“อร่อย!” เมื่อกลับมาจากบ้านของท่านผู้นำสองพี่น้องก็ตักบัวลอยไข่หวานมากิน ไม่ลืมที่จะแบ่งไปให้คนงานคนอื่นด้วย
“อร่อยก็กินเยอะๆ” หนิงลู่ซือกลล่าวกับน้องสาวตัวน้อยของนาง
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่บัวลอยไข่หวานพวกเราทำขายได้ไหมเจ้าคะ”
“ได้สิ พี่ใหญ่กำลังคิดว่าจะซื้อร้านค้าในเมืองไว้ขายผักผลไม้ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะลองหาร้านไว้ขายขนมพวกนี้ด้วยดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ ข้าก็จะช่วยพี่ใหญ่ด้วย”
“เด็กดี ไว้พี่ใหญ่จะทำขนมอย่างอื่นมาให้เจ้ากินอีก” นางยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ ของน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“ดีที่สุดเจ้าค่ะพี่ใหญ่” ได้กินของอร่่่อยๆ ใครบ้างจะไม่ชอบ เด็กน้องจึงรีบตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิด
“เดี๋ยววันพรุ่งพวกเราเข้าเมืองไปดูร้านค้ากันนะ”
“เจ้าค่ะ” ตอบกลับพี่สาวแล้วก็ตักบัวลอยไข่หวานคำโตกินหนึ่งคำ
“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วเจ้าก็เก็บถ้วยไปล้างนะ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะไปสั่งงานพวกท่านลุงที่แปลงผักสักหน่อย”
“ซานเกอ” เว่ยซานที่มาทำงานในแปลงผักหันไปตามเสียงเรียก
“อาซือ เรียกข้ามีธุระอะไรหรือไม่” ตอนนี้เลยเวลาพักเที่ยงแล้ว คนงานหลายคนกำลังนั่งพักให้อาหารย่อยกันอยู่ตามมุมต่างๆ
“ข้าได้ซื้อที่เพิ่มอีก 30 หมู่ ถัดจากบ่อปลาของเราเจ้าค่ะ จึงอยากจะให้พวกท่านแผ้วถางและเตรียมดินให้พร้อมสำหรับการเพาะปลูกเจ้าค่ะ” คนงานได้ยินว่านางซื้อที่ดินเพิ่มก็รู้สึกตกใจไม่น้อย ในเวลาในถึง 2 เดือน นางซื้อที่ดินไปแล้วถึง 80 หมู่
“ได้ เดี๋ยวพี่จัดการให้” เว่ยซานรู้สึกทึ้งกับลูกของสหายท่านแม่ยิ่งนัก
“อีกเรื่อง เมื่อเช้าข้าขึ้นเขาแล้วเจอพืชที่อยากจะนำมาปลูกตรงที่ดินที่เพิ่งซื้อ อีกสักครึ่งชั่วยามเดี๋ยวข้าจะนำพวกท่านขึ้นไป แล้วให้พวกท่านแบ่งคนกันไปทยอยขนลงมาเจ้าค่ะ”
“ได้ ไม่มีปัญหา เจ้าก็ไปเตรียมตัวเถิดเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วยามเจอกันที่ลานบ้านเจ้า”
ครึ่งชั่วยามต่อมาคนงานบ้านหนิงก็เดินขึ้นเขาตามหนิงลู่ซือ ให้หนิงลี่อินและเจ้าตัวป่วนอยู่เฝ้าบ้านกับพวกพี่สาวโรงเพาะถั่วงอกอีก 2-3 คน
เมื่อถึงจุดที่หนิงลู่ซือพามา นางก็อธิบายการเก็บเกี่ยวผลและการนำต้นของพืชลงไปปลูก ในส่วนของมันเทศนั้นมีเยอะมากหนิงลู่ซือจึงให้เก็บผลเอาไปเก็บไว้ที่โรงเพาะถั่วงอกก่อน เมื่อเสร็จแล้วจะแบ่งให้ทุกคนเท่าๆ กัน
“งานตรงนี้ข้าฝากท่านด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้ ตอนนี้พวกพี่เข้าใจวิธีการหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง” เว่ยซานเอ่ยบอกหนิงลู่ซือ
“เจ้าค่ะ วันนี้ทุกคนก็ลงเขากันก่อนเถอะเจ้าค่ะ ค่อยมาเริ่มกันวันพรุ่ง”
ยามเหม่าของวันถัดมา
“อาซือ เจ้าก็จะเข้าไปในเมืองหรือ” เจียวมิ่งเห็นหนิงลู่ซือกับหนิงลี่อินจึงเอ่ยถามขึ้น
“ใช่ๆ พวกเจ้าก็จะไปขายของแล้วใช่หรือไม่” หนิงลู่ซือเห็นหญิงสาวที่ทำงานในโรงเพาะถั่วงอกช่วยกันขนถั่วงอกกับปลาขึ้นรถเข็นพอดี
“ใช่แล้ว ถั่วงอกของเหลาอาหารเซียงเซียงพวกเขาก็มาเอากันไปแล้ว หรือแต่ที่จะนำไปตั้งขายที่ตลาด”
“เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวข้าขอเข้าไปในแปลงผักสักครู่”
“ฟานเกอ” หนิงลู่ซือเดินเข้าไปหาฟานเกอหรืออู๋ฟาน คนงานคนหนึ่งในแปลงผัก
“อาซือ เรียกข้ามีธุระอันใดหรือไม่” ตอนนี้พวกคนงานชายมากันครบแล้ว บางคนเตรียมตัวเพื่อขึ้นเขา และมีบางส่วนที่เตรียมตัวทำงานในแปลงผัก
“ฟานเกอวันนี้ท่านเข้าเมืองกับข้าได้หรือไม่ ข้าว่าจะซื้อเกวียนวัวมาไว้ใช้งาน ได้ยินว่าท่านเคยทำงานในโรงขายสัตว์จึงอยากให้ท่านช่วยเลือกเจ้าค่ะ”
“ได้สิ จะไปกันเลยหรือไม่”
“ไปกันเลยเจ้าค่ะ”
อู๋ฟานเดินไปบอกกับคนงานคนอื่นๆ ว่าเขาจะเข้าเมืองไปกับหนิงลู่ซือ จึงฝากงานทางนี้ให้พวกเขาช่วยดูแลก่อน
หนิงลู่ซือ หนิงลี่อิน อู๋ฟาน เจียวมิ่งและคนงานหญิงที่ต้องมาขายของ กำลังเดินมุ่งหน้าเข้าเมือง โดยมีอู๋ฟานเข็นรถเข็นที่มีทั้งถั่วงอกและปลา โดบนนรถเข็นมีเด็กน้อยใส่ชุดสีชมพูถักเปีย 2 ข้างนั่งอยู่ 1 คน คนที่มีความสุขที่สุดในการเข้าเมืองครั้งนี้ก็คงเป็น หนิงลี่อิน นี่แหละ ดูเอาเถิดนั่งโยกหัวไปมาอย่างอารมณ์ดีเชียว
“อาอินไปในเมืองหรือ” เด็กหญิงคนหนึ่งเดินอยู่กับมารดาของตน ตะโกนถามหนิงลี่อินที่นั่งอยู่บนรถเข็น อู๋ฟานจึงหยุดรถให้เด็กทั้งคู่ได้พูดคุยกัน
“ใช่แล้วอาถิง ข้ากำลังจะเข้าไปในเมือง ไปด้วยกันหรือไม่” หนิงลี่อินตอบกลับสหายของตน
“ข้าไปได้หรือ” ผิงถิงถิงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เมื่อก่อนครอบครัวของผิงถิงถิงไม่ได้มีเงินมากมายที่จะพานางไปเที่ยวเล่นในเมือง แต่หลังจากท่านพ่อได้ทำงานกับพี่สาวของหนิงลี่อินก็มีบ้างที่นางจะได้เข้าไปเที่ยเล่นในเมือง
“พี่ใหญ่ให้อาถิงไปกับเราได้หรือไม่เจ้าคะ” หนิงลี่อินหันมาถามพี่สาวของตนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เจ้าต้องขออนุญาตจากท่านแม่ของอาถิงก่อนว่าให้ไปหรือไม่ ถ้าท่านแม่ของอาถิงให้ไป พี่ใหญ่ก็ให้ไป” ถ้าจำไม่ผิดพ่อของผิงถิงถิง ทำงานอยู่ในแปลงผักของนาง เขาเป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว
“ไม่ต้องหรอกอาซือ ถ้าอาถิงไปก็คงจะเป็นการรบกวนเจ้าเปล่าๆ” แม่ของผิงถิงถิงเอ่ยบอกกับหนิงลู่ซือ
“ไม่รบกวนหรอกเจ้าค่ะท่านป้า เดี๋ยวข้าจะดูแลนางเอง”
“แต่ว่า…”
“เดี๋ยวข้าจะช่วยดูแลด้วยอีกแรงขอรับท่านป้าเหม่ย” อู๋ฟานเอ่ยสนับสนุนอีกแรง จะไม่ให้เขาช่วยพูดได้เยี่ยงไร เมื่อสายตาของหนิงลี่อินอ้อนวอนเสียขนาดนั้น
“เอาเช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นข้าฝากนางด้วยนะ” สุดท้ายอ้ายเหม่ยก็ยอมให้ลูกสาวเข้าเมืองกับพี่น้องตระกูลหนิงด้วย
“เย้” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองร้องออกมาอย่างดีใจ
“เจ้าก็อย่ารบกวนพี่สาวเข้าใจหรือไม่” อ้ายเหม่ยหันมาบอกลูกสาวตัวน้อยของนาง
“เข้าใจเจ้าค่ะท่านแม่”
“อาถิงมานั่งตรงนี่” หนิงลี่อินตบที่ว่างด้านข้างของตัวเอง แปะ แปะ
สุดท้ายในรถเข็นก็มีเด็กน้อยเพิ่มมาอีก 1 คน มีเสียงพูดคุยไปตลอดทางเมื่อถึงในเมืองอู๋ฟานก็เข็นรถไปส่งจนถึงแผงขายของ
“ข้ากำลังจะหาซื้อร้านพวกเจ้าจะได้ย้ายไปขายที่ร้าน เพราะต่อไปคงมีของขายมากขึ้น ทั้งยังมีผักในแปลงของอีก และก็จะซื้อเกวียนวัว พวกเจ้าจะได้ไปต้องเข็นรถเข็นให้เหนื่อย”
“ตอนนี้ของที่ขายมีแค่ถั่วงอกกับปลาก็ยังขายที่แผงได้ แต่ในอนาคตถ้ามีผักในแปลงมาขายด้วย แผงแค่นี้คงตั้งไม่พอแน่ๆ เจ้าคิดถูกแล้วที่จะซื้อร้าน” เจียวมิ่งพูดเสริม
“ช่วงนี้พวกเจ้าก็ขายที่นี่ไปก่อน ถ้าข้าได้ร้านแล้วจะรีบแจ้งพวกเจ้า” ตอนนี้ผักของนางโตจนใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว หวังว่านางจะหาร้านได้ก่อนการเก็บเกี่ยวจะมาถึง
“อืม พวกเจ้าก็ไปทำธุระเถิด ข้ากับคนอื่นๆ ก็จะขายของแล้ว”
“ได้ ฝากพวกเจ้าด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหา” แล้วทั้ง 4 คนก็เดินไปยังโรงค้าสัตว์
สุดท้ายแล้วหนิงลู่ซือก็ได้วัวหนุ่มมา 2 ตัว พร้อมเกวียนเทียมวัว อ่า หมดเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“วัว วัวแหละอาถิง” หนิงลี่อินดูตื่นเต้นไม่น้อย ตอนนี้เด็กทั้งสองกำลังเอามือลูบๆ คลำๆ ที่ลำตัวของวัว
“ตัวมันใหญ่มากเลยอาอิน”
“ใช่ๆ ตัวมันใหญ่มาก ใหญ่กว่าต้าเป่า กับเสี่ยวเป่าเสียอีก” กล่าวจบก็เอามือลูบๆ คลำๆ กันไม่หยุด
“พวกเจ้าลูบกันพอหรือ ถ้ายังค่อยไปลูบมันต่อที่บ้าน ตอนนี้พี่ใหญ่ยังมีธุระต้องไปทำอีกหลายที่เลย”
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” เป็นผิงถิงถิงที่เอ่ยขอโทษออกมา
“เจ้าจะขอโทษทำไมอาถิง เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” หนิงลู่ซือยกมือลูบหัวเด็กน้อย “พี่ใหญ่ว่าเราไปกันเถิด”
“พี่ใหญ่ท่านตั้งชื่อให้วัวหรือยังเจ้าคะ” ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่ได้ตั้ง หนิงลี่อินคนนี้จะตั้งเอง!
“ยังไม่ได้ตั้งเลย เจ้าอยากตั้งหรือ” หนิงลู่ซือมองน้องสาวที่นั่งอยู่บนเกวียนอย่างรู้ทัน เนื่องจากสถานที่ที่จะไปแต่ละแห่งยังอยู่ในเขตตัวเมือง อู๋ฟานจึงเลือกที่จะจูงเกวียนเทียมวัวแทน และให้เจ้าตัวเล็กทั้งสองขึ้นไปนั่งบนเกวียนจะได้ไม่ต้องเดินกันให้เหนื่อย
“คิกคิก ใช่เจ้าค่ะ”
“งั้นเจ้าก็ตั้งเถิด”
“เจ้าค่ะ เจ้าตัวนี้ชื่อต้าไป๋ เจ้าตัวนี้ต้าจง ดีหรือไม่เจ้าคะ” ตั้งง่ายดีนะน้องสาวนาง ตั้งตามสีตัวของวัว เพราะวัวตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวสีน้ำตาล
“พี่ใหญ่ตามใจเจ้า” เสร็จจากเรื่องซื้อเกวียนก็ไปยังสถานที่ราชการเกี่ยวกับการซื้อขายอาคาร
อาคารหลังแรกเป็นอาคาร 2 ชั้น เคยเป็นร้านขายข้าวสารมาก่อน ชั้นล่างไว้ขายของ ชั้นบนสามารถใช้ในการพักผ่อน อยู่ในตลาดที่มีคนจับจ่ายตลอดเวลา ถือเป็นทำเลที่ดีทีเดียว ปรับปรุงนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
อาคารหลังที่ 2 อยู่ในละแวงของร้านอาหาร เป็นอาคาร 2 ชั้นเช่นกัน หลังนี้หนิงลู่ซือจะใช้เป็นร้านขายขนม นางจะปรับปรุงและตกแต่งให้คล้ายๆ กับร้านคาเฟ่ในยุคที่จากมา
คนที่รับหน้าที่ในการปรับปรุงร้านทั้ง 2 แห่งของนางก็คือร้านของท่านลุงฮุ่ยเหอ นอกจากจะไปจ้างให้ปรับปรุงร้านแล้ว นางยังได้เงินส่วนแบ่งมาอีก 1,000 ตำลึง มีรายได้หลายทางมันดีจริงๆ เสร็จแล้วก็พาทุกคนไปหาของอร่อยๆ กิน คนที่มีความสุขมากกว่าใครก็คงจะเป็นเด็กน้อยทั้ง 2 คน
“อาซือ กำลังทำอันใดอยู่เหรอ” หลินจูกล่าวถาม วันนี้นางเอาข้าวมาให้บุตรชายในแปลงผัก จึงถือโอกาสมาหาสองพี่น้องที่บ้านด้วย เนื่องจากตอนนี้หนิงลู่ซือไม่ได้มีข้าวเที่ยงเลี้ยงแล้ว ทุกคนจะต้องรับผิดชอบกับข้าวเที่ยงของตนเอง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นทุกคนก็ยินดี
“คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือหันมาทักทายท่านป้า แต่มือก็ยังหั่นกล้วยเป็นชิ้นพอดีคำอยู่
“คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ ข้ากับพี่ใหญ่ กำลังทำขนมกันเจ้าค่ะ” เป็นหนิงลี่อินที่ช่วยพี่ใหญ่ปอกเปลืองกล้วยตอบแทน ส่วนเจ้าตัวป่วน 2 ตัว นางไล่ให้ไปเฝ้าสวนสมุนไพรและแปลงผักแล้ว จนตอนนี้กลายเป็นที่รักของทุกคนไปเสียแล้ว
“ทำขนมหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะท่านป้า กล้วยในสวนกำลังเหมาะในการทำขนม ข้าก็เลยเก็บมาทำขนมเจ้าค่ะ” ตอนนี้แปลงผัก ผลไม้ของนางใกล้เก็บเกี่ยวได้แล้ว การเก็บเกี่ยวครั้งแรกจะเกิดขึ้นในอีก 3 วันข้างหน้า พร้อมกับการเปิดร้านขายผัก ผลไม้ และของอื่นๆ ในตัวเมือง
“ไหนมีอะไรให้ป้าช่วยบ้าง” หลินจูอาสา
“เช่นนั้นท่านป้ามาหั่นกล้วยก็ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะตั้งเตาต้มกะทิ”
“ได้ๆ”
หนิงลู่ซือตั้งหม้อใส่หางกะทิลงไปในหม้อเพิ่มความหอมด้วยการใส่ใบเตยลงไป รอจนน้ำเดือดก็ใส่น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทราย เกลือ คนให้เข้ากันและใส่กล้วยที่ถูกหั่นเตรียมไว้แล้วลงไป เมื่อน้ำกะทิเดือดก็ใส่หัวกะทิตามลงไป ต้มจนน้ำกะทิและกล้วยเดือดอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จ
“น่ากินจังเลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่” หนิงลี่อินจ้องขนมตรงหน้าไม่วางตา นางอยากกินแล้ว
“ไปหยิบถ้วยมาสิ เดี๋ยวพี่ใหญ่ตักให้”
“เจ้าค่ะ” ไม่รอช้า หนิงลี่อินรีบวิ่งไปหยิบถ้วยมา 3 ใบ หนิงลู่ซือรับถ้วยจากน้องสาวตักถ้วยแรกยื่นให้หลินจู ต่อด้วยน้องสาว และนาง
“อร่อยจังเลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่” พี่ใหญ่ของนางทำอะไรก็อร่อย
“ขนมนี้มันเรียกว่าอะไรหรือ” หลินจูถามด้วยความสงสัย
“เรียกว่า ‘กล้วยบวชชี’ เจ้าค่ะ” นางกล่าวตอบ
“ป้าไม่เคยได้ยินชื่อขนมนี้มาก่อนเลย” หลินจูกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ข้าเคยอ่านเจอจากหนังสือของท่านพ่อเจ้าค่ะ” โยนให้ท่านพ่อไปก่อนก็แล้วกัน
“แต่ก็อร่อยจริงๆ นั่นแหละ” กล่าวจบหลินจูก็ตักกล้วยบวชชีเข้าปาก “แล้วเรื่องเปิดร้านในตัวเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ ในการขายปลีกหรือการขายหน้าร้านข้าจะให้เจียวมิ่งเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ในช่วงแรกข้าจะไปดูด้วยตนเองก่อนเจ้าค่ะ และในการขายส่งหรือการขายให้กับลูกค้าที่มารับเองที่สวนผักซึ่งจะเป็นลูกค้าที่ทำสัญญา ข้าให้ซานเกอเป็นผู้รับผิดชอบเจ้าค่ะ ส่วนคนที่จะขนผักไปให้ที่ร้านหลักๆ ก็คือฟานเกอเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกค้าที่มารับที่สวนผักเองจะมีเพียงแค่เหลาอาหารเซียงเซียงแต่ในอนาคตอาจจะมีมากกว่านั้นก็ได้ และตอนนี้นางก็ได้ซื้อเกวียนวัวเพิ่มอีก 2 คัน เพราะจะได้สะดวกเวลาใช้งาน ไม่ต้องรอใช้เกวียนเพียงแค่คันเดียว
“เจ้ามีอันใดให้ป้าช่วยก็บอก ไม่ต้องเกรงใจเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านป้า”
“แล้วอีกร้านหนึ่งละเจ้าจะขายอะไรรึ”
“อีกร้านนึง ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงเจ้าค่ะ ข้าจะทำเป็นร้านขายขนม มีขนม มีน้ำ ท่านป้าคิดว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ขนมแบบนี้หรือ” หลินจูชี้ไปยังถ้วยขนมของตนเอง
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร”
“ถ้าไม่ลงมือทำเราไม่มีทางรู้หรอกว่าผลตอบรับจะดีหรือไม่ แต่ป้าว่ามันต้องดีแน่นอน เพราะขนมของเจ้าอร่อยมาก”
“ใช่เจ้าค่ะท่านป้า ขนมของพี่ใหญ่อร่อยมาก ข้ากินไปถึง 2 ถ้วยแล้ว” หนิงลี่อินเงยหน้าจากถ้วยขนมที่หมดไม่เหลือแม้แต่กะทิขึ้นมามองทุกคน
“พี่ใหญ่เชื่อแล้วว่าอร่อยจริงๆ” เพราะแม้แต่น้ำกะทิก็ไม่เหลือ หนิงลี่อินยิ้นเขินๆ ให้พี่สาวของตน ก็มันอร่อยจริงๆ นี่นา ว่าแล้วก็เอาเพิ่มอีกถ้วยดีกว่า