ตอนที่ 9-2

2072 คำ
คราวนี้เป็นหนิงลู่ซือเสียเองแล้วที่พูดไม่ออก นางก็พอรู้อยู่บ้างว่าโสมนั้นมีราคาแพง แต่ไม่คิดว่าจะแพงขนาดนี้ แค่ต้นเดียวยังได้ถึง 100,000 ตำลึง แล้วที่นอนอยู่ในตะกร้าอีก 4 ต้นจะได้เงินเพิ่มอีกเท่าไหร่กัน! รวยแล้วๆ นางกับน้องสาวรวยแล้ว “เอ่อ ท่านลุงเจ้าคะ” “ว่าอย่างไรอาซือ” ได้ยินเจาเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้แล้วนางขนตั้งชันเลยทีเดียว “ข้ายังมีโสมคนอีกเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือตัดสินใจเอ่ยออกไป “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เจาเจ๋อไม่สามารถเก็บอาการได้อีกแล้ว ต้นเดียวยังทำเขาพูดไม่ออก นี่ยังมีอีก วันนี้ตนคงได้นอนกอดโสมแทนภรรยาแน่ๆ เพราะกลัวคนจะมาขโมย “อาอินหยิบที่หลือขึ้นมาบนโต๊ะ” หนิงลี่อินได้ยินพี่ใหญ่สั่งก็ล้วงมือไปในตะกร้าแล้วหยิบโสมคนต้นที่สองขึ้นมา เจาเจ๋อกลับมาพูดไม่ออกอีกครั้ง พอเห็นว่าหนิงลี่อินล้วงมือไปในตะกร้าอีกครั้งเขาก็มองตามมือน้อยๆ ไปด้วย หนิงลี่อินหยิบต้นที่สามมาวางบนโต๊ะ เจาเจ๋อตัวแข็งไปแล้ว หนิงลี่อินหยิบต้นที่สี่มาวางบนโต๊ะ เจาเจ๋อเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ หนิงลี่อินหยิบต้นที่ห้ามาวางบนโต๊ะ เจาเจ๋อก็ไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป “หมดแล้วเจ้าค่ะท่า…” ตึง หนิงลี่อินพูดยังไม่จบประโยคเจาเจ๋อก็เป็นลม ลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นเสียแล้ว ผ่านไป 1 ก้านธูป เจาเจ๋อก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หันไปมองทางโต๊ะทำงานที่สองพี่น้องตระกูลหนิงนั่งกินขนม จิบน้ำชากันอยู่ ก็ลากสายตาไปบนโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีโสมคนอยู่ห้าต้น! เห็นดังนั้นเขาก็รีบพุ่งตัวมาที่โต๊ะทำงานทันที “โสมคนของข้า” เจาเจ๋อหยิบโสมคนมากอดไว้ แล้วลูบมันเบาๆ กลัวว่าถ้าลูบมันแรงๆ แล้วมันจะช้ำเอาได้ “ท่านลุงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” หนิงลี่อินถามเมื่อเห็นเจาเจ๋อพุ่งตัวมาที่โต๊ะอย่างไว “ลุงไม่เป็นอันใดแล้ว ลุงแค่ตกใจนะ” “ข้าเห็นท่านลุงล้มลงไปหงายท้อง ตกใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” เด็กน้อยพูดบอกกับเจาเจ๋อ “ลุงทำให้อาอินตกใจแล้ว ลุงขอโทษเจ้าด้วย” “ถ้าท่านลุงหายตกใจแล้วเรามาพูดกันต่อดีหรือไม่เจ้าคะ” หนิงลู่ซือแกล้งเจาเจ๋อ “ได้ๆ โสมทั้งห้าต้นข้ารับซื้อหมด และถ้าเจ้ามีอีกก็เอามาขายให้ข้าได้ ข้าให้ราคายุติธรรมแน่นอน” “เจ้าค่ะ แล้วเรื่องราคาท่านลุงจะให้อย่างไรเจ้าคะ ต้นแรกท่านให้ราคาข้า 100,000 ตำลึง แต่ต้นนั้นข้าว่าอายุมันน่าจะมากกว่า 4 ต้นที่เหลือใช่หรือไม่เจ้าค่ะ” “ใช่ ต้นแรกอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 ปี แต่อีก 4 ต้นอายุน่าจะอยู่ที่ 100 ถึง 500 ปี” เจาเจ๋อหยิบ 2 ต้นซ้ายมือขึ้ยมา “โสมคน 2 คนนี้ อายุของมันน่าจะประมาณ 500 ปี ข้าให้ต้นละ 50,000 ตำลึง ส่วน 2 ต้นนี้” เจาเจ๋อชี้ไปยังโสมคน 2 ต้นที่เหลืออยู่บนโต๊ะ “อายุน่าจะประมาณ 100 ปี ข้าให้ต้นละ 10,000 ตำลึง เจ้าพอใจหรือไม่” โสมคนทั้ง 5 ต้นนี้เจาเจ๋อคิดว่าเขาคงได้กลับมาไม่น้อย “พอใจเจ้าค่ะ” โปรดเรียกนางว่า เศรษฐีนีได้เลย! หนิงลู่ซือยิ้มหน้าบานเดินออกมาจากห้องทำงานของเจาเจ๋อ จุดมุ่งหมายแรกที่หนิงลู่ซือกับน้องสาวไปคือโรงรับฝากเงิน วันนี้นางขายสมุนไพรได้เงินมากถึง 202,040 ตำลึง จะให้นางถือเงินจำนวนมากขนาดนี้เดินไปเดินมาได้อย่างไร “อาอินเจ้ากลายเป็นเศรษฐีนีตัวน้อยแล้วนะ” หนิงลู่ซือพูดหยอกเย้าน้องสาว “อิอิ ต่อไปอาอินก็จะซื้อปิ่นปักผมสวยๆ ให้พี่ใหญ่ได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ และยังซื้อเนื้อให้ต้าเป่ากับเสี่ยวเป่าได้ด้วย” “อาอินสามารถเหมาได้ทั้งร้านเลยนะ และแน่นอนเดี๋ยวเราจะไปซื้อเนื้อให้เจ้าตัวป่วนสองตัวนั้นเช่นกัน” นางไม่ลืมหรอก เพราะเจ้าตัวป่าวทั้งสองทำให้นางได้เจอสมุนไพรล้ำค่าในวันนี้ “งั้นเราไปเหมาที่ร้านพี่สาวมี่กันเจ้าค่ะ” “ฮ่าฮ่า ไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้เราไปฉลองกันดีกว่า” วันดีๆ แบบนี้มันต้องฉลอง สถานที่ที่ถูกเลือกในการฉลองครั้งนี้คือเหลาอาหารเซียงเซียง ที่ครั้งหนึ่งเคยไปบังคับให้ขายปลาให้ เหลาอาหารแห่งนี้มี 2 ชั้น บรรยากาศด้านในคึกคักไม่น้อย มีคนมากินอาหารที่เหลานี้เยอะทีเดียว “เหลาอาหารเซียงเซียงยินดีต้อนรับขอรับ ไม่ทราบว่ามากันกี่ท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งของร้านออกมาต้อนรับ “มา 2 คนเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือตอบเสี่ยวเอ้อร์ “เชิญทางนี้ขอรับ” สองพี่น้องเดินตามเสี่ยวเอ้อร์ไปยังโต๊ะสำหรับ 2 ที่นั่งชั้นล่างของโรงเตี๊ยม “ขอบคุณเจ้าค่ะ” “เชิญแม่นางเลือกอาหารกันก่อนได้เลยขอรับ อีกสักครู่จะมีคนมารับรายการอาหารขอรับ” กล่าวจบเสี่ยวเอ้อร์ก็เดินแยกตัวออกไป “อาอินอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะพี่ใหญ่เลี้ยงเอง” หลิงลู่ซือกล่าวอย่างใจดี “เจ้าค่ะ” เด็กน้อยรับคำแล้วเปิดใบรายการอาหารแต่สุดท้ายก็ต้องพับเก็บไว้เหมือนเดิม “อาอินเป็นอะไร” “พี่ใหญ่ท่านสั่งเถิดเจ้าค่ะ” “ทำไมละ เจ้าอยากกินอะไรก็สั่งเลย” “พี่ใหญ่ ข้าอ่านไม่ออกเจ้าค่ะ” หนิงลี่อินตอบพี่ใหญ่ นางเป็นลูกชาวบ้าน จะอ่านออกได้อยากไร “ได้ เดี๋ยวพี่ใหญ่สั่งเอง” ต่อไปนี้นอกจากสอนนับเลข บวก ลบ เลขแล้ว ต่อไปคงต้องสอนเกี่ยวกับตัวอักษรด้วยแล้ว