วันต่อมา
05:50น.
บ้านอบเชย
ห้องนอน อบเชย
อบเชย อบมณีรัตน์….
“คุณหนูคะ…ชุดนักเรียนพร้อมแล้วนะคะ”
“ค่ะ..ขอบคุณนะคะป้านัน^_^”ฉันตะโกนบอกป้านันไปในขณะที่ตัวเองนอนแช่น้ำอยู่ในอ่างอาบน้ำฟองเต็มอ่างอย่างมีความสุข ในมืออ่านหนังสือเรียนไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ผ่านมาสองตอนแล้วฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่เนอะ สวัสดีฉันชื่ออบเชยนะ ชื่อจริง นางสาว อบมณีรัตน์ รัตน์ธิเบต ตอนนี้อายุ16ปี กำลังศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนนานาชาตินารีศึกษา เป็นโรงเรียนหญิงล้วนค่าเทอมขั้นต่ำอยู่ที่ห้าหลักขึ้น ที่ฉันเลือกเรียนที่นี้ก็เพราะมีหลายวิชาให้เลือกเรียนและที่สำคัญโรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในด้านวิชาการมากเพียบพร้อมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษและภาษาจีน คุณพ่อเลยอนุมัติให้ฉันเรียนที่นี้ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่1เลยล่ะ ตอนนี้ก็สี่ปีแล้วที่ฉันอยู่ที่นี้ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ม.4แล้ว เพิ่งจะเปิดเทอมได้แค่เดือนเดียวเอง กิจกรรมก็เข้ามาเลยและฉันที่อยู่ชมรมนาฏศิลป์เลยต้องเป็นตัวเเทนรำเปิดงานของโรงเรียนที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อให้เด็กๆจากต่างโรงเรียนได้มาเยี่ยมชมบูธขายของและบูธกิจกรรมที่ทางโรงเรียนของฉันจัดขึ้นมากมาย ซึ่งปีนี้บูธที่ฉันจัดกับเพื่อนๆคือ คณะในฝัน หรืออาชีพในฝันนั้นเอง เพราะตอนนี้ฉันกำลังคิดหนักเกี่ยวกับการเรียนมหาวิทยาลัย ว่าจริงๆแล้วฉันชอบในอาชีพไหนและอยากเรียนอะไรมากที่สุด เพราะเรามีเวลาอีกแค่สามปีเองในการค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร คุณพ่อฉันเป็นนายแพทย์ที่เก่งที่สุดแถมยังควบตำแหน่งเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่งทั่วประเทศ เงินปัญผลแต่ละเดือนเป็นร้อยล้านเลยล่ะบ้านฉันเลยใหญ่โตยังกับพระราชวังมีเนื้อที่รวมๆแล้วร้อยกว่าไร่ในพื้นที่ของตัวบ้าน จะเดินไปหน้ารั้วบ้านแต่ละทีก็ต้องนั่งรถที่เขาไว้ใช้ออกรอบหรือรถวิ่งส่งนักตีกอล์ฟในสนามนั่นเอง ใหญ่ไม่ใหญ่คิดดูดิ เสื้อผ้าของฉันของใช้แต่ละอย่างก็เป็นของแบรนด์เนมทั้งนั้น พูดง่ายๆรวยตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวเลยล่ะ แต่เงินทำให้ฉันรู้ว่าซื้อไม่ได้ทุกอย่างและคนมีเงินมากมายอย่างฉันไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง ยิ่งคุณพ่อของฉันรวยมากเท่าไหร่ กิจการโรงพยาบาลของท่านมีเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ฉันกับคุณพ่อก็จะเจอกันน้อยลงและเราก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวด้วยกันทานข้าวด้วยกันเหมือนตอนฉันยังเด็กๆเลย ฉันเหงาจัง
