“อย่าร้อง...เดี๋ยวพวกพรานก็มาจับเจ้าไปหรอก”
อังค์เนสนั่งลงแกะบ่วงออกจากกระต่ายสีขาวขนฟูนุ่มมือ มันช่างแสนเชื่องอย่างน่าประหลาด เธอกอดมันเบาๆ เพื่อปลอบประโลม แล้วหญิงสาวก็อดคิดถึงกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่เธอเคยช่วยชีวิตไว้ไม่ได้
ในครานั้นเธอกำลังหลบหนีออกจากเมืองหลวง เธอเหนื่อยและหมดแรงจะเดินทางต่อจนดังชีต้องให้เธอนั่งพักและเขาออกไปหาอาหารมาให้ ทว่าหญิงสาวไม่รู้เลยวาตนเองอยู่ในสนามการล่าสัตว์ ลูกธนูที่พุ่งมาเฉียดขาเธอจนต้องกระโดดหนีไปหลบอยู่หลังต้นไม้ เจ้ากระต่ายน้อยกระโดดหนีความตายกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดเธอ เธอกอดมันไว้แน่นได้แต่ภาวนาขอให้เทพเจ้าทั้งหลายปกป้องเธอและกระต่ายน้อย
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แต่เมื่อรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าม้าที่เริ่มห่างออกไปเธอก็ถอนหายใจยาว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือแข็งแกร่งมากระชากไหล่เธออย่างแรงจนต้องหันไปอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าเป็นใคร’
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจทำให้เธอหวาดกลัว เธอจำได้ดีว่าส่ายหน้าไปมาจนผมยาวปลิวสยาย หวาดกลัวจนริมฝีปากสั่นระริกแต่ในอ้อมอกมีกระตายน้อยสีขาวที่เธอปกป้องมันไว้ด้วยชีวิตของเธอ
‘กระต่ายน้อย...’
เด็กหนุ่มผู้นั้นลากเสียงยาวและยานคางเหมือนจะกวนประสาทเพราะถือว่าตนเองนั้นเหนือกว่า
‘เจ้าชาย! ทรงปลอดภัยไหมพ่ะย่ะคะ’
‘ข้าเจออะไรดีๆ แหละโมตู’
เธออาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอใช้ปากกัดหลังมือของคนผู้นั้นเต็มแรงจนต้องสะบัดมือปล่อยเธอเป็นอิสระ ทั้งคู่ประสานแววตากันครู่หนึ่งแล้วเธอก็อุ้มกระต่ายน้อยสีขาวหนีหายไปในพงหญ้า พี่ดังชีวิ่งกระหืดหอบกลับมาด้วยความเป็นห่วง เธอปล่อยเจ้ากระต่ายน้อยเป็นอิสระ แต่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
“เจ้าปลอดภัยแล้วกระต่ายน้อย”
อังค์เนสปลอบเจ้ากระต่ายขนฟูแล้วลุกขึ้นยืน ทว่าเธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวอ้าปากกว้างแต่ยังไม่ทันส่งเสียงร้องมือใหญ่ก็ปิดปากเธอแน่ ร่างใหญ่โถมเข้าใส่จนเธอหงายหลัง มือเรียวพยายามทุบตีอกฝ่ายเป็นพัลวันแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“อย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบใกล้เรือนแก้มของอังค์เนส ชายหนุ่มรู้สึกได้กลิ่นหอมประหลาดมันช่างแสนอ่อนโยนและละมุนละไมจนเขาอดที่จะกดปลายจมูกสูดดมแก้มเนียนไม่ได้ อังค์เนสเอียงหน้าหนีแต่ราวกับเชิญชวนให้อีกฝ่ายดอมดมกลิ่นแก้มสาว เธอพยายามดิ้นรนเพื่อเรียกร้องหาอิสระ ทว่ากลับถูกกดให้แนบพื้นด้วยร่างกายแข็งแกร่ง
บุรุษแปลกหน้าในชุดดำทะมึนมีรูปร่างเล็กกว่าดังชีแต่เธอสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและพลังอำนาจบางอย่างที่แผ่กระจายมาจนร่างกายเธอสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็น ลมหายใจร้อนระอุของเขาเคลียแก้มมันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงและหวาด กลัว มือใหญ่บีบคางน้อยๆ ให้หันมาเผชิญหน้า แสงจันทร์กระจ่างทำให้ทั้งสองมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้ชัดเจนหญิงสาวรู้สึกคุ้นกับดวงตายาวรีและแฝงด้วยอำนาจคู่นี้คล้ายว่าเธอเคยถูกสะกดด้วยดวงตานี้มาก่อน
“อะ!”
มือนั้นปล่อยจากปากของหญิงสาว ริมฝีปากอิ่มสีแดงดุจกุหลาบเผยอขึ้นเรียกหาอากาศ ทว่ามันกลับถูกปิดด้วยริมฝีปากที่ทาบลงมาอย่างจาบจ้วง อังค์เนสเบิกตาโตอย่างตกใจกับการกระทำที่ไม่เคยได้รับเช่นนี้ ริมฝีปากของเขากดลงอย่างรุนแรงเหมือนประกาศอำนาจ มือใหญ่เลื่อนลูบไล้ผิวกายที่เนียนนุ่มอย่างที่ไม่เคยสัมผัส มือเรียวเล็กเปลี่ยนจากทุบที่อกอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ผลจึงล้วงเข้าไปในเสื้อของตนเองแล้วหยิบแก่นไม้เล็กๆ ออกมาก่อนจะออกแรงดันใบหน้าอีกฝ่ายจนถอนจูบจากเธอแล้วยัดแก่นไม้นั้นใส่ปากของเขา
“อะไรนะ” เขาคายมันออกมาอย่างเร็วแต่ก็ยังรู้สึกว่ารสฝาดของมันยังแผ่นซ่านไปทั่วลิ้น
บุรุษหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างแสนเสียดาย เขาเองก็ไม่เคยขาดการควบคุมตนเองขนาดนี้แต่ในขณะที่เขายืนอยู่นั่นก็รู้สึกแข็งขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น อังค์เนสขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างหวาดกลัวแม้จะเห็นเขาทรุดลงไปนั่งกับพื้นก็ตาม
“ร่างกายไร้เรียวแรงแล้วใช่ไหม”
“เจ้าเอาอะไรมาใส่ปากข้า!”
“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” อังค์เนสสารภาพ ไอ้เถาวัลย์ชิ้นนั้นเธอคาดว่ามันจะสามารถทำให้ร่างกายชาขาดการควบคุม แต่ยังไม่ได้ลองดูว่าเป็นที่คิดหรือไม่ แต่ก็บังเอิญมีหนูมาให้ทดลองเสียก่อน
“เจ้านี่มัน...ปีศาจ”
อังค์เนสหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อร่างสูงโปร่งทะลึ่งตัวแล้วพุ่งเข้าหาอย่างเร็ว หญิงสาวถอยหลังด้วยสัญชาตญาณจนแผ่นหลังชิดต้นไม้ใหญ่ ร่างสูงทาบเข้ามากักขังเธอไว้ด้วยแขนสองข้างของเขา
“ปล่อยข้านะ” น้ำเสียงสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กายผ่าวร้อนของเขกำลังจะทำให้เธอลุกไหม้ แต่จู่ๆ ร่างสูงก็ทรุดฮวบสลบเหมือดไปกองกับพื้น
หญิงสาวยืนหอบหายใจแรง เธอต้องรวบรวมสติก่อนจะก้มมองร่างที่ไม่ขยับตัว อังค์เนสรีบผละออกจากร่างนั้นแล้ววิ่งหนีกลับมาที่กระท่อม แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าหันกลับไปมองอย่างลังเล
สิ่งที่เขาทำมันแสนร้ายกาจ แต่ควรหรือไม่ที่จะปล่อยเขาไว้อย่างนั้น!.
..................
“พวกเจ้าทำงานกันประสาอะไรถึงปล่อยให้เจ้าชายเนเฟอร์ฯ ยังมีชีวิตอยู่”
มเหสีคูอิแผดเสียงร้องอย่างไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าเสี้ยนหนามชิ้นสำคัญยังทิ่มแทงที่หัวใจของพระนาง ด้วยแรงโทสะทำให้พระนางขว้างปาข้าวของใส่เหล่าทหารที่เข้ามารายงาน เจ้าชายอูเซอร์เคเรส่ายพระพักตร์ไปมาแล้วโบกพระหัตถ์ไล่พวกทหารให้ออกไป
“ใจเย็นพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
“ข้าจะใจเย็นเหมือนเจ้าได้อย่างไร แม้ว่าพระนางอิพูร่าจะสิ้นไปแล้วแต่ก็ยังเหลือเนเฟอร์คาเรเป็นเสี้ยนหนามชีวิตของข้า” ไฟโทสะทำให้พระนางขว้างแจกันใส่ศีรษะนางกำนัลจนเลือดออก
“มันไม่รอดได้เสมอไปหรอก” อูเซอร์คาเรขยับตัวบิดไปมาเหมือนแมวเกียจคร้าน
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น” พระนางส่งเสียงในลำคอ “ทหารเราก็ช่างโง่นัก! ทั้งที่ครั้งนี้เนเฟอร์คาเรเดินทางกับองครักษ์เพียงสองคนเท่านั้น มันแค่ให้โมตูสวมเสื้อผ้าของมันลวงตาทหารของข้า แล้วทหารที่แสนโง่ก็หลงทิศไล่ตามผิดคนได้”
“แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเนเฟอร์คาเรอยู่ที่ใด”
มเหสีคูอิถอนพระทัยหนักๆแล้วนั่งลงพระแท่น “แล้วเราจะทำอย่างไรดี”
อูเซอร์คาเรปรายตามองไปยังนางกำนัลที่สั่นงันงกเพราะความหวาดกลัวแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “อย่าได้กังวลจนเกินไป เรายังมีอีกหลายวิธีที่ใช้จัดการกับมันเสด็จแม่โปรดวางพระทัยลูกเถิด”
“เอาเถอะ เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถิด” พระนางลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปสวดอ้อนวอนเทพไ***สให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่”
อูเซอร์คาเรถวายความเคารพต่อพระมารดา เมื่อมเหสีคูอิเสด็จออกจากห้องไปแล้วพระองค์ก็เรียกนางกำนัลสาวที่บาดเจ็บมาใกล้ ชายหนุ่มนั่งบนส้นเท้าแล้วจับปลายคางน้อยๆ ให้เผชิญ หน้า แม้หน้าผากจะมีแผลเป็นทางยาว แต่เมื่อนางกำนัลสาวได้อยู่ใกล้เจ้าชายหนุ่มรูปงามก็เอียงอายจนแก้มแดงจัด
“เจ็บมากหรือเปล่า”
“มะ...มะ...ไม่...ไม่เพคะ”