ณ ด้านหนึ่งของคฤหาสน์ชิวเทียนในยามวิกาล
“ข้าไม่เข้าใจองค์รัชทายาทเลย ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น”
“มันเป็นความต้องการของพระองค์ เราก็แค่ทำตาม”
“แต่มันไม่ถูกต้องนะจี้เฟิง”
“แล้วมันผิดตรงไหนล่ะอวี่กง” องครักษ์มาดเข้มถามเพื่อนที่โตมาด้วยกัน
“เจ้าเข้าข้างองค์รัชทายาทเกินไปแล้วนะจี้เฟิง” ขันทีหนุ่มแสดงความหงุดหงิด
“หรือจะให้ข้าเข้าข้างเจ้าล่ะ ข้าไม่โง่หรอกนะ” จี้เฟิงโต้เสียงเรียบ มุมปากแสยะยิ้มพร้อมกับสายตายียวนแบบที่คนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสได้เห็น
“ใช่สิ ข้ามันไม่สำคัญพอเท่าองค์รัชทายาทหรอก”
“หึ” องครักษ์มาดเข้มอมยิ้มละมุน “ความสำคัญต้องไล่ตามลำดับสิ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างเจ้ากับแม่นางผู้นั้น.. ข้าก็คงเลือกนางก่อนเจ้าอยู่ดี”
อาการอมยิ้มพิมพ์ใจขององครักษ์หนุ่มทำให้ขันทีหน้ามนไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
“เจ้าเป็นเพื่อนข้านะจี้เฟิง เห็นนางสำคัญกว่าข้าได้อย่างไร”
“เพราะเป็นเพื่อนไงถึงได้รู้ว่าเพื่อนข้าพอมีวิชาติดตัว ข้าถึงเลือกช่วยนาง”
“อย่างนั้นเหรอ ข้านึกว่าเลือกเพราะความงามของนางเสียอีก”
“เจ้าพูดมาก็ถูกอีก”
“เพื่อนทรยศ!” อวี่กงต่อว่าเพื่อนที่ยิ้มบาง ๆ “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว เชิญคิดถึงนางได้ตามสบาย”
“ให้ข้าเดินไปส่งไหม” ถามคนที่เดินหน้ามุ่ยจากไป
“ข้าพอมีวิชาติดตัว เอาตัวรอดได้สบาย ไม่ต้องมาห่วงใยข้าหรอก”
องครักษ์หนุ่มยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดกับคำพูดเหน็บแนมของเพื่อนสนิท ที่เดินหน้าเชิดจากไปเยี่ยงสตรีขี้งอนก็ไม่ปาน มองส่งเขาด้วยสายตาจนอีกฝ่ายหายไปจึงกลับเข้าห้องนอน
สองวันต่อมา
“ตามจี้เฟิงให้ข้าที” ต้าเสินบอกกับขันทีคนสนิททันทีที่มาถึง
“ตอนนี้เลยเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
“อือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาอยากจะถามว่าเรื่องอะไร แต่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีขององค์รัชทายาทก็ได้แต่รับคำและรีบทำตามคำสั่ง.. สักพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับจี้เฟิง
“ท่านชาย” จี้เฟิงโค้งกายพร้อมกล่าวทักทาย
“กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้วขอรับ”
“อย่างนั้นรีบไปทำธุระที่วังหลวงให้ข้าหน่อย”
“รับสั่งมาได้เลยท่านชาย”
“เอาจดหมายฉบับนี้ไปให้หมอหลวง แล้วรับคนกับยากลับมาด้วยให้เร็วที่สุด”
“อย่าบอกนะว่าจะพามารักษานาง” อวี่กงขัดขึ้นมา
“อือ”
“องค์รัชทายาท”
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่นอกวังห้ามเรียกข้าแบบนี้” ต้าเสินกล่าวกับคนสนิทพร้อมมองตำหนิอย่างเอาเรื่อง
“ก็ที่นี่ไม่มีใครอื่นเลยนี่” อวี่กงตอบเสียงเบาหวิวคล้ายกับบ่นให้ตัวเอง
“ถึงอย่างนั้นก็ห้ามเด็ดขาด เพราะถ้าคนอื่นได้ยินเข้าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร” เรื่องที่เขาคือองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรลั่วอานมีเพียงพ่อบ้านที่รู้ นอกนั้นก็รู้เพียงว่าเขาคือเครือญาติของอดีตพระมเหสีเท่านั้น
“ข้าจะรีบไปรีบกลับนะขอรับท่านชาย” จี้เฟิงไม่อยากได้ยินองค์รัชทายาทตำหนิขันทีคนสนิท จึงรีบหาโอกาสบอกลาแล้วจากไปทันที
ตกดึกคืนนั้น
“อาการนางเป็นอย่างไรบ้าง”
“องค์.. ท่านชาย” หมอหลวงหญิงแห่งวังหลวงรีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อเห็นสายตาข่มขู่ของพระองค์ “ไม่มีอะไรร้ายแรงเจ้าค่ะ นางแค่เป็นไข้ ทำร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้ ดื่มยาให้ตรงเวลาเดี๋ยวก็หาย”
“แต่ยาที่ให้มาก่อนหน้านี้ไม่เห็นได้ผล”
“ยาที่ให้มาในตอนแรกรักษาได้ถูกต้องตามโรคแล้วเจ้าค่ะ”
“ถ้าถูกต้องแล้วทำไมอาการของนางยังไม่ดีขึ้น”
“อีกสองถึงสามวันอาการของนางก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ป่วยแบบนี้ต้องนอนให้มาก ๆ ถึงจะดี”
“มียาที่ดีกว่านี้อีกไหม” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นอาการหลบสายตาของหมอหลวงหญิง “จัดยามาให้ข้า”
“ไม่ได้เพ.. เจ้าค่ะท่านชาย” หมอหลวงหญิงรีบปฏิเสธ
“ทำไม”
“เพราะยาที่ดีกว่านี้มีเอาไว้สำหรับบุคคลสำคัญเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“จัดยามาให้ข้าเดี๋ยวนี้” เขากำชับน้ำเสียงเด็ดขาดเมื่อรู้ว่ายานั้นมีเอาไว้ให้พวกเขานั่นเอง
“ท่านชายเจ้าคะ”
“จิงเจ๋อร์!”