ติ๊ดดดดดด
“อ่ะ…ใครโทรมา?”ฉันวางหนังสือเรียนบนโต๊ะข้างขอบอ่างอาบน้ำและหยิบโทรศัพท์ราคาแพงของฉันที่คุณพ่อเพิ่งซื้อให้เมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมาดูว่าใครโทรมา
“ส้มส้ม”
ส้มส้มนั่นเองที่โทรมาหาฉัน ส้มๆเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่เรียนอนุบาลหนึ่งด้วยกันจนตอนนี้นางก็ยังเป็นเพื่อนฉันอยู่ เรียกได้ว่าตัวติดกันมากไปไหนก็ไปด้วยกันมีแต่ชมรมที่นางไม่เข้าชมรมเดียวกับฉันเพราะนางบอกว่า นางขี้เกียจและไม่ใช่ทางของนาง
“ฮัลโหลจ๊ะส้มๆเพื่อนรัก^_^”
(จ้า…อบเชยยยยยยยยยเพื่อนย๊ากกกกกก)ฉันยิ้มกับน้ำเสียงสองของส้มๆและหยิบโทรศัพท์ออกมาจากหูเพราะจะดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าพอดีเป๊ะเลย
“เอ๊ะ?…ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังอ่ะ?”ฉันถามเธออย่างแปลกใจเพราะปกติส้มๆจะตื่นอีกสิบนาทีแปดโมงนู้นแหละและนางก็จะไปโรงเรียนสายทุกวันเลย
(ตื่นเช้าอะไรล่ะ…ยังไม่ได้นอนตั้งหาก)นางว่าเสียงเหนื่อยๆฉันก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
(ก็โดนอีพี่ฟางแกล้งอ่ะ!ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้แกล้งได้แกล้งดี!!)แต่ส้มๆนางก็เป็นผูิหญิงนะ?
(รู้งี้นะสมัครเข้าชมรมเดียวกับแกก็ดี!!)
“ชมรมทำอาหารก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ…แกก็ชอบทำอาหารอยู่แล้วหนิ”
(ไอ้ชอบมันก็ชอบแต่แกรู้ไหม….พี่แกให้ฉันทำเมนูต้มยำเผ็ดๆแต่งหน้าตาแปลกๆ)ฉันกระพริบตาถี่รัวกับคำบ่นที่อัดอั้นไว้ในใจของเพื่อนรักฉันอย่างงงๆนิดหน่อย
(และต้องเป็นเมนูที่ขายดีที่สุดของร้านให้ได้)เมนูที่ขายดีที่สุดของร้านที่ส้มๆพูดถึงคือตอนเปิดร้านขายอาหารตอนเปิดงานโรงเรียนนั้นแหละ นางอยู่ชมรมทำอาหารและบ้านนางก็เปิดร้านอาหารอยู่ข้างๆโรงเรียนฉันนั้นแหละ
“แล้วตกลงคือต้มยำอะไรเหรอ…วัตถุดิบคืออะไรอ่ะ?”
(ต้มยำกบ!!)
“ต้มยำกบ?”ฉันอ้าปากค้างกับคำตอบของเพื่อน แล้วไอ้ต้มยำกบเนี่ยมันจะขายดีไหมนะ คนจะกล้ากินรึเปล่า
(เป็นไงขนาดลูกคุณหนูอย่างแกยังไม่อยากจะกินเลยใช่ไหมล่ะแค่คิดก็จะอ้วกแล้วไหม)
“ไม่น่ะ…น่าลองดีออก^_^”
(แกมันบ้าไปแล้ว…อบเชย)เสียงของส้มๆเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าวตามสไตล์ของนาง หญิงแกร่งทำเป็นทุกอย่างแต่ติดอย่างเดียวคือนางเป็นพวกที่เวลาทำอะไรต้องทำให้สำเร็จห้ามพังหรือล้มเหลวเด็ดขาดและนางต้องเป็นผู้นำและเป็นที่หนึ่งทุกด้านและทุกเรื่องรวมไปถึงทุกอย่าง
“แล้วแกจะทำอะไรอ่ะ”
(ก็คงต้องไปหาซื้อกบที่ตลาดนอกเมืองอ่ะ)
“ตลาดที่บ้านแกไม่มีเหรอ?”
(ไม่มีอ่ะ…คนแถวนี้กินไม่เป็นหรอกจ้ามีแต่พวกต่างจังหวัดเท่านั้นแหละ!)
“แล้วที่โทรมาหาฉันเนี่ยคือต้องการอะไรเหรอ”
(ก็อย่างที่แกคิดนั้นแหละอบเชยเพื่อนย๊ากกกก)เสียงออดอ้อนแบบนี้คือนางจะชวนฉันโดดเรียนสินะ เราสองรู้จักกันดีชนิดที่ว่าแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่และขยิบตาก็รู้ว่าต้องการอะไรแล้วล่ะ
“แต่แกก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี…การที่เราโดดเรียนจะทำให้คุณพ่อคุณแม่และคุณครูเสียใจนะ”
(หยุด!Stop!..ฉันว่าแกควรจะไปเรียนครูน่ะบางที…สอนซะฉันรู้สึกผิด…คิดอยากจะเป็นคนดีขึ้นมาเลย)
(แต่แกก็รู้หนิว่าฉันจะต้องหาของและเอามาลองทำให้ได้และแกรู้ไหม….ฉันต้องทำให้เสร็จในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อเอาไปให้อาจารย์ที่ชมรมชิมก่อนว่าผ่านไหมและถ้าไม่ผ่านฉันจะโดนตัดออกจากเจ้าภาพในการออกร้านครั้งนี้….ซึ่งนั้นจะทำให้ม๊าป๊าอาม่าอากงฉันต้องเสียใจและเสียหน้าที่มีลูกหลานไม่เอาไหนอย่างฉัน!!)ส้มๆพูดรัวมาเป็นชุดไม่รู้ว่านางได้หายใจบ้างรึเปล่า
“แกพูดซะฉันรู้สึกผิดเลย”
(ฮืฮๆๆตั้งแต่ฉันเกิดมาสิบหกปีเต็มก็มีแกเป็นเพื่อนอยู่แค่คนเดียว…เพราะไม่มีใครคบฉัน)ส้มๆว่าพลางทำเสียงน้อยใจ
“โอ๋ๆๆงั้นก็ได้…ฉันจะไปกับแก..เจอกันที่ไหนอ่ะ?”
(หึๆๆต้องได้อย่างนี้สิเพื่อนย๊ากกกก^_^)
(เจอกันที่ร้านพี่ทราย….แต่งชุดนักเรียนมานะแล้วค่อยเอาชุดใส่กระเป๋ามาเปลี่ยนที่นี้เพราะฉันก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน^_^)
(เคป่ะ?)
“เคจ้า^_^”
(รีบๆเลยเดี๋ยวพ่อแกสงสัย)
“จ้า^_^”และส้มๆก็วางสายไป คุณพ่อไม่สงสัยหรอกท่านก็แค่นั่งรถไปส่งฉันแทนคนขับรถที่ลากลับบ้าน และก็มีแค่เพียงเงินก้อนโตที่ถูกโอนเข้าบัญชีฉันทุกเดือนและฉันก็เป็นฝ่ายที่โทรรายงานท่านเองตลอด เราจะเจอกันบ่อยสุดก็ต่อเมื่อคนขับรถที่บ้านฉันลาคุณพ่อก็จะไปส่งฉันที่โรงเรียนและไปรับแต่บางทีท่านก็ไม่ว่างมีประชุมด่วนต้องให้ฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง เพราะที่บ้านฉันมีคนขับรถแค่สองคนน่ะ ของคุณพ่อคนหนึ่งและของฉันอีกคนหนึ่งและดูเหมือนคนขับรถของฉันเขาจะขอลาออกเพราะไม่มีคนดูแลภรรยากับลูกน้อยของเขา ต่อไปฉันคงต้องนั่งแท็กซี่ไปโรงเรียนเองทุกวันแล้วล่ะ
พรึบ
ฉันลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำและเดินไปที่ฝักบัวเพื่อให้น้ำชำระร่างกายของฉันเพื่อจะไปแต่งตัว ฉันใช้เวลาแต่งตัวอยู่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จพร้อมกับเดินออกมาจากห้องเพื่อลงไปยังชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่โตอย่างกับวังโดยการลงลิฟต์ไปยังห้องอาหารเพื่อทานข้าวเช้าและในขณะที่ฉันเดินจะถึงห้องครัวก็พบกับคนสองคนที่อายุใกล้เคียงกันกำลังนั่งทานข้าวด้วยกันหัวเราะอย่างมีความสุข
