ตอนที่ 1 ลุงหัวหน้าคนงาน

1868 คำ
         ไร่ส้มของตระกูลอัครโภภาคินตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นไร่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะผลผลิตจากไร่นี้ถูกส่งออกไปยังทั่วภูมิภาคของประเทศและส่งออกไปไกลถึงต่างแดน  โดยมีหัวเรือใหญ่อย่าง นายคิน อัครโภภาคิน ลูกชายคนเล็กของตระกูลอัครโภภาคินเป็นผู้บริหารงาน  ตระกูลนี้มีธุรกิจอีกมากมายในเครือแต่หลัก ๆ คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมี นายเคน อัครโภภาคิน ลูกชายคนโตเป็นผู้ดูแล             ช่วงเช้าของทุกวัน เจ้าของไร่รูปงามจะเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยในไร่ ก่อนที่จะเข้าไปเคลียร์เอกสารในอาคารสำนักงาน  และไม่ลืมที่จะแวะทักทายคนงานในไร่ด้วยมิตรไมตรี ไม่ถือตัวว่าตัวเองเป็นเจ้านาย ทำให้เขากลายเป็นที่รักของใครต่อใครอย่างง่ายดายโดยเฉพาะสาว ๆ ในไร่             ชายหนุ่มเป็นคนเรียบง่าย การแต่งกายก็แสนจะธรรมดาสบาย ๆ ขัดกับหน้าตาและผิวพรรณเหมือนไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองที่สามารถหาซื้อเสื้อผ้าหรูหรามาใส่ได้ไม่ยาก เขาใส่เสื้อยืดเก่า ๆ กับกางเกงยีนขาด ๆ ทำให้กลมกลืนไปกับคนงานถึงขั้นมีคนเข้าใจผิด             “ลุง ลุงคะ”  เสียงใส ๆ เอ่ยเรียกผู้ชายที่ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าตนเองมากโขว่า ลุง โดยไม่เกรงกลัวว่าคนถูกเรียกจะโมโหใส่ เจ้าของไร่ที่กำลังคิดเรื่องงานอย่างเครียด ๆ จึงหันขวับไปทางต้นเสียง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย          ผู้หญิงที่ดูมีอายุไม่ถึงยี่สิบมาทำอะไรตรงนี้ แล้วเธอคือใคร             “ลุงคะ ลุงเป็นหัวหน้าคนงานใช่ไหม” คนอายุสามสิบกลาง ๆ ถูกเรียกว่าลุงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาจึงบึ้งตึงอย่างไม่ต้องบอกถึงสาเหตุแต่คนเรียกกลับไม่รู้ตัว             “แล้วคุณเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้ยังไง”             “หนูเป็นพนักงานใหม่ เพิ่งมาสมัครงานตะกี้เองค่ะ”             “พนักงานใหม่? คุณเข้ามาทำงานตำแหน่งอะไร” เขาถามด้วยความสงสัยพลางใช้สายตาดุจเหยี่ยวมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ             “คนงานเก็บส้ม” เธอบอกด้วยความภาคภูมิใจในตำแหน่งงานของตนเอง แต่คนฟังถึงกับตกใจเพราะดูจากสภาพคนตรงหน้าแล้วไม่น่าจะรอด ดูแค่เรื่องแต่งกายก็ไม่ผ่าน  คนงานเก็บส้มที่ไหนจะใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืด ดูเหมือนจะไปเที่ยวมากกว่า             “คนงานเก็บส้ม! คุณเนี่ยนะ”  เขามองเธออีกครั้งแล้วส่ายหัว             “ใช่ค่ะ หนูเอากระเป๋าไปเก็บในห้องพักของคนงานเรียบร้อย พี่ ๆ บอกว่าหัวหน้าคนงานอยู่แถวนี้ หนูขอฝากเนื้อฝากตัวกับลุงด้วยนะคะ”  แววตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของเธอเกือบทำให้เขาใจอ่อน แต่มันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ตำแหน่งเก็บส้มในไร่จะขาดคนแต่เธอก็ไม่เหมาะกับมัน ตำแหน่งนั้นต้องเป็นคนท่าทางทะมัดทะแมงไม่ใช่บอบบางอย่างนี้             “ผมว่าคุณไม่เหมาะกับงานเก็บส้ม” ชายหนุ่มเจ้าของไร่ที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นลุงหัวหน้าคนงานส่ายหัวพลางถอนหายใจ เห็นทีเขาต้องไปคุยกับลุงชาติสักหน่อยแล้ว ผู้หญิงบอบบาง ดูท่าทางคุณหนูขนาดนี้ รับเข้าทำงานได้อย่างไร             “หนูทำได้ค่ะ ลุงให้หนูทำเถอะนะ หนูเพิ่งเรียนจบกำลังหางานทำ เขาว่าไม่เลือกงานไม่ยากจน ตอนนี้หนูไม่มีเงินแล้ว ถ้าไม่ได้ทำงานที่นี่หนูลำบากแน่ ลุงจ๋า อย่าไล่หนูเลยนะคะ ขอร้อง”  สาวน้อยตาโตกะพริบตาปริบ ๆ อ้อนวอนขอคะแนนความสงสารพร้อมกับเอามือขึ้นมากุม เพื่อให้คนตรงหน้าเห็นอกเห็นใจ เธอไม่มีที่ไปแล้วเงินก็ใกล้จะหมด ตอนนี้งานอะไรที่ทำได้เธอต้องคว้าไว้ก่อนไม่อย่างนั้นอดตายแน่             “อืม ก็ได้ ผมจะให้คุณทำงานที่นี่” เขาคิดก่อนจะตอบตกลงอย่างจำยอม ในเมื่อเธออ้อนวอนเสียขนาดนั้นมีเหรอคนขี้ใจอ่อนอย่างคุณคินจะปฏิเสธ             “เย้ ขอบคุณมากค่ะลุง”             “แต่ไม่ใช่คนงานเก็บส้ม”             “อ้าว แล้วลุงจะให้หนูไปทำอะไร”             “ตามผมมา”             เขาพูดจบก็รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วขึ้นไปนั่งบนกระบะคันเก่าที่จอดอยู่ไม่ไกล หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามแล้วไปยืนอยู่ข้าง ๆ รถด้วยความระแวงว่าเขาจะพาไปทิ้งข้างหน้าไร่มากกว่าจะพาไปทำงานจริง  แต่เธอไม่มีทางเลือกเมื่อเจ้าของไร่ที่ถูกทักว่าเป็นคุณลุงหัวหน้าคนงานเอ่ยเสียงเข้มเร่งให้ขึ้นรถ เธอจึงต้องขึ้นไปนั่งข้างคนขับด้วยความจำยอมและแอบชำเลืองไปมองเขาเป็นระยะ ๆ พลางคิดอย่างซุกซนเพราะยังไม่รู้ความจริง             ลุงหัวหน้าคนงานที่ไร่นี้หน้าตาดีใช้ได้ ไม่น่ามาเป็นหัวหน้าคนงานเลย เสียดาย             เมื่อรถมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ ชายหนุ่มก็สั่งให้เธอเดินตามไปยังสวนหลังบ้านซึ่งมีพื้นที่เพื่อปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินเอง หญิงสาวไม่เคยคลุกคลีกับการปลูกผัก ไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากใช้เงินไปวัน ๆ ห่อปากตาโตเหมือนเด็กเจอของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจแล้วรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ผักหลากหลายชนิดตรงหน้าเคยเห็นแต่ในห้างสรรพสินค้าโซนอาหาร แต่ไม่เคยเห็นพวกมันบนดินแบบนี้จึงอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้             “เคยปลูกผักไหมคุณ”             “ไม่เคยค่ะ” หญิงสาวส่ายหัวรับอย่างไม่อาย ก็คนมันเกิดมาไม่เคยทำจะให้บอกว่าทำได้ยังไง ขนาดจานเธอยังไม่เคยล้างเองเลยนับประสาอะไรกับการปลูกผัก แต่ยกเว้นถั่วงอกไว้หนึ่งชนิด             “แล้วเคยทำอะไรมาบ้าง”             “ไม่เคยทำอะไรเลยค่ะ ลุงไม่ต้องห่วง คนเราเรียนรู้กันได้ ว่าไปแล้วหนูก็เคยปลูกถั่วงอกมาก่อน” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดาเหมือนการปลูกถั่วงอกคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เจ้าของไร่ถึงกับคิดหนัก ไม่รู้ตัวเองคิดถูกหรือผิดถึงได้ใจอ่อนให้เจ้าหล่อนเข้ามาดูแลแปลงผัก             “ผมจะให้คุณรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน แล้วก็ไปช่วยป้ามะลิในครัว ตกลงไหม” ที่แปลงผักกำลังขาดคนดูแล เขาจึงให้เธอมาทำงานตรงนี้แทนเพราะงานมันสบายกว่า ดูแล้วหญิงสาวน่าจะทำได้             “ตกลงค่ะ แค่นี้สบายมาก ลุงจะให้หนูเริ่มเลยไหม”             “วันนี้ยังไม่ต้องทำค่อยมาเริ่มพรุ่งนี้ คุณเห็นตรงนั้นไหม” เขาชี้ไปตรงหน้าซึ่งเป็นผืนดินว่างเปล่าไม่มีผักขึ้นแม้แต่ต้นเดียว หญิงสาวจึงพยักหน้าหงึก ๆ จากนั้นเจ้านายหนุ่มก็เริ่มสาธยายว่าตนเองจะทำอะไรกับพื้นที่ตรงนั้นบ้างโดยจะเริ่มทำในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าตรู่ และเธอก็ต้องเป็นคนทำด้วยในฐานะคนดูแลแปลงผัก             ในระหว่างที่สองหนุ่มสาวกำลังทำความเข้าใจกับแปลงผัก แม่บ้านร่างท้วมก็ออกมาเจอพอดีจึงเข้าไปทักทายเจ้านายของตนเอง ถามไถ่ถึงอาหารเที่ยงที่เจ้านายอยากกินเป็นพิเศษ และสิ่งที่หญิงสูงวัยคนนี้พูดออกมาทำเอาหญิงสาวร่างบางตัวซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว กลัวจะโดนไล่ออก             “คะ คุณป้า ระ เรียก คะ คุณลุงคนนี้ว่า คุณคิน” ก่อนจะเดินมาทำงานเธอได้สอบถามเพื่อนร่วมงานแล้วถึงชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าของไร่และท่องจนขึ้นใจ แต่ไม่คิดว่าผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของไร่ส้มอันใหญ่โตมโหฬารแห่งนี้จะเป็นเขา             “จ้ะ ไม่ให้ป้าเรียกคุณคินแล้วจะให้เรียกอะไรกัน”             “มะ หมายความว่าลุงคนนี้คือเจ้าของไร่ไม่ใช่หัวหน้าคนงาน?”             “ครับ ผมเป็นเจ้าของไร่ไม่ใช่หัวหน้าคนงาน ผมคิน อัครโภภาคิน”             เพล้งงงงงงงง ใบหน้าขาวใสไร้สิวแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเขาแนะนำตัว             “ละ แล้วทำไมไม่บอกคะ นะ… หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ว่าลุงคือเจ้าของไร่ ลุงอย่าไล่หนูเลยนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”             “ผมขี้เกียจอธิบาย แต่ถ้าคุณยังไม่เลิกเรียกผมว่าลุง ผมไล่คุณออกแน่”             “ฮือ อย่านะคะลุง เอ๊ย คุณคิน หนูอยากมีงานทำ”             “เอาเป็นว่าครั้งนี้ผมยกโทษให้ อย่าให้ผมได้ยินอีกนะ แล้วคุณชื่ออะไร คุยกันมาตั้งนาน ผมยังไม่รู้ชื่อเลย อายุเท่าไหร่ แล้วมาจากไหน”             “หนูชื่อขนมเบื้องค่ะ อายุยี่สิบสามปี เป็นคนเชียงใหม่เหมือนกัน”             “เอาเป็นว่าวันนี้ผมให้คุณไปพักตามสบาย พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มงานกัน ป้ามะลิครับ เด็กคนนี้จะเข้าไปช่วยป้าในครัว ผมฝากป้าดูแลด้วยนะครับ ผมให้เธอดูแลผักพวกนี้กับช่วยป้ามะลิ”             “ได้เลยค่ะคุณคิน” ป้าแม่บ้านรับคำสั่งของเจ้านายด้วยรอยยิ้มและไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มให้พนักงานใหม่ที่ดูรูปร่างหน้าตาแล้วไม่เหมาะกับการเป็นคนงานดูแลแปลงผักแม้แต่น้อย จากนั้นคนสูงวัยก็ขอตัวไปทำงานต่อทิ้งให้เจ้านายหนุ่มอยู่กับเด็กสาวตามลำพัง ขนมเบื้องจึงใช้โอกาสนี้ขอตัวไปพักผ่อนตามที่เขาสั่งเนื่องจากอายกับความเข้าใจผิดของตนเอง             “หนูไปก่อนนะคะคุณคิน สวัสดีค่ะ”             “พรุ่งนี้หกโมงเช้าเจอกันตรงนี้ ห้ามสาย”             “หกโมงเช้า!”             “ทำไม คุณตื่นไม่ได้เหรอ”             “ไม่ ๆ ๆ ๆ หนูตื่นได้สบายมาก หกโมงเช้าพรุ่งนี้เจอกันแน่นอน ลาอีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ”             เธอยกมือขึ้นมาทำความเคารพเจ้านายหนุ่มเสร็จก็รีบจ้ำอ้าวกลับห้องพักของตนเองด้วยความรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นคนสนุกสนานเฮฮา แต่การทักเจ้าของไร่ว่าเป็นหัวหน้าคนงานแถมยังเรียกเขาว่าลุงอีกมันไม่สนุกเอาเสียเลย             คินมองหญิงสาวร่างบางเดินหายไปจากสายตาก็รีบต่อสายหาลุงชาติทันที แล้วสอบถามข้อมูลของพนักงานคนใหม่ด้วยความสงสัยปนระแวงกลัวเธอจะเป็นสายของศัตรู และกำชับให้ลุงชาติเอาเอกสารการสมัครงานมาให้เขาด้วย ถ้าเธอเป็นสายของศัตรูเขาไม่เอาไว้แน่             ส่วนหญิงสาวเมื่อกลับไปถึงห้องพักที่อยู่ในบ้านพักของคนงาน เธอก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างคนหมดแรงและหวนคิดไปถึงสาเหตุที่ตนเองต้องระหกระเหินออกจากบ้านด้วยความแค้นใจ ไฟแห่งความเกลียดชังลุกโชนในความรู้สึกนึกคิดพร้อมที่จะแผดเผาผู้หญิงคนนั้นให้กลายเป็นผุยผง และอดที่จะน้อยใจบิดาไม่ได้ ถ้าท่านฟังเธอสักนิดเรื่องราวคงไม่เป็นแบบนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม