“เลือดเจ้าออกมานี่...” อูเซอร์ประคองร่างอวบอิ่มทุกสัดส่วนขึ้นยืนแล้วพาเดินมาที่เก้าอี้ยาวใหญ่สำหรับเอนนอนพักผ่อน
“หม่อมฉัน หม่อมฉัน...” นางกำนัลสาวอึกอักและยิ่งมองไปเพื่อนนางกำนัลหายไปหมดแล้วยิ่งทวีความเขินอายมากยิ่งขึ้น
“ข้าจะให้หมอหลวงมาทำแผลให้เจ้าดีไหม” ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดเนียนแก้มพลางโอบกระชับร่างนุ่มนิ่มเข้ามาเบียดชิดอกกว้างที่เปลือยเปล่า
“เป็นพระกรุณากับหม่อมฉันเหลือเกินเพคะ” กว่าจะหาเสียงตนเองเจอก็แทบละลายไปกองกับพื้น เธอไม่เคยคิดฝันว่าตนเองจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“ข้าดีกับเจ้าใช่ไหม” ดวงตายาวรีมีแววเจ้าเล่ห์และลิ้นร้อนๆ ก็ระคายอยู่ที่ใบหูของอีกฝ่าย
“ดะ...ดะ...ดี...เพคะ” นางกำนัลสาวสั่นสะท้านขยับตัวไปมาอย่างร้อนรุ่มเหมือนมีกองไฟเผาไหม้อยู่ในอก
“ถ้าข้าดีกับเจ้า...เจ้าก็ต้องดีกับข้า...”
ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นมือใหญ่ยังเลื่อนผ่านยอดอกที่ชูชันรับสัมผัสร้อนๆ นางกำนัลสาวกัดฟันแน่นไม่ให้เสียงครางของตนเล็ดลอด แต่ยิ่งนางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ปรารถนาของตนเอง อูเซอร์คาเรก็ยิ่งโจมตีนางด้วยการนวดเฟ้นที่เนินเนื้อนุ่มมือจนร่างนางสั่นเร่าไปมาจนขาเรียวที่เคยหนีบแน่นแยกออกเปิดกว้างอย่างเชิญชวนไม่รู้ตัว มือใหญ่ยังคงเลื้อยไปตามจุดสัมผัสที่ปลุกไฟให้โหมไหม้ นิ้วมือสอดเข้าไปแตะต้องปุ่มที่บวมเป่งอยู่ภายใน นางร้อนฉ่าจนต้องกัดชายผ้าเพื่อไม่ให้เสียงร้องลอดผ่าน แต่กระนั้นมือใหญ่ก็ยังกระแทกกระทั้นอย่างสนุก
ความทรมานที่นางกำนัลสาวได้รับเป็นความหฤหรรษ์ของเขา นางคิดว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดแล้วเมื่อเจ้าชายถอดพระหัตถ์ออกจากส่วนลี้ลับของนาง ทว่าอูเซอร์คาเรกลับพลิกตัวนางให้หันหลังแล้วกดแก่นกายกระแทกใส่อย่างรุนแรง ไม่สนใจเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดของนางมือที่จับสะโพกเพื่อรับพลังมหาศาลของเขาเลื่อนมาจับที่ลำคองามระหง มือเรียวเล็กของนางพยายามจะแกะมือของเขาออกเพื่อจะได้อากาศหายใจ แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่นางก็รู้สึกทรมานมากขึ้น ดวงตาเหลือกโปนแทบทะลักเสียง
กร๊อก!
ดังขึ้นเพียงครั้งเดียวคอนั้นก็พับผิดรูป และไร้การดิ้นรนอีกต่อไป
“บอบบางเหลือเกิน”
อูเซอร์คาเรสบถหยาบอีกหลายคำก่อนจะเหวี่ยงร่างที่ไร้วิญญาณทิ้งพื้นราวเศษซากสวะที่ไร้ค่า เจ้าชายคว้าผ้าผืนหนึ่งเช็ดคราบเมือกที่เลอะกายก่อนใช้เท้าเขี่ยนางกำนัลที่บัดนี้กลายเป็นศพไปแล้ว
“ใครอยู่ข้างนอกบ้างมาเก็บกวาดเศษขยะหน่อย”
นางกำนัลรีบเข้ามาตามคำรับสั่ง เจ้าชายอูเซอร์คาเรเดินผิวปากอารมณ์ดีออกจากพระตำหนักของเสด็จแม่ แต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของนางกำนัล อูเซอร์คาเรหัวเราะออกมา
‘ฆ่าคนนะหรือ? เรื่องงานนิดเดียวเท่านั้น แต่ฆ่ายังไงให้สนุกต่างหากที่ตื่นเต้นมากกว่า’
‘เจ้าลูกสิงโตตัวนี้เป็นของข้า’
อูเซอร์คาเรในวัยสิบขวบประกาศด้วยน้ำเสียงกร้าว วันนี้ฟาโรห์เตติพาโอรสทั้งสองออกไปล่าสัตว์ ด้วยพระปรีชาทำให้พระองค์สังหารสิงโตเพศเมียตัวหนึ่งได้ ทว่ามันมีลูกอ่อนอยู่หนึ่งตัวแม้จะเป็นสิงโตอายุราวขวบปีแต่มันก็ปกป้องร่างไร้วิญญาณที่มีลูกธนูหลายสิบดอกฝังอยู่บนร่าง
‘ถ้าเจ้าคิดว่าสามารถควบคุมมันได้’
ฟาโรห์เตติรับสั่ง ทำให้เจ้าชายอูเซอร์คาเรรีบกระโจนเข้าไป แต่เจ้าสิงโตน้อยขู่คำรามเข้าใส่อย่างไม่หวาดกลัว และตั้งท่าจะทำร้ายเจ้าชายอูเซอร์คาเร
‘ข้าเจ้าชายอูเซอร์คาเรผู้เป็น....เหวอออออ’
ยังไม่ทันที่เจ้าอูเซอร์คาเรจะประกาศความเป็นเจ้าของเจ้าสิงโตน้อยก็กระโจนเข้าใส่ เหล่าทหารรีบเข้าล้อม แต่ไม่มีใครกล้าลงมือเพราะสิงโตตัวนั้นได้เหยียบอยู่บนร่างที่นอนหงายของเจ้าชายอูเซอร์คาเร แส้หนังสีดำทะมึนฟาดลงพื้นอย่างแรง เจ้าสิงโตถึงกับชะงักและถอยหลังไปหนึ่งก้าว เจ้าชายเนเฟอร์คาเรก้าวเดินอย่างสง่างาม ดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความจริงจังจ้องเขม็งไปยังสิงโตน้อยตัวนั้นจนมันถอยหลังไปทีละน้อย และหมอบลงอย่างเงียบๆ ยอมให้เนเฟอร์คาเรลูบแผงของมันเบาๆ
‘ข้า...เจ้าชายเนเฟอร์คาเรจะเป็นเจ้าชีวิตของเจ้าตลอดไป’
อูเซอร์คาเรขบฟันด้วยความโกรธแค้นแต่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกไปได้ เมื่อกลับมาถึงวังของตนนางกำนัลหลายคน พยายามเข้ามาปลอบประโลมเพื่อให้เจ้าชายคลายความตึงเครียด
‘ทำไม! ทำไมมันถึงได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกครั้งไป’
‘พระทัยเย็นๆ เพค่ะเจ้าชายอูเซอร์คาเร’
‘เย็นเรอะ ข้าเย็นไม่ไหวแล้วนะ’
อูเซอร์คาเรหยิบกริชที่แหนบข้างเอวขึ้นจ้วงแทงนางกำนัลผู้โชคร้ายไม่ยั้งมือ แม้จะมีเสียงร้องขอชีวิตของนางกำนัลคนนั้นจนนางสิ้นลม และไม่มีใครกล้าเข้าขวางเจ้าชายเลยแม้แต่คนเดียว
มือเล็กยกขึ้นเช็ดคราบเลือดที่เรอะแก้ม อูเซอร์คาเรในวัยสิบขวบเพิ่งเคยสัมผัสเลือดจากมนุษย์เป็นครั้งแรก และนั่นทำให้เขารู้สึกว่าไฟโทสะที่เผาไหม้จิตใจลดลง การฆ่าคนช่างทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน
‘ลากเอาเศษสวะไปทิ้งอย่าให้กลิ่นเหม็นเน่าของมันคลุ้งในวังของข้า’
และนับตั้งแต่นั้นการปลิดลมหายใจคนเป็นความหรรษาอย่างหนึ่งของเจ้าชายอูเซอร์คาเรพระอนุชาต่างมารดของเจ้าเนเฟอร์คาเรผู้รั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งอียิปต์.
..............
“ข้าจำได้ว่าบอกเจ้าไปแล้วใช่ไหม ว่าอย่าทดลองพืชของเจ้าส่งเดช”
“ท่านปู่เลจู....มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด”
หญิงสาวผู้พรางตัวในชุดเสื้อผ้ากระสอบคล้ายหนุ่มน้อยทำหน้างอ
อังค์เนสไม่อาจบอกเล่าเหตุการณ์ได้ทั้งหมด นอกจากบุรุษแปลกหน้าผู้นี้โผล่มาในยามที่ต้องการช่วยชีวิตเจ้ากระต่ายน้อยจากบ่วงนายพรานเท่านั้น ทว่าบุรุษผู้นี้ได้ขโมยจุมพิตแรกของเธอไปด้วย
“เจ้าทำให้ปู่ต้องเดินทางล่าช้า” เลจูดูอาการของบุรุษผู้แสนสง่างาม ด้วยประสบการณ์ชีวิตทำให้มองเพียงแวบเดียวก็ลวงรู้ว่าชายหนุ่มผู้หลับใหลนี้ มีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา
“ขออภัยท่านปู่เลจู”
อังค์เนสสำนึกผิดอย่างจริงใจ การรักษาชีวิตคนนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง “แต่เขาก็แค่ตัวชาไร้เรี่ยวแรงแล้วก็หมดสติไป เขาผู้นี้แค่สัมผัสถูกยางของเถาวัลย์นั่นเท่านั้นมิได้เคี้ยวกลืนลงคอเพราะฉะนั้น พิษของมันคงไม่อาจทำร้ายเขาได้มากนัก”
“ยังปากกล้าอีกนะอังค์เนส” เลจูตวาดเสียงดังจนคนในโรงหมอพากันสะดุ้งโหย่ง แม้จะเคยชินกับเสียงดังของท่านหมอเลจูก็เถอะ
“พ่อหนุ่มนี่โดนเพียงเท่านั้นยังสลบได้ข้ามคืน เจ้ายังว่าเล็กน้อยอีกรึ”
“แต่มันก็ทำให้เรารู้ได้ว่าควรใช้ในปริมาณใดจึงจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต”
แววตากระตือรือร้นของหญิงสาวทำเอาดังชีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เผลอหัวเราะออกมา
“เจ้าก็ให้ท้ายนางดีนัก ดังชี” คนเป็นปู่ไม่รู้จะเล่นงานใครจึงมาลงกับดังชีแทน “เอาละ เจ้าไปต้มยาที่ข้าสั่งไว้แล้วนำมาป้อนให้ชายผู้นี้ดื่ม ถ้าเขาไม่ตื่นฟื้นเจ้าก็รับผิดชอบชีวิตของเขาไป”
“ท่านปู่เลจู!”
อังค์เนสร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ แม้จะรู้ดีว่าท่านปู่เลจูจะรักและเอ็นดูเธออย่างที่สุด แต่ในขณะนั้นเองมีคนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาจนทำให้ทั้งสามต้องหันขวับไปดูทันทีโดยที่อังค์เนสไมลืมที่จะกระชับผ้าคลุมผืนหน้าที่มักจะโพกศีรษะพยายามซ่อนใบหน้าของตนเอง
“ช่วยทีเถิดท่านหมอ! เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลข้า หากสิ้นเขาไป ครอบครัวของข้าคงไร้ผู้สืบสกุล”