ความหลังที่ยังหลอกหลอน ตอนที่ 1

2412 คำ
"ไปต่างจังหวัดเหรอคะ!" "ใช่...ทำไมเหรอ" ชายหนุ่มถามอย่างไม่ยี่หระขณะจดจ่อกับการลงปลายปากกาบนเอกสารสำคัญ ต่างจากอีกฝ่ายที่ดูลนลานทำตัวไม่ถูก "เจ้าขาไปไม่ได้ ต้องทำงาน" "ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันเป็นคนจ่ายเงิน..." น้ำเสียงทุ้มห้าวพร้อมสายตาตำหนิที่เหลือบมองบ่งบอกให้รู้ว่า อาการไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามของเธอเป็นสิ่งที่ไม่น่าชอบใจนัก "แต่..." "ฉันไม่ชอบคำว่า แต่...แล้ว...ของเธอเลยเจ้าขา" มันบ่งบอกว่าหญิงสาวชอบมีข้อแม้ข้ออ้างขัดใจเขาเสมอ "ก็..." "คำนั้นด้วย เอาละ...กลับบ้านไปจัดของได้แล้ว เดี๋ยวเสร็จงานบนโต๊ะนี่ เราจะไปกันเลย" เหมราชตัดบท ยิ้มร้ายอย่างผู้กำชัยไว้ในมือ มองลูกไก่น้อยที่ยืนกระวนกระวายอย่างไม่นึกรู้ร้อนรู้หนาวไปกับเธอด้วย เจียระไนยังยืนกำมือเข้าหากันไว้ด้านหน้า เธอมองเขา ไม่ยอมทำตามคำสั่งเพราะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง มันเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่และยิ่งเพิ่มความดำมืดให้กับชีวิตของตัวเองมากเข้าไปทุกทีๆ เขาเรียกเข้ามาพบแบบไม่มีสาเหตุเช่นเคย ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็น เหยียดหยาม และดูแคลน เธอจำเป็นต้องทำตามบัญชานั้นอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกนึกว่ามีงานอะไรจะให้ทำ หรือ...ต้องการเธอขึ้นมาอย่างเช่นทุกครั้ง แต่เปล่าเลย ชายหนุ่มแจ้งว่าจะพาเธอไปพักร้อนที่ต่างจังหวัด กำหนดการคือวันนี้หลังจากเขาเคลียร์งานเสร็จ ที่สำคัญจะเดินทางไปด้วยกันแค่สองต่อสอง วูบหนึ่ง...บาปหนาก่อตัวห่อหุ้มหัวใจมิดชิด ตอกย้ำจิตสำนึกความผิดให้เธอตกนรกหมกไหม้ทั้งที่ยังมีลมหายใจและเลือดเนื้อ เหมราชจะทำร้ายทั้งเธอและครอบครัวของเขาไปถึงไหนกัน "เจ้าขาไม่ไปค่ะ" "ต้องไป นี่เป็นคำสั่ง รู้อะไรไหมเจ้าขา...เธอไม่น่ารักเลยเวลาดื้อเนี่ย" "เจ้าขาไม่ได้ดื้อค่ะ แต่มันไม่เหมาะ เจ้าขาเป็นพนักงานต้องทำงานแลกเงิน จู่ๆ ก็หายตัวไปมันจะไม่ดี อีกอย่าง...ทางบ้านคุณจะไม่ตำหนิเอาเหรอคะ ถ้าหากรู้ว่า..." ปัง! แฟ้มเอกสารถูกปิดและจับโยนลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าของความดุดันนั้นเอนตัวพิงเก้าอี้ทำงาน คลึงปากกาในมือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงความไม่พอใจเอาไว้อย่างยิ่งยวด "ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมเจ้าขา...เรื่องอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเธอไม่ต้องไปยุ่ง ฉันจัดการของฉันเองได้ เธอมีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่ง เพื่อแลกกับข้อเสนอของฉันเท่านั้น" "ขอโทษค่ะ เจ้าขาแค่เป็นห่วงคุณ..." หญิงสาวกล่าวพร้อมเหลือบมองเขากลายๆ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำซาก เหมราชโยนปากกาในมือลงบนแฟ้มเอกสารอย่างไม่ได้ใส่ใจ เขาลูบใบหน้าตัวเองหยาบๆ พ่นลมหายใจหนักหน่วงร้อนผ่าวคล้ายจะผ่อนความหนักอกหนักใจให้บรรเทาเจือจาง "ถ้าเธอไม่ดื้อ...ฉันคงไม่ต้องใช้วิธีแบบนี้กับเธอหรอกเจ้าขา การไปจากที่นี่สักพัก มันจะเป็นผลดีกับตัวเธอเองนั่นแหละ" เหมราชนั่งครวญเช่นนั้นอยู่ลำพังโดยหญิงที่เขาหวังให้เข้าใจนั้นหาได้รับรู้ด้วยไม่ แต่มันเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกของเขาอยู่แล้วที่ไม่ต้องการให้เจียระไนรู้เห็นชะตากรรมของเธอเอง เพราะนั่นหมายถึง...อันตรายที่ใครก็ไม่อาจคาดเดา จนกว่าคดีจะคลี่คลาย จนกว่าเบาะแสจะกระจ่างชัด และบางสิ่งบางอย่างที่บิดเบือนจากความจริงจะปรากฏ ใคร...ก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น!     อำเภอเขาพนมจังหวัดกระบี่ หญิงสาวร่างแบบบางผิวขาวปานน้ำนมบริสุทธิ์ในชุดเสื้อกล้ามตัวเล็กกับกระโปรงยาวพลิ้วคร่อมถึงตาตุ่ม ห่มทับด้วยผ้าพันคอลายดอกไม้อีกชั้น บ้านพักที่เธอเหยียบยืนอยู่นี้สร้างบนเขาสูงลิบและเป็นไม้สักทั้งหลัง ราคาไม่บอกก็รู้ว่าคงสูงลิ่วตามฐานะผู้เป็นเจ้าของมัน ที่นี่ลมแรงและพัดหวิวอยู่แทบตลอดเวลา ผนวกกับสภาพอากาศเย็นยะเยือกเพราะต้นไม้ใบหญ้ายังถูกรักษาให้สมบูรณ์และตามภูมิอากาศของทางภาคใต้ที่เป็นเขตร้อนชื้น ทำให้เธอห่อกอดตัวเองทุกครั้งที่สายลมแตะต้องโลมเลีย เหมราชให้คำอธิบายเกี่ยวกับการพามาที่นี่ว่า 'รูปคดีมีบางอย่างน่าสงสัย มันอันตรายถ้ายังอยู่กรุงเทพฯ' เพียงเท่านั้น ข้อโต้แย้งที่ทับซ้อนอยู่ในใจก็หลุดร่วงจางหายทันที หากแต่ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าเป็นเรื่องคดี ก็หมายความว่ามันเกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง จนแล้วจนรอด นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้ว ยังไม่มีข้อมูลอะไรหลุดออกมาจากปากเหมราชแม้แต่คำเดียว หรือเขาหลอกเธอ...หลอกให้ติดสอยห้อยมาดูแลสวนปาล์มซึ่งเขาครอบครองอยู่หลายพันไร่ที่นี่ เพื่อหนีปัญหาที่เขาสร้างเอาไว้จนยืดเยื้อบานปลายถึงขนาดสาวสวยหนึ่งในคอลเล็กชั่นของเขากำลังจะมีทายาทให้ คิดแล้วก็ปวดแปลบแสบลึกจนต้องกลั้นหายใจและค่อยๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด สายลมเย็นหวิวไม่ได้ช่วยให้ความร้อนระอุในห้วงสำนึกลดอุณหภูมิลงแม้แต่น้อย ความร้อนรนที่ถูกเก็บไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบเคยเป็นอย่างไร มันก็ยังมีระดับองศาไว้เช่นนั้น "อุ๊ย!" เสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นพร้อมๆ กับใบหน้าหวานที่หันมองผู้โอบกอดเธอไว้แต่เบื้องหลังอัตโนมัติเมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว คนตัวใหญ่หัวเราะเบาๆ หอมแก้มขาวฟอดใหญ่เป็นการปลอบก่อนจะเกยคางซุกไว้บนหัวไหล่ของเธอ "ขวัญอ่อนจริงๆ ตัวก็ใหญ่นมก็..." "คุณพอส!!" "โอ๊ะ โอ๋ๆ ไม่เอาน่ามาพักผ่อนทั้งทีเอาแต่ทำหน้ายู่เหมือนทิชชู่ใช้แล้วเนี่ยไม่น่ารักเลยรู้ไหม หืม..." พูดจบก็หอมแก้มเอาใจอีกครั้ง วงแขนแข็งแรงกระชับแน่นขึ้นเหมือนร่างเล็กจะช่วยบรรเทาความหนาวจากสายลมเย็นยะเยือกที่พัดกระทบผิวเนื้อเป็นระยะๆ "คุณพอสหลอกเจ้าขานี่คะ ไหนบอกว่าจะเล่าเรื่องคดีให้เจ้าขาฟัง นี่สามวันแล้ว คุณก็หาเรื่องเอาเปรียบเจ้าขาทุกอย่าง แต่ตัวเองไม่เคยทำตามคำพูดเลยสักที" หญิงสาวตัดพ้อแต่พยายามกักเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ล้ำลึก แสดงออกมาเพียงความน้อยใจ เสียใจจากการถูกลวงล่อเท่านั้น "อ้าว...ฉันแค่บอกว่าถ้าอยู่กรุงเทพฯ เธออาจเป็นอันตราย เพราะคดีมันมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่ได้บอกจะเล่าให้ฟังนี่ ผิดคำพูดตรงไหน อีกอย่าง ฉันเคยรับปากว่าจะดูแลเธอให้ดี นี่ก็ทำตามพูดตลอด ไม่มีอะไรบกพร่องเลยนะ จริงไหมเอ่ย..." "หยุดเลยนะคะคุณนี่มันเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย" เจียระไนพลิกตัวหลบริมฝีปากที่กำลังจู่โจมแก้มนุ่มๆ ของเธออีกครั้ง ทำหน้าค้อนใส่คนตัวใหญ่กว่าที่ยืนเอามือเท้าสะเอวเมื่อเธอหลุดออกจากวงแขน แล้วยิ้มปริ่ม โปรยเสน่ห์ ไม่ได้ยี่หระกับอาการกระเง้ากระงอดของอีกฝ่าย "ไม่มีอะไรน่า...อย่าคิดมากเลย ไปเดินเล่นกันดีกว่านะ" เหมราชหยิบหมวกปีกกว้างที่แขวนไว้บนกิ่งไม้ที่ใช้ประดับตกแต่งข้างๆ ตัวส่งยื่นให้เธอ แต่หญิงสาวทำเฉยชำเลืองมองเขากลายๆ เชิงตำหนิที่เขาชวนเปลี่ยนเรื่อง ก็มันงานถนัดนี่... เจียระไนยังคงทำตาถลึงใส่ แม้ปกติมักเก็บอาการแต่พอจะเรียนรู้ได้ว่าสิ่งใดที่ทำแล้วอยู่ในขอบเขต สิ่งไหนที่ทำแล้วล้ำเส้น เมื่อยังยืนแสนงอนอยู่อย่างนั้น หมวกสีขาวใบใหญ่จึงถูกนำมาสวมให้แล้วจับมือเธอลากให้เดินลงจากบ้านพักตามเขาไป "เจ้าขาไม่ไปนะคะ..." มือเล็กดึงยื้อขัดขืน ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องติดสอยห้อยตามไปทำไมกัน ในเมื่อเวลาเข้าไปในสวนปาล์ม เหมราชสนใจแต่งานๆ จนลืมเธอไปเลยก็ว่าได้ หลายๆ ครั้งที่ถูกทิ้งให้เดินตามโดยไม่ได้รับความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น เสมือนไร้ตัวตนก็ไม่ปาน ตัวเธอเองก็ไม่ได้อยากสร้างภาระเป็นตัวถ่วงให้เขา ใจจริงอยากขอไปเดินเล่นชมธรรมชาติแถบนี้มากกว่า แต่ชายหนุ่มคงไม่ยอม "ไปเถอะ...อยู่แต่ในบ้านน่าเบื่อจะตาย" "เลิกทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวซะทีได้ไหมคะ..." จู่ๆ เสียงแหลมก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คนตัวใหญ่กว่ามองแบบงงๆ คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากัน ฝั่งหญิงสาวเองก็รู้สึกตกใจนิดๆ กับการกระทำนั้น "เป็นบ้าอะไรของเธอเจ้าขา!" มือหนาสะบัดปล่อยข้อมือแบบบางด้วยความหงุดหงิดก่อนจะยืนเท้าสะเอวจ้องหน้าค้นหาคำตอบ "เจ้าขาขอรออยู่ที่นี่...นะคะ" เธอลดระดับน้ำเสียงลงไม่กล้าสบตาคมกล้าของเขา "ฉันถามว่าเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว" ดูเหมือนความอดกลั้นให้ใจเย็นของเหมราชก็ลดน้อยถอยลงไปด้วย เขาถอนหายใจหนักๆ แลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างกับเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา คนที่เหลือบมองเห็นอาการนั้นถึงกับน้ำตารื้นคลอหน่วย ปวดแปลบในทรวงอย่างประหลาด "ขอโทษค่ะ เจ้าขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วก็ไม่อยากไปเกะกะคุณทำงานด้วย ขอตัวไปพักนะคะ" เจียระไนกล่าวน้ำเสียงเบาหวิวแล้วรีบหันหลังกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนฟังหัวเสียอยู่อย่างนั้น ก่อนจะสาวเท้าตามไปติดๆ "เจ้าขา..." เสียงเรียกไม่ได้หยุดร่างเล็กจากการเดินลิ่วๆ หนีเขา "เจ้าขา!" แม้แต่การตวาดเสียงเข้มดุก็ยังไม่อาจทำให้เธอไยดีตัวเขาที่สาวเท้าแทบจะถึงตัวอยู่แล้วผิดกับทุกครั้งทุกครา "นี่! หยุด! บ้าไปแล้วรึไง จู่ๆ ก็..." ทันทีที่คว้าจับลำแขนเรียวเล็กไว้ได้และดึงตัวเธอให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา กลับกลายเป็นเหมราชเองที่ต้องอ่อนยวบหน้าถอดสี เธอกำลังร้องไห้...สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความเจ็บปวดเหลือคณานับ ริมฝีปากสั่นกระทบขณะที่น้ำตาเอ่อไหลเป็นทาง ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเจียระไนหลั่งน้ำตา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเธอเสียใจ แต่ครั้งนี้...มันให้ความรู้สึกมากกว่านั้นหลายร้อยพันเท่า สายตาตัดพ้อที่จ้องมองยังฉายแววขลาดกลัว ไม่กล้า และพยายามเก็บงำในที มันบาดลึกเข้าสู่ขั้วหัวใจเขาให้เจ็บแปลบเหมือนประหนึ่งว่าความทรมานนั้นได้ถ่ายทอดมาสู่ตัวเขาอย่างถ่องแท้ "เจ้าขา..." ร่างเล็กถูกลากมากอดเมื่อจบคำพร่ำเพรียกหา เขาไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ตระหนักดีอยู่แก่ใจคือตัวเองน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในต้นเหตุนั้น "ปล่อยเถอะค่ะ...คุณปล่อยให้เจ้าขาอยู่คนเดียวได้ไหมคะ" "ไม่เอาน่า...คุยกันก่อน เป็นอะไร หืม...