เธอรีบบึ่งรถจากกรุงเทพฯ หลังขอลางานครึ่งวัน เพื่อมาดูหลาน
หลานสาวของเธอต้องอยู่ในตู้อบสำหรับเด็กแรกคลอด เนื่องจากน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
“เหมือนอินอย่างกับพิมพ์ อย่างนี้หลอกใครว่าเป็นลูกอินได้สบายเลย“
มารดาตามไปยืนข้างๆ พูดขึ้น
“อินตัวเล็กขนาดนี้เลยเหรอคะเมื่อแรกเกิด”
“เราจ้ำม่ำกว่า น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ แต่หน้าตา ปาก จมูก ไม่ผิดเพี้ยนไปจากนี้ รอพอโตอีกหน่อยเถอะจะยิ่งเห็นชัด ไม่เชื่อก็คอยดูไป”
เธอไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าน้ำตาไหลออกมาได้อย่างไร ขณะมองร่างเล็กจ้อยด้วยความซาบซึ้งปลาบปลื้มอธิบายไม่ถูก
“ดูมือสิคะแม่ เล็กนิดเดียว น่ารักจัง!” น้ำตากลบตาและกำลังหยาดหยดเมื่อเงยหน้าขึ้นพูดมารดา
“ดู๊... ลูกคนนี้” ดวงทิพย์มองบุตรสาวด้วยแววตาเอ็นดู พูดเสียงขบขัน “เป็นเอามาก นี่แค่หลานนะ ถ้าเป็นลูกตัวเองจะสักขนาดไหน มาเถอะ ออกไปกันก่อน หมอเขาอนุญาตให้เข้ามาดูเป็นพิเศษนะนี่ คงสารสารคุณน้าที่อุตส่าห์บึ่งรถมาจากกรุงเทพฯ”
เธอถอยออกมา หมุนตัวกลับเพื่อจะเดินออกประตู แล้วก็มีอันชะงักอยู่กับที่
ไม่รู้จริงๆ ว่าบิดาของหลานสาวตัวน้อยอยู่ที่โรงพยาบาล กระทั่งเขาตามเธอกับมารดาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่สีหน้าแววตาเขาขณะมองเธอฉายแววแปลก ซึ่งเธอคิดว่าเขาคงขันที่เธอตื้นตันในการได้เป็นน้าจนเป็นน้ำหูน้ำตา
“เอ้า พ่อณัท มาแต่เมื่อไหร่กันนี่” ดวงทิพย์ทักลูกเขย
“สักพักแล้วครับ ผมเลยไปคุยกับคุณหมอเรื่องยายหนู... อินมาถึงนานแล้วหรือ”
“สักครู่นี้เองค่ะ”
เธอไหว้ทักทายเขา แต่ณัทธรแค่พยักหน้ารับไหว้ สีหน้ายิ้มเมื่อพูดหยอกเธอ
“ได้เป็นคุณน้าละนะ เป็นไง หลานสาวน่ารักไหม”
“น่ารักสุดใจเลยค่ะ”
“พี่ก็ว่าน่ารัก”
ตาคมสบตาเธอกึ่งอึดใจ ก็เมินไปมองบุตรสาวตัวนิด ที่กำลังทำปากจุ๊บๆ เหมือนลูกนกเวลาหิว
“ขอตัวไปหาพี่อัญก่อนนะคะ” เธอบอกเขา
จากนั้นเธอก็เดินเลี่ยงร่างสูงไปออกประตู ปล่อยมารดาอยู่กับชายหนุ่ม
อัญญดานอนหน้าสวย ในชุดนอนราคาแพงมีเสื้อคลุมเข้าชุด แทนเสื้อผ้าของทางโรงพยาลอยู่บนเตียงในห้องพักพิเศษ
“คุณแม่บอกไปละซี”
“ค่ะ อินเลยขอหัวหน้าลางานครึ่งวัน เดี๋ยวก็จะกลับละ พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน”
“ไม่รู้จะมาทำไมให้เสียเวลา”
“แหม... พูดอะไรอย่างนั้นคะ หลานอินทั้งคน แล้วก็หน้าตาเหมือนอินด้วยแหละ”
พูดด้วยความปลาบปลื้มที่หลานน้อยหน้าตาเหมือนตน
อัญญดาทำปากบิดๆ ที่อนิลทิตาไม่เคยชอบ
“เห่ออะไรกันนักหนาไม่รู้ ก็แค่เด็กคนหนึ่ง แต่พี่ประกาศชัดแล้วนะเรื่องจะให้นม”
“ยังไงคะ?”
ครั้งนั้นแหละ ที่เธอได้ยินกับหู กระทั่งทำให้นึกเกลียดพี่สาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้วูบหนึ่ง เมื่ออัญญดาทำท่าทางขนลุกขนพอง ขณะเล่าอย่างขบขันระคนภูมิใจ ที่เอาชนะหมอพยาบาลได้ หลังจากชนะมารดากับสามีได้แล้วสองด่าน ด้วยการยืนกรานที่จะไม่ยอมให้ลูกสาวแรกคลอด ได้ดื่มนมจากอกผู้เป็นแม่
“แค่ต้องทนแบกรับภาระมาตั้งหลายเดือนก็จะอกแตกตายอยู่แล้ว ขืนต้องคอยให้นมเด็กนั่นทุกสองถึงสี่ชั่วโมง วันๆ คงไม่ต้องไปไหน ยายพยาบาลหน้าตูมนั่นยังมีหน้ามาแนะให้ปั๊มใส่ขวด ถ้าไม่อยากให้ดูดจากเต้า ธุระอะไรล่ะ”
“เด็กนั่น?” ได้แต่อุทาน ขณะมองพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ “นั่นน่ะลูกพี่นะคะ?”
“น่าเสียดายที่ปฏิเสธไม่ได้ เอาไหมล่ะ พี่ยกให้เป็นลูกอิน”
อนิลทิตาไม่เคยเห็นใครไร้สัญชาตญาณความเป็นแม่เท่าพี่สาวมาก่อน
หลังจากได้เห็นหน้าหลานสมใจ ฝากสร้อยข้อมือทองคำห้อยตุ้งติ้งสิบสองนักษัตร สำหรับรับขวัญหลานไว้กับมารดาเรียบร้อย ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที
ตลอดทาง เมื่อนึกถึงคำพูด นึกถึงปฏิกิริยาของพี่สาวที่มีต่อบุตรในอุทร ก็ได้แต่ภาวนาให้อัญญดามองเห็นความน่ารักของลูกสาวตัวน้อย ที่ผู้เป็นยายตั้งชื่อให้ว่า ‘พิมพ์ทิตา’
เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ คำภาวนาของเธอไม่เคยสัมฤทธิ์ผล!
อนิลทิตากลับเข้ากรุงเทพฯ สองวันต่อมา
เธอรู้ว่ามารดายังไม่คลายความเศร้าเสียใจต่อการสูญเสียครั้งล่าสุด ก็พยายามโทรคุยด้วยทุกวัน
เวลาล่วงไป ครบสามเดือนนับแต่พี่สาวจากไป ไม่ทันได้มีเวลากลับไปเยี่ยมมารดา อีกทั้งยังขาดการติดต่อสองวันติดกัน เพราะยุ่งปิดงบบริษัท จึงรีบโทรหาทันทีที่จัดการเรื่องงานเรียบร้อย
เธอจำเสียงทุ้มนุ่มพูด “เฮลโหล” ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันบอกว่า “พี่เอง ณัทธร” เสียด้วยซ้ำ
“แม่ละคะ?” ถามเร็ว ในใจเริ่มหวาด เกรงว่ามารดาจะเป็นอะไรไปอีกคน อดีตพี่เขยถึงต้องมารับโทรศัพท์แทน
“คุณอาไม่สบาย หกล้มตั้งแต่เช้าวาน นี่พี่ก็กำลังจะโทรหาอินอยู่พอดี”
“แม่เป็นอะไรมากไหมคะ” ถามออกไปเสียงสั่นด้วยความตกใจ
พร้อมกันนั้นก็เกิดคำถาม ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนใกล้ชิดจึงมีอันเป็นไปต่างๆ นานาเช่นนี้
พ่อมาด่วนจากไปด้วยวัยห้าสิบสอง ต่อมาก็พี่สาว แล้วนี่มารดายัง...
“หมอว่ากระดูกปลายขาร้าว นับว่าโชคดีไม่ถึงกับแตกหัก ถ้าถึงขั้นกระดูกแตกก็จะต้องผ่าตัด นี่แค่เข้าเฝือก ถึงงั้นคงอีกหลายเดือนกว่าจะหายดีเป็นปกติ กระดูกคนมีอายุไม่เหมือนกระดูกเด็ก หรือคนหนุ่มสาว กว่าจะประสานกันได้ต้องใช้เวลา”
“โธ่...แม่!”
อนิลทิตาได้แต่ครึมคราง สมองดูเหมือนจะตื้อขึ้นมา กระทั่งคิดอะไรไม่ออก แม้แต่จะสรรคำมาพูด
“ที่พี่บอก กำลังจะโทรหา”
เสียงมีกังวานทุ้มนุ่มพูดขึ้น หลังจากเงียบไปอึดใจ คงรอให้เธอพูดต่อ แต่เมื่อเธอไม่พูดอะไรจึงตัดสินใจพูดขึ้น
“นอกจากจะส่งข่าวเรื่องคุณอา พี่ยังมีเรื่องจะพูดกับอิน จะว่าเป็นการขอร้องก็ได้”
“ขอร้องเรื่องอะไรคะ?”
“พี่อยากให้อินกลับมาอยู่บ้านเรา”