“เคยได้ยินไหมว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่มันอาจทำให้คนพูดตายได้” มัทนาพูดจบก็ทำท่าใช้นิ้วชี้ปาดคอตัวเอง เหลือกตาถลนมองน้องชายอย่างข่มขู่ โมกรีบหดคอซุกหน้ากับสีข้างบิดา พี่สาวของเขา เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาของขึ้นกลายเป็นนางมารร้ายก็ร้ายน้อยหน้าใครที่ไหนละ
เช้าวันใหม่ที่สดใสสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะผู้คนในหมู่บ้านที่กำลังมีงานบุญใหญ่ประจำปี เสียงเพลงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้านถูกเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ ใครๆ ก็พากันตื่นเต้นกับงานบุญ ต่างพากันลุกอาบน้ำล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ เตรียมตัวไปวัด ยกเว้นเสียก็แต่บางคน ที่เจอเรื่องไม่สบอารมณ์มาตั้งแต่เมื่อวาน และอารมณ์กรุ่นๆ นั้นก็ตกค้างมาจนถึงเช้านี้
“พ่อๆ พี่มัทน่ากลัวจัง โมกขอนั่งท้ายกระบะนะครับ ไม่กล้านั่งข้างหน้าด้วยหรอก โมกกลัวพี่มัทกินหัว” เด็กชายผู้เพิ่งมีข้อพิพาทกับพี่สาวไปเมื่อวานกระซิบบอกพ่อเบาๆ เมื่อเห็นพี่สาวเดินลงบันไดตามหลังผู้เป็นแม่มา ใบหน้าถมึงทึงบึ้งตึงระดับสิบ
“จะนั่งก็นั่งดีๆ อย่านั่งบนขอบกระบะ อย่าซน ไปเอาเสื่อบนเตียงใต้ถุนบ้านมาปูนั่ง” พ่อลำมูลกระซิบบอกลูกชาย แต่สายตามองลูกสาวอย่างหวั่นๆ พอเมียรักกับลูกสาวคนโตเดินตาขวางเข้ามาใกล้ ท่านก็รู้สึกอยากจะยื่นกุญแจรถให้แม่จำปาขับ ส่วนตัวเองจะได้ปีนขึ้นไปนั่งท้ายกระบะกับลูกชายคนเล็กแทน แบบนั้นน่าจะหายใจสะดวกกว่า
วันนี้ครอบครัวพ่อแม่ลูกทั้งสี่คนใส่ชุดที่แตกต่างจากที่ใส่ทุกวัน พ่อลำมูลสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับโสร่งไหม เจ้าโมกสวมใส่ชุดเหมือนพ่อ แต่เป็นไซซ์มินิสำหรับเด็ก แม่จำปาสวมซิ่นไหมโบราณทอมือ เสื้อลูกไม้สีขาว มีผ้าเบี่ยงลูกไม้สีขาวทับ มัทนาสวมซิ่นไหมสีชมพูสดใส และเสื้อลูกไม้สีขาวแขนตุ๊กตา จั๊มช่วงเอวและมีระบาย หญิงสาวเกล้ามวยผมขึ้น เปิดดวงหน้าเนียนกระจ่างสดใสที่ดูอ่อนกว่าวัยราวเด็กสาวสิบเจ็ดสิบแปดปี แม้ใบหน้าจะบึ้งตึง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความสวยของเธอลงเลย
ใช้เวลาห้านาทีพ่อลำมูลก็ขับรถพาเมียและลูกๆ เดินทางมาถึงวัด หลังจากจอดรถดับเครื่องเรียบร้อย ต่างคนต่างก็ถือข้าวของที่เตรียมมาทำบุญช่วยกัน พ่อลำมูลถือปิ่นโตเถาใหญ่ห้าชั้น แม่จำปาถือดอกบัวบูชาพระ มัทนาถือขันทองเหลืองใบใหญ่ใส่ขนมเทียน โมกสะพายกระติบเหนียวสองใบบนบ่าสองข้าง แล้วพากันเดินขึ้นศาลาไปพร้อมกัน
เพียงแค่แม่จำปาซึ่งเดินนำหน้าขบวนเยี่ยมหน้าเข้าไปในศาลา ก็มีคนกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ แม่จำปายิ้มทักทายอย่างคนคุ้นเคย แล้วหันมาพยักหน้าบอกลูกสาวให้เดินตามไปนั่งด้วยกัน ส่วนพ่อลำมูลกับเจ้าโมกเลี่ยงไปนั่งกับผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งเป็นพวกผู้ชายนั่งเรียงกันอยู่แถวด้านหน้าสุด โดยก่อนจะเดินตามพ่อไป โมกได้ยื่นกระติบข้าวให้มัทนาหนึ่งใบ สำหรับใส่บาตรพระที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะยาวบนศาลา
“หนูมัทมานั่งตรงนี้ลูก” แม่ขวัญขยับที่ให้ว่าที่ลูกสะใภ้ที่หมายตาไว้นั่งใกล้ๆ ตน
แม่จำปายิ้มทักทายแม่ขวัญอีกครั้ง แล้วยอบตัวนั่งลงก่อนลูกสาว โดยเว้นที่ว่างไว้ให้มัทนานั่งข้างๆ แม่ขวัญตามที่คนนั่งอยู่ก่อนแล้วต้องการ
มัทนายอบตัวลงนั่งพับเพียบระหว่างแม่ของตนกับแม่ขวัญ เมื่อวางขันและกระติบข้าวไว้ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หันไปประนมมือไหว้ทักทายแม่ขวัญอย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
แม่ขวัญยื่นมือไปกุมมือบางของหญิงสาวเป็นการรับไหว้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ท่านยิ้มปลื้มอกปลื้มใจ สายตาเอื้ออาทรเอ็นดูอย่างไม่ปิดบัง เมื่อพิศชมว่าที่ลูกสะใภ้จนพอใจแล้วจึงปล่อยมือ แล้วชะโงกหน้าไปบอกแม่จำปาว่า “คุณเข้มกำลังตามมาจ้ะแม่จำปา ที่จริงฉันนัดไว้แต่เช้าแล้ว พอดีมีงานด่วน คุณเข้มเลยมาสาย”
“จ้ะ” แม่จำปาพยักหน้ายิ้มๆ อย่างรู้กัน ก่อนเหล่ตามองลูกสาวที่นั่งอยู่ระหว่างตนกับแม่ขวัญ
แม้พอได้ยินชื่ออีตาคุณเข้มคนที่เอากล้วยดิบกับหัวปลีมาหมั้นเธอในวัยแบเบาะแล้ว มัทนาจะหัวร้อนขึ้นมาในทันใด แต่หญิงสาวก็รักษากิริยามารยาทไว้ได้ดี สมกับที่แม่จำปาบอกสอนมาแต่อ้อนแต่ออก มัทนาหันไปยิ้มให้แม่ขวัญ เป็นยิ้มธรรมดาอย่างมีมารยาท ไม่ใช่ยิ้มยินดียินร้ายกับการไปการมาของอีตาคุณเข้ม
แม่ขวัญแตะหลังมือมัทนาเบาๆ ท่านแย้มยิ้มจริงใจ “จะได้เริ่มทำความสนิทคุ้นเคยกันไว้ หนูมัทจำคุณเข้มได้ใช่ไหมจ๊ะ”
แม่ขวัญผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกินครึ่งชีวิตแล้วจับกระแสความไม่พอใจของหญิงสาวได้ แต่ก็นึกชื่นชมที่มัทนาเก็บอาการรักษากิริยาได้แนบเนียน หากไม่ได้นั่งอยู่ใกล้ชิด คงไม่เห็นแววตาวาวโรจน์ที่แวบขึ้นมาเมื่อครู่ ก่อนจะถูกเก็บซ่อนไว้ด้วยการกะพริบตาเพียงหนึ่งครั้ง แล้วปรับเปลี่ยนเป็นแววตาสดใสเป็นประกาย นี่แหละหนึ่งในคุณสมบัติของศรีสะใภ้แม่ขวัญ
เป็นเพราะลูกชายต้องพบปะผู้คนมากมายและหลากหลายสันดาน การจะยืนเคียงข้างคุณเข้มของแม่ขวัญไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มัทนานั้นสอบผ่านทุกข้อ และทุกข้อนั้นคือตัวตนของมัทนาจริงๆ ไม่ได้มีการปั้นแต่งเสแสร้ง ที่สำคัญท่านรักและเอ็นดูมัทนาในแบบที่เธอเป็น เพราะทุกอย่างที่เธอเป็นเหมือนเกิดมาเพื่อลูกชายของท่าน ที่จริงเรื่องของหมั้นกล้วยน้ำว้ากับหัวปลีอะไรนั้นท่านลืมไปนานแล้ว แต่เพราะอยากได้มัทนาเป็นสะใภ้ท่านจึงขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วให้พ่อเหมไปทวงสัญญาเรื่องนี้กับพ่อลำมูล ซึ่งศักดิ์ศรีและคำสัญญาลูกผู้ชายในวันนั้นทำให้ความหวังจะได้มัทนามาเป็นสะใภ้ใกล้จะเป็นจริงแล้ว