานกันใครอีกแล้วไง” แม้สีหน้าจะเรียบเฉยแต่บอกได้เลยว่าเธอรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ
“มีความจำเป็นนิดหน่อย”ตอบเลี่ยงอย่างเสียไม่ได้ คนที่เขาไม่อยากให้รับรู้เรื่องนี้คือมนตรา
ร่างเพรียวลุกยืนพิงหน้าต่างไม้เหม่อมองแสงจันทร์ด้านนอก ใบหน้ารูปหัวใจเริ่มเศร้าหมอง เรียวแขนถูกยกขึ้นกอดอกจิกเล็บลงมาราวกับต้องการระบายอะไรบางอย่าง
“รักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าทิวา...”น้ำเสียงราบเรียบแฝงไปด้วยความเจ็บปวดถามขึ้นอีกครั้ง
“เปล่า ไม่ได้รัก”
“แล้ว... ชอบหรือเปล่า ผู้หญิงคนนั้น”คำถามมากมายเริ่มออกมา ทิวากรหรี่ตาลงขบกรามแน่นเหมือนว่าตนเองกำลังกลับไปยืนตรงจุดเดิม
คำถาม... ชอบหรือเปล่า ทำไมหัวใจถึงเต้นระรัว ตอบออกไปไม่ได้เลยแค่คำว่าไม่ชอบเหตุใดไม่พูด นี่เขา... กำลังเป็นอะไร หรือว่า... เริ่มจะชอบเข้าแล้ว
“ผมไม่รู้หรอกมนว่าชอบเรนหรือเปล่า” ปกติไม่ชอบโกหกพอมาเจอคำถามเลยตอบได้เพียงเท่านี้ เพราะในหัวสมองมันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
มนตรานิ่งงันเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ สำหรับทิวาแล้วผู้หญิงหน้าไหนก็ไม่มีความสำคัญ คำตอบเคยถามเขาหลายครั้งมักจะออกมาเหมือนเดิม ไม่ชอบ ไม่รัก ไม่สนใจ และไม่ต้องการ แต่คราวนี้มันต่างออกไป “ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่าอย่างนั้นหรือ” อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ
“แน่ใจว่าจะหมั้นแล้วเหรอทิวา เราไม่เห็นด้วยหรอกนะบอกตามตรง ไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นต้องมาทนทุกข์เพราะทิวา!”