สุดท้ายแล้วหนิงลู่ซือก็เลือกอาหารขึ้นชื่อของเหลาอาหารมา 3 อย่าง ได้แก่ ไก่ผัดถั่วลิสง หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน และไก่สับ เมื่ออาหารมาวางลงบนโต๊ะ สองพี่น้องก็ลงมือจัดการกินมันลงท้องทันที คนที่อร่อยที่สุดคงจะเป็นหนิงลี่อิน ดูสิกินไม่พูดไม่จาเลย แต่ก็ดีกินเยอะๆ ตัวจะได้อวบอ้วน “ว้าย อาฉิน เจ้าเป็นอะไร” อยู่ๆ ก็มีเสียงตกใจดังขึ้นจากโต๊ะหนึ่ง หนิงลู่ซือจึงหันไปมองตามเสียง เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุน่าจะมากกว่าหนิงลี่อินสัก ปี หรือสองปี มีอาการตาเหลือกขึ้นบน ยกมือคลำลำคอตัวเอง และยังไออย่างรุนแรงอีกด้วย หญิงสาวที่คาดว่าน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่เรียก ‘อาฉิน’ ไม่หยุด ผู้คนโดยรอบต่างแตกตื่น ไม่มีใครกล้าเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ด้วยไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นอะไรกันแน่ แต่ไม่ใช่กับหนิงลู่ซือ อาการแบบนี้เรียกว่า ‘อาหารติดคอ’ ไม่ผิดแน่ ถ้าไม่รีบช่วย อาการอาจจะหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หนิงลู่ซือไม่รอช้ารีบวิ่งไปยังโต๊ะของเด็กคนนั้นทันที เมื่อไปถึงโต๊ะนางก็จับตัวเด็กคนนั้นให้ยืนขึ้นโน้มตัวไปทางด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นหนิงลู่ซือก็มายืนทางด้านหลัง ใช้แขนสองข้างโอบลำตัว กำมือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ ดันมือลงตรงตำแหน่งลิ้นปี่อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดแรงดันในช่องท้อง หนิงลู่ซือทำเช่นนั้นซ้ำๆ ไม่นานก็มีก้อนอะไรสักอย่างหลุดออกมา “แค่ก แค่ก” เด็กชายไอไม่หยุด ไอจนน้ำหู น้ำตาไหล เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หนิงลู่ซือก็ตั้งใจจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง “ขอบคุณเจ้ามากค่ะ ถ้าไม่ได้เจ้าอาฉินลูกชายข้าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้” ผู้เป็นมารดาของเด็กน้อยกล่าว “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะเรื่องเล็กน้อย อาการที่ลูกชายท่านเป็นเมื่อสักครู่นี้ เรียกว่า อาหารติดคอเจ้าค่ะ ถ้าวันข้างหน้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่อีก ก็ให้ทำแบบที่ข้าทำนะเจ้าคะ เพราะถ้าช้าจะทำให้เสียชีวิตได้เจ้าค่ะ” หนิงลู่ซืออธิบายเสร็จก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ โดยมีสายตาหลายคู่มองมา “พี่ใหญ่ ท่านเก่งมากๆ เจ้าค่ะ” เมื่อนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองแล้ว หนิงลี่อินก็เอ่ยชมพี่สาว “พี่ใหญ่เคยบอกเจ้าแล้ว ว่าพี่ใหญ่เก่ง” ได้ทีก็ขอยกยอตนเองหน่อยแล้วกัน “ไอหยา เป็นสตรีแต่กลับกอดผู้ชายกลางที่โล่งแจ้ง ช่างน่าละอายนัก” เสียงลูกค้าคนหนึ่งดังขึ้น “นั่นสิ บุรุษกับสตรีไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน แต่นี่นางกลับกอดกลางสายตาผู้คน” เสียงลูกค้าคนที่สองก็ดังตามมา “นางไปกอดกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่สามีได้เช่นไร ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก” เสียงลูกค้าคนที่สามก็ตามมาอีก และมีเสียงอื่นๆ ตามมาอีกหลายคน ในตอนแรกที่ได้ยินเสียงพูดคุยหนิงลู่ซือก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่เมื่อฟังไปนานๆ เ หมือนจะพูดถึงนางอย่างไรอย่างนั้น ดีที่ตอนนี้โต๊ะของเด็กคนนั้นได้เดินทางกลับบ้านแล้ว เลยไม่ต้องมาได้ยินคำพูดพล่อยๆ ของคนเหล่านี้ “คนเราต้องจิตใจสกปรกขนาดไหนนะ ถึงคิดอกุศลกับหญิงสาวที่อายุเลยวัยปักปิ่นกับเด็กชายอายุไม่ถึง 10 หนาวได้ อาอินเจ้าว่าคนพวกนี้จิตใจสกปรกหรือไม่” “สกปรกเจ้าค่ะพี่ใหญ่” “เจ้าว่าใคร” ลูกค้าคนที่โดนว่าจิตใจสกปรกขึ้นเสียงใส่สองพี่น้องตระกูลหนิง “ข้าแค่พูดลอยๆ ใครอยากรับก็รับไป” “เหอะ ตัวเองเป็นสตรีแต่กลับไปกอดบุรุษที่ไม่ใช่สามีตนเอง เช่นนี้ต่างหากที่เขาเรียกว่าสกปรก” “ท่านรู้จักข้าหรือเจ้าคะถึงมาว่าข้าสกปรก แล้วข้าจะบอกท่านให้นะเจ้าคะ เมื่อครู่เขาไม่ได้เรียกกอดแต่เขาเรียกว่าการช่วยชีวิต เพราะถ้าไม่มีใครช่วย เด็กคนนั้นคงตายไปแล้ว พวกท่านต่างหากที่จิตใจสกปรก ถ้าไม่คิดจะช่วยอะไรตั้งแต่แรก ก็ช่วยหุบปากเน่าๆ ของพวกท่านด้วยเจ้าค่ะ” นางไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะยอมให้ผู้อื่นมายืนด่าโดยไม่คิดตอบโต้ “เจ้า เจ้า” เมื่อเถียงอะไรไม่ออกลูกค้าสาวที่อายุไม่น้อยแล้วก็ยกนิ้วขึ้นชี้หนิงลู่ซือ “ข้าทำไมเจ้าคะ ถ้าท่านไม่หุบปากข้าจะทำให้ท่านหุบเอง” หนิงลู่ซือเริ่มโมโหแล้ว คนพวกนี้ทำให้นางหมดอารมณ์ในการฉลองกับน้องสาวเสียแล้ว “เจ้าจะทำอะไรข้า” “อืม ข้าจะทำอะไรท่านดีนะ หรือว่าจะทำให้อาหารติดคอท่านเหมือนเด็กคนเมื่อครู่นี้ดี หรือจะทำให้ท่านหุบปากไม่ต้องพูดสัก 2-3 วันดี” ถ้ายายป้านี้ยังพูดอีก นางจะทำให้อาหารติดคอจริงๆ ด้วย หรือไม่แน่อาจะตบจนเลือดกลบปากก็เป็นได้ สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงที่ยายป้าคนนั้นเดินออกจากร้านไป พร้อมกับคนอื่นๆ ที่ว่าหนิงลู่ซือ “อาอินมากินกันต่อเถอะ” “เจ้าค่ะ” สองพี่น้องกลับมากินอาหารตรงหน้าต่อไม่ได้สนใจผู้ใดอีก โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของพวกนางนั้นได้อยู่ในสายตาของใครบางคนที่นั่งบนชั้น 2 ของเหลาอาหารตลอดเวลา “นางน่าสนใจดีเจ้าว่าไหม” “อืม น่าสนใจ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม