หนึ่งเค่อต่อมา
สุวิมลหรือซูวี่ในยุคนี้กลับมาถึงบ้านพักที่ทางร้านจัดหาเอาไว้ให้คนงานได้พักอาศัย
“วันนี้เจ้ากลับดึกนะซูวี่”
“อือ ข้าไปหาซื้อยาให้ลี่ชุนแต่ร้านยาปิด ก็เลยซื้อโจ๊กมาให้นางแทน” เธอตอบเพื่อนร่วมงานที่พักอยู่ห้องติดกัน
“ตัวนางร้อนมาก ข้าเพิ่งไปช่วยเช็ดตัวให้นางมา”
“ขอบใจนะ” ซูวี่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจแล้วเดินเข้าห้องพัก “ข้ากลับมาแล้วลี่ชุน”
“กลับมาแล้ว.. ปากเจ้าไปโดนอะไรมาซูวี่!” ลี่ชุนพยายามประคองตัวเองจากที่นอน
“ไม่ต้องลุก นอนพักไป” ซูวี่รีบวางของแล้วประคองให้หญิงสาวนอนลง
“หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา”
“ข้าแค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อย” นางตอบแล้วแตะมือกับหน้าผากของลี่ชุนด้วยความเป็นห่วง “ตัวเจ้าร้อนมากเลย มีอาการอื่นด้วยไหม”
หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวคลี่ยิ้มเนือย ๆ นางรู้สึกเวียนหัว เริ่มปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งร้อนบางครั้งหนาวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องวิตกกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
“แน่ใจนะ”
ลี่ชุนจับมือของสตรีที่นางเคยให้ความช่วยเหลือเอาไว้เพียงเล็กน้อย แต่นางกลับตอบแทนบุญคุณมาให้จนรู้สึกว่ามันมากเกินไป
“ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก ข้ารู้จักร่างกายของข้าดีกว่าเจ้านะพี่สาว”
“ถ้ารู้สึกไม่ดีก็รีบบอกข้านะ”
“อือ”
“กินข้าวก่อนเถอะ เจ้าคงจะหิวแล้วสิ”
“ไม่หิวหรอก ข้ารู้สึกอิ่มอยู่ตลอดเวลา”
“ทำไมถึงอิ่มล่ะ หรือว่าหลิวหลิวแบ่งข้าวมาให้เจ้าด้วย” นางหมายถึงเพื่อนข้างห้องที่มาช่วยดูแลนาง
“เสี่ยวหมานน่ะ เขาแวะมาเยี่ยมข้าตั้งแต่ตอนหัวค่ำ”
“เสี่ยวหมาน” ซูวี่ถามเสียงสูง ชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “มิน่าถึงรีบออกจากร้าน” หลังจากที่ฝ่ายนั้นหาเรื่องนางแล้วก็คงแล่นมาที่นี่เลยสินะ หน้าด้านเสียจริง!
“เจ้าทะเลาะกับเขาอีกแล้วใช่ไหม” ลี่ชุนเดาจากสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เปล่าหรอก ข้าก็แค่โมโหเขาที่ทิ้งงานไว้ให้พวกข้าแล้วมาเสนอหน้าเยี่ยมเจ้า”
คนป่วยที่ใบหน้าซีดเซียวคลี่ยิ้มด้วยความขบขัน “จริง ๆ แล้วเสี่ยวหมานเขาไม่มีอะไรหรอก ถ้าเจ้าเปิดใจให้เขาสักนิดเจ้าจะรู้ว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่งเลยทีเดียว”
ซูวี่ถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความขัดเคืองใจอย่างที่สุด คงมีแค่นางคนเดียวที่มองว่าไอ้ยักษ์ปักหลั่นนั่นเป็นคนดี และคงมีนางแค่คนเดียวอีกเหมือนกันที่มันทำดีด้วย
“นอนพักเถอะ ข้าจะไปอาบน้ำก่อน”
“ข้าต้มน้ำให้ไหม”
“ลี่ชุน”
“หือ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดีมีน้ำใจ แต่เจ้าควรดูสังขารตัวเองด้วยนะ” ซูวี่ตำหนิเด็กสาววัยสิบแปดปี นางมีอายุน้อยกว่าเธอถึงเจ็ดปี แต่เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นกรำงานหนักจนมือเท้าแตกด้าน ถ้าเทียบกับวัยเดียวกันในยุคที่เธอเคยอยู่ ส่วนใหญ่ยังเกาะพ่อเกาะแม่กิน มีหน้าที่เรียนอย่างเดียวเท่านั้น “นอนซะ ถ้าข้าเห็นเจ้ายังลืมตาอยู่ ข้าจะโกรธ”
“นอนก็ได้” อีกฝ่ายฝืนยิ้มสู้กับอาการปวดศีรษะที่พุ่งปรี๊ดเข้ามาอย่างไร้เหตุผล รีบพลิกตัวเข้าหาผนังแล้วเม้มปากข่มกลั้นความเจ็บปวด ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นเพราะกลัวจะเป็นห่วง….
