“ความจริงอะไรคะ?”
“หลานสาวอินไม่ได้คลอดก่อนกำหนดหรอก เมื่อแต่งงานนั้นยายอัญท้องได้สองเดือนแล้ว”
อนิลทิตาเบิกตากว้าง
ถึงเวลาจะผ่านไปนาน แต่ก็ยังพอจำได้ นอกจากความเศร้าโศก เมื่อบิดามาด่วนจากไป อัญญดามีอาการหงุดหงิดเกือบจะเป็นกรุ่นโกรธอยู่ตลอดเวลา แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะพี่สาวต้องเลื่อนกำหนดงานแต่งออกไป ซึ่งก็จริงเหมือนกัน เพียงแต่มีเหตุผลซับซ้อนที่เธอคิดไม่ถึง
แปลกว่า เธอมองภาพณัทธร มณฑารพ เป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ออก
แต่ก็นั่นแหละ อัญญดาสวยบาดตาขนาดนั้น ผู้ชายคนไหนก็คงอยากตีตราจองไว้ก่อนเมื่อสบโอกาส
ท่ามกลางการยอมรับในความเป็นไปได้ ที่ผู้ชายคนหนึ่ง อาจไม่แตกต่างไปจากผู้ชายทั่วๆไป อนิลทิตารับรู้ได้ถึงแรงกระแทกจากความรู้สึกผิดหวัง
“ยายอัญรู้จักกับพ่อณัทตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ ฟังว่าเจอกันที่งานเลี้ยงบ้านเพื่อนอะไรนี้แหละ พี่สาวเราเขายอมกลับมาอยู่บ้านทั้งที่ชอบชีวิตในกรุงมากกว่าช่วงนั้น ก็เพราะรู้ว่าพ่อณัทมีไร่อยู่แถวนี้ เขาก็คงฝันหวานอยู่ละ ว่าจะได้เป็นคุณผู้หญิงของบ้านไร่ มีผัวรวยก็คงช่วยอำนวยความสะดวกสบายได้หลายอย่าง แต่อะไรๆ ก็ไม่เป็นไปตามคิด การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในสิ่งหนึ่งได้ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ แต่พี่สาวเราเขาก็ยังฝันอยู่ ถ้าได้แต่งงานกับเจ้าของไร่หนุ่มฐานะมั่งคั่ง ก็คงได้เที่ยวสนุกเพลินไปโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง เอาจริงเข้า ทั้งสภาพที่กำลังจะเป็นแม่คน ประจวบเหมาะกับคุณพ่อของพ่อณัทมาเสียลงกะทันหันหลังจากลูกชายแต่งงานไม่ทันไร พ่อณัทต้องรับภาระต่างๆ เต็มตัว ต้องลงมือทำเอง ตัดสินใจเองทุกอย่าง แล้วปีนั้นก็เกิดโรคระบาดกับวัวที่เลี้ยง เลยยิ่งไปกันใหญ่”
“อย่างนี้เอง พี่อัญถึงโทรไปบ่นกับอินว่าพี่ณัทไม่มีเวลาให้ แล้วเขาก็เบื่อที่นี่จะตายแล้ว อยากกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ตามเดิม”
“อ้อ! ยายอัญเคยโทรไปบ่นกับอินด้วยรึ?”
น้ำเสียงรวมไปถึงสีหน้าของดวงทิพย์ นอกจากความโศกเศร้าเป็นปฐม ยังดูหมกมุ่น
“ค่ะ โทรหาสองครั้งก่อนคลอด ฟังว่าไม่มีความสุขเลย แต่อินเข้าใจว่าเป็นเพราะอารมณ์ปรวนแปรของคนกำลังท้องกำลังไส้ที่ต้องการความเอาใจใส่จากคนใกล้ชิดมากเป็นพิเศษ ก็พยายามพูดให้ใจเย็นๆ จะฟังหรือไม่ฟังอินก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่อัญก็พูดประโยคหนึ่งก่อนวางสาย เขาว่าอินไม่มีวันเข้าใจ ถ้าไม่มาตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา”
ดวงทิพย์ถอนใจอีกเฮือก ตามด้วยเสียงพูดอ่อนใจระคนเศร้า
“นั่นละ พี่สาวเรา เขาพาลทุกคน โทษทุกอย่าง เว้นตัวเอง เขาทะเลาะกับพ่อณัทหลายครั้งที่ทำเขาให้ต้องมาแบกรับภาระ“
“แบกรับภาระอะไรกันคะ?” อนิลทิตาไม่เข้าใจ
มณฑาธารไม่ใช่ไร่เล็กๆ แต่เป็นไร่ขนาดใหญ่ ทำรายได้แก่ผู้เป็นเจ้าของปีละไม่น้อย พอที่จะซื้อความสะดวกสบายได้ในทุกๆด้าน เธอมองไม่เห็นภาพเอาเลย ว่าพี่สาวจะต้องแบกรับภาระอะไรนักหนา ที่บ้านไร่มีแม่บ้านซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่รู้งาน มีคนทำงานบ้านแต่ละหน้าที่ครบครัน อย่างมากก็แค่ดูแลความเรียบร้อยต่างๆ คอยดูแลเอาใจใส่สามี ซึ่งคนเป็นภรรยาเท่านั้นจะสามารถดูแลได้ใกล้ชิด
แต่แล้วก็รู้ว่า ภาระในความหมายของพี่สาว คนละเรื่องกับที่คิดอยู่
“ยายอัญไม่อยากเก็บลูกไว้”
“อะไรนะคะ?!” อนิลทิตาลืมตัวเสียงดัง
เป็นใครก็ต้องตกใจ
“อินได้ยินไม่ผิดหรอก”
ดวงทิพย์พูดอย่างเข้าใจ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงกึ่งตระหนกของบุตรสาว
“พี่สาวเราเขาไม่อยากมีลูก เขากลัวเสียทรง ที่สำคัญจะทำให้เขาตะลอนๆ ไปโน่นมานี่ไม่ได้จนกว่าจะคลอด ตอนที่ท้องได้สี่ห้าเดือนก็ทะเลาะกับพ่อณัทใหญ่โต ฟังว่าถ้าพ่อณัทเป็นสุภาพบุรุษน้อยกว่าที่เป็นอยู่ ยายอัญคงถูกตบคว่ำไปแล้ว แม่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอกนะ รู้จากแม่หงิมอีกที”
‘แม่หงิม’ มีชื่อจริงๆ ว่า สงิม เป็นคนเก่าคนแก่อยู่กับครอบครัวมณฑารพมานาน เวลานี้อายุหกสิบแล้ว
“แม่หงิมไม่ได้พูดอะไรมากนักหรอก เล่าแค่ว่าไม่เคยเห็นพ่อณัทโกรธแรงขนาดนั้นมาก่อน ถึงกับหนีไปค้างโรงแรมในเมืองทั้งอาทิตย์ อาจกลัวว่าขืนอยู่บ้าน ถูกยายอัญยั่วโมโหไม่หยุดหย่อนจะลืมตัวทำอะไรรุนแรงลงไปแล้วจะมาเสียใจทีหลัง... พ่อณัทน่ะถูกอบรมมาอย่างผู้ดีแท้ เป็นสุภาพบุรุษเต็มเนื้อเต็มตัว ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็น่าสงสารที่สุดละ ถ้าเป็นผู้ชายอื่นน่ะเรอะ เฮอะ! คงไม่มาทนรับความลำบากใจ ทุกข์ใจ เพราะเห็นแก่ผู้ใหญ่ เห็นแก่อะไรหลายๆ อย่างเป็นปีสองปีอย่างนี้”
“พี่อัญคงไม่ได้พยายามจะทำแท้งนะคะ”
เป็นเหตุผลเดียวที่พอจะนึกออก เมื่อนึกถึงความรักที่ณัทธรมีต่อบุตรสาวตัวน้อย เขาคงโกรธมากแน่นอน ถ้ามีคนคิดทำลายสายเลือดของเขา
“ถ้าแม่ไม่พูดเป็นคำขาดเสียก่อน ขืนทำอย่างนั้นเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องมานับแม่นับลูกกันอีก ก็ไม่แน่เหมือนกัน”
ทั้งสีหน้า น้ำเสียงของดวงทิพย์ ส่อแววขุ่นเคือง แปลว่ายังไม่หายโกรธบุตรสาวในเรื่องนี้ แม้อีกฝ่ายจะลาโลกไปแล้ว
“แต่ถึงจะไม่ได้กินยาขับเลือด หรือทำอะไรเพื่อให้ตัวเองแท้ง ยายอัญก็ไม่เคยนึกถึงลูกในท้องสักนาที ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ทั่วไป เขาก็จะกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อลูกในท้อง แต่พี่สาวเราไม่อย่างนั้น เขาควบคุมอาหารกินในปริมาณจำกัดเพื่อไม่ให้น้ำหนักขึ้น... หลานอินก็เหมือนจะรู้นะว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของแม่ ถึงได้เสงี่ยมเจียมตนตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ยายอัญไม่เคยมีอาการแพ้ท้องเลย ช่วงนั้นน่ะพ่อณัทหน้าดำคร่ำเครียด หน้าแทบจะไม่เป็นหน้า เพราะหลายเรื่องประดังประเดเข้ามา ไหนพ่อเพิ่งเสีย ต้องดูแลทุกอย่างคนเดียว แล้วยังมาเจอพี่สาวปัญญาอ่อนของเราอาละวาดจนผู้คนไม่อยากรอหน้า เพราะไม่พอใจที่ถูกบังคับทางอ้อมให้แบกรับภาระเรื่องลูก”
“มาคิดอะไรตอนนั้น ถ้าไม่อยากมีก็น่าจะคุมเสียตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปล่อยให้มีแล้วมาโอดครวญ”
ดวงทิพย์เมินหน้าจากบุตรสาว เงียบไปครู่ใหญ่ เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดเหมาะๆ จึงหันกลับมาตอบ
“แม่ก็ว่าไปอย่างนั้นแหละ แต่เขาก็แก้ตัวไปตามเรื่อง ล้วนแต่ฟังไม่ขึ้น ที่อาละวาดขึ้นมา ก็เพราะทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่เคยวาดฝันเอาไว้ ยิ่งครรภ์โตขึ้นทุกวันๆ จะไปไหนมาไหนก็ยิ่งไม่สะดวก”
“แต่หลังจากคลอดแล้วสถานการณ์น่าจะดีขึ้นนะคะ”
“เลวร้ายกว่าเดิมสิไม่ว่า อินก็รู้ ยายอิงไม่เคยได้ดื่มนมแม่สักหยด!”
“ค่ะ”
“แล้วรู้ไหมอะไรคือเหตุผล ที่พี่สาวเราเขาไม่ยอมให้ลูกกินนมตามที่เด็กควรจะได้รับ... เขากลัวหน้าอกหย่อนยาน กลัวเสียรูปเสียทรง”
อนิลทิตาหวนนึกถึงวันที่เธอเดินทางจากรุงเทพฯ เมื่อได้รับข่าวพี่สาวเจ็บท้องกำลังจะเข้าห้องคลอด
เธอตอบณัทธรไปว่า มีเรื่องต้องทำ ต้องจำมากมาย จะให้มาเที่ยวจดจำทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เห็นจะไม่ไหว เมื่อเขาท้วงขึ้น เรื่องเธอกับเขาเคยเจอกันกี่ครั้งกันแน่
ความจริงเธอยังจำได้ไม่เคยลืม วันที่เธอได้เจอเขาหนที่สาม