“เจ้าค่ะ” หมอหลวงหญิงยอมจำนนต่อน้ำเสียงและแววตาเอาเรื่องของพระองค์ “เมื่อข้าน้อยกลับไปถึงแล้วจะรีบจัดยามาให้นะเจ้าคะ”
“ข้าจะให้คนของข้าตามไปเอา รีบกลับไปจัดการให้เร็ว”
“เจ้าค่ะ” หมอหลวงหญิงโค้งกายคารวะมหาบุรุษแล้วรีบเดินออกไปจากห้องนอนของคนป่วย
สำนักหมอหลวง
“จิงเจ๋อร์”
“เจ้าค่ะใต้เท้า” หญิงสาวขานรับหัวหน้าหมอหลวงที่เรียกอยู่ด้านนอกห้องเก็บยา วางมือจากงานแล้วรีบเดินออกไป “มีอะไรเหรอเจ้าคะ”
“แม่นางเถียนเถียนต้องการพบเจ้า”
“พบข้า” คิ้วบางได้รูปย่นเข้าหากันเพราะนางกับนางในชั้นสูงผู้นั้นไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกันมาก่อน
“นางบอกว่าอยากจะขอคำปรึกษาอาการป่วยจากเจ้า น่าจะเป็นอาการป่วยของสตรีนะ” หัวหน้าหมอหลวงสรุปตามที่คาดเดา “ลองไปคุยกับนางดูนะ นางรออยู่ที่ห้องโถง”
“ได้เจ้าค่ะ” รับคำแล้วเดินไปทางห้องโถงที่เอาไว้รับรองผู้มาเยือนสำนักหมอหลวงแห่งนี้
“แม่นางเถียนเถียน” หมอหลวงหญิงกล่าวทักทายสตรีที่กำลังก้มหน้าเล่นสร้อยข้อมือของตัวเองอยู่ แม้จะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ในวังหลวงแห่งนี้นางเป็นนางกำนัลชั้นสูงที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด เพราะมีข่าวลือหนาหูว่านางถูกหมายตาให้เป็นพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาท
แต่ที่ลือหนักยิ่งกว่าการถูกเพ่งเล็งให้เป็นพระคู่หมั้น ก็คือนางถูกเมินอย่างไร้เยื่อใยจากองค์รัชทายาทผู้หยิ่งผยอง แม้แต่ฮ่องเต้ก็มิกล้าออกคำสั่งเด็ดขาดให้ขัดใจพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ทำได้เพียงส่งนางไปเป็นนางกำนัลที่ตำหนักองค์รัชทายาท เพื่อละลายน้ำแข็งในหัวใจของพระองค์
สตรีผู้งดงามปานล่มเมืองเงยหน้าจากสร้อยข้อมือ ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มละมุน
“คารวะหมอหญิงจิงเจ๋อ”
หมอหญิงคำนับกลับ “ใต้เท้าวังบอกว่าแม่นางต้องการพบข้า”
“อือ ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับเจ้า” เถียนเถียนมองไปรอบ ๆ “เป็นการส่วนตัวกว่านี้ได้หรือไม่”
“ได้ เชิญทางนี้” จิงเจ๋อร์ผายมือแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องที่ปกปิดมิดชิด “เชิญพูดมาได้เลย”
เมื่ออยู่กันตามลำพังในที่มิดชิด รอยยิ้มเป็นมิตรของนางกำนัลชั้นสูงก็ค่อย ๆ หุบลง
“หลายวันมานี้ข้าแวะมาหาเจ้า แต่ก็ไม่เคยเจอตัวเลย”
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย “เจ้าอาจจะมาตอนที่ข้าไปตรวจอาการป่วยตามตำหนักต่าง ๆ กระมัง”
“ตรวจแค่ในวังหลวงแห่งนี้เหรอ”
คิ้วเรียวบางแต่ได้รูปขมวดเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกและมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ
“เจ้าอยากถามอะไรข้ากันแน่แม่นางเถียนเถียน”
“ถ้าข้าถามไปแล้วเจ้าจะตอบตามความจริงไหม”
“มันขึ้นอยู่กับคำถามของเจ้า ถ้าอยากรู้ก็ลองถามมาก่อน”
“สามวันที่ผ่านมาเจ้าออกไปนอกวังหลวง ทางประตูทิศเหนือ เจ้าไปหาใครกัน” นางกำนัลชั้นสูงถามเสียงเรียบแต่แววตาคาดคั้นเอาคำตอบ