กลางดึกขณะที่ซูวี่กำลังนอนหลับอยู่นั้น หูของเธอก็แว่วได้ยินเสียงครางกระสับกระส่าย เธอลืมตาแล้วตั้งใจฟังก่อนจะรีบลุกขึ้นไปดูคนที่นอนห่างออกไปไม่ถึงวา.. วางมือทาบกับหน้าผากที่ร้อนระอุของนางแล้วก็รีบปลุกให้รู้สึกตัว หยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“หนาวแล้วก็ปวดหัวปวดตัวมากเลย”
“เจ้าเป็นไข้หวัดใหญ่แน่ ๆ” ซูวี่คาดเดาอาการป่วยเริ่มต้นของหญิงสาวขณะหยิบผ้าห่มที่มีอยู่ทั้งหมดห่มให้นาง เอาผ้าชุบน้ำวางที่หน้าผาก
“ไข้หวัดใหญ่คืออะไร ข้าไม่เคยได้ยินเลย”
“ก็เป็นไข้นี่แหละ เจ้าควรรักษาตัวให้ดีก่อนที่อาการมันจะหนักกว่านี้ ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นเข้าไว้ ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ แล้วก็ต้องกินยาให้ตรงเวลา แต่ถ้าตัวร้อนก็ต้องเช็ดตัวบ่อย ๆ จนตัวเริ่มเย็น มันจะทำให้ไข้ลดและหายไข้เร็วขึ้น” แต่ปัญหาตอนนี้คือไม่มียาให้นางกินสักอย่างเดียว อาการของนางก็ดูหนักมากเสียด้วยสิ “นอนพักซะ”
ซูวี่เฝ้าดูอาการของหญิงสาวอย่างใกล้ชิด แต่ยิ่งเห็นก็ยิ่งหนักใจ เพราะนางเอาแต่นอนกระสับกระส่าย ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ฟันกระทบกันดังกึก ๆ ตลอดเวลา
แล้วอยู่ ๆ ก็นึกถึงชายหนุ่มรูปงามที่เธอรู้เพียงว่าเขาคือท่านชายกับผู้ติดตามที่ชื่ออวี่กง เธออยากเจอเขาตอนนี้แล้วถามว่าพอจะมียาที่รักษาลี่ชุนบ้างไหม
เพราะเมื่อตอนบ่ายที่เจอกัน เขาสังเกตเห็นมือที่เป็นแผลพองจากการโดนกระทะของเธอ แล้วก็ขอยาจากคนที่ชื่ออวี่กงมาให้ พร้อมกับบอกสรรพคุณว่าดีเลิศที่สุดเท่าที่มีในลั่วอาน แค่ทาครั้งเดียวก็รู้สึกดีขึ้น
และมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า อาการพองน้ำยุบแห้งหลังจากทาได้ไม่ถึงชั่วโมง อาการปวดแสบปวดร้อนก็ทุเลาเบาบางลงแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว พอตกเย็นก็แทบไม่เหลืออาการใด ๆ นอกจากรอยบาดแผลแดงจาง ๆ
บางทีเขาอาจจะเป็นหมอเทวดาก็เป็นได้ นางอยากเจอเขาเพื่อขอซื้อยามารักษาให้ลี่ชุน.. แต่ตอนนี้สิ่งที่นางทำได้ไม่ใช่มานั่งคิดถึงเขา แต่ต้องรีบไปเคาะประตูร้านขายยาเพื่อขอซื้อยาถึงจะถูก
“ลี่ชุน อดทนหน่อยนะ” เธอกระซิบบอกหญิงสาวที่เอาแต่ครางฮือ กระสับกระส่ายไปมา แล้วรีบออกไปจากห้องพัก ไปเคาะเรียกหลิวหลิวที่อยู่ห้องติดกัน และฝากฝังให้นางช่วยดูแลลี่ชุนแทนสักพัก
“รีบไปเถอะ ข้าจะช่วยดูแลนางให้เอง”
“ขอบคุณมากนะหลิวหลิว ขอโทษอาจางด้วยนะที่รบกวน” ซูวี่กล่าวกับหญิงสาวและสามีของนาง
“ไม่เป็นไรหรอก ให้ข้าไปซื้อยาให้ก็ได้นะ” อาจางรับอาสาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ไม่เป็นไร แค่ช่วยดูแลลี่ชุนให้ข้าก็พอ” นางไม่อยากให้ใครไปแทนเพราะกลัวจะบอกอาการไม่ถูกและได้ยาที่ไม่ตรงกับโรคมา “ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
แค่เที่ยงคืนกว่า ๆ ที่นี่ก็เงียบกริบไร้ผู้คนเดินสวนกัน ความมืดบวกกับความวังเวงทำให้นางกลัวจนขนหัวลุก รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไปถึงร้านขายยาให้เร็วที่สุด
“ใครน่ะ!”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านข้างทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว แต่ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นเป็นทหารยามสองคน
“ดึกดื่นป่านนี้ออกมาทำอะไรเพียงลำพัง ไม่รู้หรือว่ามันอันตราย”
“น้องสาวของข้าป่วยหนัก ข้ากำลังจะไปซื้อยาให้นาง”
“เจ้ามาจากไหน”
“ข้ามาจากท้ายตรอกไหมทอง”
“น้องสาวเจ้าอาการหนักมากเลยเหรอ”
“ใช่ นางมีอาการหนาวสั่นและเพ้อตลอดเวลา”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะเดินไปเป็นเพื่อนเจ้า เพราะตอนนี้ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ามันจะลำบากต่อการทำงานของพวกเรา”
“ขอบคุณท่านทั้งสองมาก” หญิงสาวกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“แต่เรากำลังอยู่ในหน้าที่นะอาสวง” ทหารอีกนายหนึ่งที่มาด้วยกันติงอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “เอาอย่างนี้ดีกว่าไหม ส่งนางกลับไปก่อนแล้วเราค่อยไปรายงานต่อหัวหน้า ขอยาจากท่านแล้วเอาไปให้นางที่บ้านจะดีกว่านะ เพราะอีกไม่นานเราก็จะเปลี่ยนเวรแล้ว”