“คุณพ่อคะ….สวัสดีค่ะ”
“คุณป้าอรคะ….สวัสดีค่ะ”ฉันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองไปอย่างเรียบร้อยและสวยงามตามฉบับกุลสตรีไทยโบราณที่คุณพ่อส่งฉันไปเรียนตั้งแต่ยังเด็ก
“สวัสดีค่ะคุณหลานอบเชย….นั่งสิจ๊ะ^_^”น้ำเสียงที่เป็นมิตรและท่าทางที่ใจดีของคุณป้าอรทัยพี่สาวแท้ๆของคุณแม่ฉันเชื้อเชิญให้ฉันนั่งลงใกล้ๆกับท่าน
“ขอบคุณค่ะ”ฉันยกมือไหว้ท่านอีกรอบและนั่งลงข้างท่านตามคำเชิญและรอให้คนรับใช้ในบ้านยกชามข้าวต้มมาเสริฟ์
“ขอบคุณค่ะ”ฉันเอ่ยขอบคุณพี่คนรับใช้ในบ้านที่เธอเอาชามข้าวต้มหมูร้อนๆมาวางลงตรงหน้าฉัน เธอก็ก้มหัวให้ฉันและเดินไปยืนอยู่ด้านหลังเพื่อรอการเรียกใช้จากเจ้าของบ้าน
“เอ่อนี่….ลูกอบ”
“คะ..คุณพ่อ?”ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าคุณพ่อ ท่านก็วางแก้วกาแฟลงและยิ้มให้ฉัน คุณพ่อของฉันท่านอายุสี่สิบกว่าแล้วแต่ท่านยังดูหล่อสมาร์ทและดูดีอยู่เลย ทำให้วันๆหนึ่งมีแต่ผู้หญิงมากมายวิ่งเข้ามาหาท่านเพื่อจะหวังรวยทางอ้อม
“ต่อไปนี้ลูกคงต้องนั่งแท็กซี่ไปก่อนสักระยะหนึ่งนะลูกเพราะลุงมิ่งเขาขอลาออกแล้ว”
“ค่ะ”
“หลานอบนี่น่ารักเรียบร้อยจังเลยนะคะ”
“ว่านอนสอนง่าย^_^”คุณป้าอรทัยหันมายิ้มให้ฉันอย่างเอ็นดูและก็หันกลับไปคุยกับคุณพ่อของฉันต่อ ฉันจึงลงมือทานข้าวต้มให้เสร็จเพื่อจะไปเรียนโดยรถแท็กซี่
“อิ่มแล้วค่ะ…งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“จ้าลูก^_^”คุณพ่อของฉันพยักหน้าพร้อมยิ้มอบอุ่นให้ฉัน ฉันก็ลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้สวยๆให้คุณพ่อและคุณป้าอรทัยไปอีกทีอย่างนอบน้อม
“คุณหนูคะกระเป๋าค่ะ…รองเท้าค่ะ”
“ขอบคุณค่ะป้านัน”ฉันยกมือขอบคุณป้านันไปเมื่อท่านเอารองเท้ามาวางลงตรงหน้าฉันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงทางลงบันไดบ้านพร้อมกับถือกระเป๋ารอส่งฉันแบบนี้ทุกวันและตอนเย็นก็จะมารอรับฉันทุกวัน ท่านทำหน้าที่คุณแม่ให้ฉันอย่างดีเพราะท่านเคยดูแลคุณแม่ของฉันมาก่อน
“วันนี้อย่าซ้อมรำจนกลับค่ำมืดแบบเมื่อวานอีกนะคะ…ป้าเป็นห่วง”
“ค่ะ^_^”
“ป้าเรียกเเท็กซี่ไว้ให้แล้วนะคะ….คันนี้จะเป็นคันประจำของคุณหนูนะคะป้าติดต่อไว้ให้หมดแล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะคะป้านัน…”ฉันยกมือไหว้ขอบคุณท่านอีกครั้ง ท่านก็ยกมือขึ้นรับไหว้ฉัน
“หนูไปเรียนก่อนนะคะ…สวัสดีค่ะ”
“ค่ะ…ตั้งใจเรียนนะคะคุณหนู^_^”
“ค่ะ^_^”แล้วฉันก็เดินขึ้นแท็กซี่ที่จอดรออยู่ทางลงบันไดบ้านฉัน พร้อมกับหันไปโบกมือบ๊ายบายป้านันและก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเมื่อนึกน้อยใจที่ฉันไม่มีแม่เหมือนคนอื่นเขา…..ทำไมคุณแม่ถึงทิ้งฉันไปนะ….ท่านไม่รักฉันเหรอ?