แค่อยากพาไปดูสวนปาล์ม ไม่เห็นต้องเสียอกเสียใจขนาดนี้เลยนี่" ชายหนุ่มกล่าวเสียงทุ้มอ่อนโยนปลอบประโลมคนในอ้อมแขนในที "คุย...เจ้าขาไม่มีสิทธิ์คุยกับคุณหรอกค่ะ เพราะเรื่องที่เจ้าขาพูดมีแต่จะทำให้คุณเสียอารมณ์ ฉะนั้น...ขออยู่คนเดียวสักพักเถอะนะคะ ขอร้อง..." น้ำตาไม่อาจเก็บกลั้นเอาไว้ได้เลยจริงๆ แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ อาจเพราะมันคือกลไกอย่างหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเจ็บช้ำของจิตใจ เธอถึงไม่เคยหยุดยั้งการประจานความอ่อนแอของตัวเองโดยวิธีนี้ได้สักที "เอาละ คุยกันดีๆ สัญญาจะรับฟัง โอเคไหม?" ผู้อยู่กุมอำนาจเหนือกว่ายอมโอนอ่อน เปล่าประโยชน์จะมาแข็งขืนกันยามนี้ เพราะรู้ดีว่าอีกฝั่งบอบช้ำแค่ไหน ทั้งด้วยเรื่องราวของคดีความและด้วย...น้ำมือเขา เจียระไนสะอึกสะอื้นเบาๆ พลางพยักหน้าตอบเจ้าของแผงอกกว้างที่เธอกำลังอิงแอบ ต่อให้เขาคือผู้ที่คอยถือมีดคอยเฉือนเนื้อหัวใจเธอให้เป็นริ้วๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างน้อย เขาก็คือคนเดียวที่ยืนเคียงข้างไม่เคยห่างให้ต้องเคว้งคว้างเดียวดายเพียงลำพัง ความอบอุ่นที่แสนเจ็บปวดไม่รู้จะต้องกกกอดมันอีกนานแค่ไหนสินะ ร่างเล็กแบบบางถูกประคองให้เดินไปนั่งยังบนแหย่ง[1] ไม้สักทองฉลุลายมังกรงามวิจิตร ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงใกล้ๆ กัน สายตาคมมองหาคำตอบแทนจะใช้คำพูดตั้งคำถามซึ่งหญิงสาวก็รู้ดีในสิ่งที่เขากำลังคาดคั้นให้เธอปริปากเอ่ยมันออกมา "ถ้าคุณสัญญาว่าไม่โกรธ เจ้าขาก็จะพูด...เจ้าขาอึดอัดค่ะ อึดอัดที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ การที่คุณทิ้งครอบครัวแล้วพาเจ้าขามาที่นี่มันเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ควร ถ้า...ถ้าคุณซองพลูกับน้องมอลลี่ทราบเข้าจะเสียใจ เจ้าขาขออยู่ในที่ของเจ้าขามันก็เกินพอแล้วนะคะ" "เรื่องนี้นี่เอง" เขาตอบกลับคล้ายไม่ได้ใส่ใจ ต่างกับเธอที่กังวล เครียดสมองแทบระเบิด ใครต่อใครที่ผ่านมาอาจเริงรื่นกับการถูกให้ความสำคัญถึงขนาดพาไปไหนมาไหนออกหน้าออกตา แต่ไม่ใช่เธอเป็นแน่ จิตสำนึกส่วนดียังมีเหลือเผื่อให้รู้ว่าไม่ควรถลำลึกจนศีลธรรมถูกบั่นขาดวิ่น จะมีประโยชน์อันใดกับการได้คืบจะเอาศอก ได้ศอก...จะเอาวา ในเมื่อสิ่งที่ได้แม้เยี่ยมยศ สูงค่า...ก็ไม่ใช่ของตน "เฮ้อ! เจ้าขาเอ๊ย...ชอบคิดมากจริงๆ ก็บอกอยู่ทุกวันเรื่องที่บ้านน่ะไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครมาเดือดร้อนเพราะเธอเข้ามาในชีวิตฉันหรอก ฉันดูแลพวกเขาได้ รวมถึงเธอด้วย..." [1] แหฺย่ง สัปคับ, ที่สำหรับนั่งผูกติดบนหลังช้าง, แหย่งช้าง ก็เรียก.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม