"มันไม่เหมือนกัน..." 'พวกเขา' คือครอบครัว แต่เธอ...คือกาฝากหัวใจ
"ใช่...ไม่เหมือนกัน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกไม่ใช่เหรอ...เจ้าขา" แววตาคมดุฉายชัดถึงความเย้ยหยันย่ามใจ ก่อนจะเลี่ยงเบี่ยงเบนส่งยิ้มละไมให้เป็นการกลบเกลื่อน เจียระไน เธอไม่มีวันรอดพ้นเงื้อมมือเขาได้หรอก นับวัน แม่ลูกไก่น้อยก็ยิ่งน่าขบน่ากัดจนไม่อยากปล่อยให้หลุดรอด หากเป็นเฉกเช่นคนอื่นๆ ที่ผ่านมามีหรือจะลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้ให้เสียเวลา ใครอยู่ได้ก็อยู่ ใครอยากไปก็เชิญ
แตกต่างจากเจียระไน ระยะเวลาของเธอคงยาวนานกว่าผู้หญิงคนไหน ความเอื้อเฟื้ออาทรก็ได้ไปมากกว่าใครเพื่อน อาจเพราะความสงสาร เห็นใจในโชคชะตา หรือเพราะอะไรก็ช่าง ในหัวชายหนุ่มยามนี้เฝ้าแต่ย้ำคิดว่าจะหาวิธีไหนผูกขาดเธอไว้กับเขาหลังจากจบเรื่องราวร้ายๆ ไปแล้ว วูบหนึ่งใจนึกเสียดาย พะวง อาวรณ์บอกไม่ถูกเมื่อเพียงนึกขึ้นมาได้ว่า หากคดีสิ้นสุด...สัญญาที่ผูกมัดก็จะคลายคลอนตามไปด้วย
"มีค่ะ..." คำตอบกลับนั้นเรียกสีหน้าตึงเครียดจากชายหนุ่มให้ดูดุดันยิ่งขึ้น
"..."
"ถ้าต้องผิดศีลธรรมไปมากกว่านี้...เจ้าขา...เจ้าขาขอยอมติดคุกดีกว่า มันมีค่าเท่ากัน...ที่เจ้าขาพยายามดิ้นรนสู้คดีจนยอมทุกอย่างก็เพราะไม่อยากให้คุณตาคุณยายผิดหวังเสียใจ ท่านมีเจ้าขาคนเดียวเหมือนที่เจ้าขาก็มีแต่พวกท่าน แต่นี่...สิ่งที่เจ้าขากำลังทำอยู่มันก็ทำร้ายทุกคน รวมถึงคุณตาคุณยายด้วย ถ้าพวกท่านรู้เข้าคงไม่ดีใจหรอกค่ะที่หลานสาวคนเดียวต้องมาเป็นเมียน้อยเขาเพียงเพื่อแลกกับการเอาตัวรอด...ให้ตัวเองพ้นผิด"
"เจ้าขา..." นั่นเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองไม่เคยคาดคิด ไม่เคยเตรียมใจว่าจะได้ยินคำคำนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่งที่ใครสักคนซึ่งพยายามให้ตัวเองหลุดพ้นจากกรงขังอันแสนน่าหวาดกลัวมาตลอด จู่ๆ ก็ยอมรับชะตากรรมเฉยๆ เสียอย่างนั้น
"มันไม่มีอะไรอย่างที่เธอคิดหรอกนะ"
"อะไรล่ะคะที่ไม่ใช่...คุณยังไม่มีครอบครัว ยังโสด เจ้าขาไม่ได้เป็นเมียน้อย ไม่ได้เป็นเมียเก็บที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ หรือคุณไม่ได้ซุกใครต่อใครไว้อีกตั้งมากมาย วันดีคืนดี ผู้หญิงเหล่านั้นก็พากันดาหน้าเข้ามาแสดงตัวให้เจ้าขาสำนึกในฐานะของตัวเอง ว่าสักวัน...ก็ต้องเป็นแบบนั้น...ไร้ค่า หมดความหมาย ไม่มีตัวตน..."
"เจ้าขา...ไปกันใหญ่แล้ว เฮ้อ! คิดอะไรแบบนั้น"
"หรือคุณจะเถียงว่ามันไม่จริง" เจียระไนตอกกลับน้ำเสียงอ่อนใจ เพ่งมองด้วยสายตาตัดพ้อต่อขาน หากแต่ไม่ได้โทษเสียทีเดียวว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอเป็นเพราะเขา ด้วยรู้ซึ้งว่ามันเป็นชะตากรรมที่ถูกขีดตายของตัวเอง
"ก็...บางอย่างก็จริง บางอย่างก็ไม่ใช่..."
"เจ้าขาผิดเอง...ผิดแล้วผิดอีก...ผิดมาตลอด" หญิงสาวหลับตาส่ายศีรษะอย่างคนเครียดจัดจนเหมราชต้องจับต้นแขนประคองให้แน่ใจว่าเธอจะไม่อาการหนักไปกว่านี้
"ที่มานี่ เราไม่ได้มาเที่ยวกันนะเจ้าขา มาเพื่อความปลอดภัยของเธอ เข้าใจไหม...คดีมีความคืบหน้าบางอย่างและเราไม่แน่ใจว่าถ้าอยู่ใกล้ๆ เอ่อ...ผู้ต้องสงสัยที่ทางเราคาดการณ์เอาไว้เธอจะเป็นอันตรายหรือเปล่า"
"เกิดอะไรขึ้นคะ...ผู้ต้องสงสัย หมายความว่ายังไง คุณเล่าให้ฟังกันบ้างสิ" ความอยากรู้อยากเห็นกลบอารมณ์อ่อนไหวเมื่อครู่เสียมิด ดวงตากลมโตแดงก่ำเบิกโตสนิทความกระหายใคร่อยากทราบข้อเท็จจริงมาแทนที่ทุกอณูเนื้อ
"ทนายของเราส่งเรื่องให้ทางโรงพยาบาลตรวจพิสูจน์ร่างของแนนใหม่ แล้วผลก็ออกมาว่าในกระเพาะอาหารมีสารคาร์ดิแอกไกลโคไซด์เจือปนอยู่ในอาหารแล้วก็เครื่องดื่มที่เพิ่งกินมันเข้าไป"
"แล้วยังไงต่อคะ..." เจียระไนรู้สึกได้ถึงการบีบเต้นของหัวใจที่เพิ่มจังหวะหนักๆ รัวเร็วขึ้นเมื่อได้รับฟังเรื่องดังกล่าวจากปากเขา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ค่อยอยากปริปากพูดสักเท่าไหร่ เหมือนเขากำลังลำบากใจทั้งยังปกปิดมาตลอดตั้งแต่เดินทางมาเหยียบกระบี่ นั่นหมายความว่ามีบางอย่างสำคัญจริงๆ สินะ
"สารคาร์ดิแอกไกลโคไซด์เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติ เอ่อ...จำพวกพืชน่ะ มันเป็นพิษ...ส่งผลต่อระบบการทำงานของหัวใจ แล้ว...แนนเขาก็เคยมีประวัติการรักษาโรคหัวใจอยู่ด้วย สารที่เขาได้รับเข้าไปอาจเป็นสาเหตุให้ช็อกและเสียชีวิตก่อนจะตกลงไป" เหมราชอธิบายช้าๆ สายตาไม่ละวางจากใบหน้าหวานสีชาดที่ส่อแววใคร่รู้เด่นชัด ดูเธอตื่นเต้นไม่ใช่น้อย สีหน้าฉาบรอยยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบเกือบครึ่งปีที่ผ่านมา
"หมายความว่า..."
"หมายความว่า ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าเป็นไปตามนั้นจริงๆ และหาตัวฆาตกรมารับโทษได้ เธอก็จะพ้นผิด"
"จริงเหรอคะ...นี่คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม เจ้าขาไม่ได้เป็นฆาตกรจริงๆ ใช่ไหมคะ" เธอถามย้ำด้วยความปีติ นับเป็นเรื่องดีๆ เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดมนของชีวิตในยามนี้
"ใช่...เรื่องการตายเราให้แพทย์พิสูจน์ได้แต่คงต้องใช้เวลา แต่...เรื่องฆาตกรเรายังต้องสืบต่อไป"
"..."
"นอกจากพิสูจน์ได้ว่าแนนตายก่อนจะตกลงไปข้างล่าง เราต้องพิสูจน์ให้ได้ด้วยว่า สารพิษตัวนั้นที่แนนกินเข้าไปไม่ได้มาจากเธอ"
"ไม่ใช่นะคะ เจ้าขาไม่รู้เรื่องจริงๆ" เจียระไนปฏิเสธเสียงสั่น ในความน่ายินดีก็ยังคงมีหมอกเมฆคลุมเครือไม่ยอมให้เจอแสงสว่างเสียที ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งอยู่วันยังค่ำเช่นนั้นหรือ
"ฉันรู้แต่เจ้าทนายมันบอกอย่างนั้น ยังไงเราต้องหาหลักฐาน เหตุผล มาหักล้างทุกข้อสงสัยให้ได้ เธอถึงจะรอดพ้นจากเรื่องนี้"
"แล้ว...แล้วทำไมตอนแรก กองพิสูจน์ถึงไม่ทราบเรื่องสารพิษนั่นล่ะคะ ทำไมแจ้งว่าสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากร่างกายกระแทกกับพื้นอย่างแรงเนื่องจากพลัดตกจากที่สูง"
"นั่นก็เป็นอีกประเด็น...เราถึงต้องสืบให้รู้ แต่ตอนนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องมาที่นี่ คนร้ายเป็นใครเราก็ไม่รู้ อาจแฝงตัวอยู่ใกล้ๆ และอาจทำร้ายเธอได้ตลอดเวลาถ้ามันรู้ว่ากำลังจะถูกเปิดโปง"
"ทำไมต้องทำร้ายเจ้าขาล่ะคะ...เขาหนีไปไกลๆ ก็ได้นี่"
"ปิดปาก..." คำตอบสร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกให้กับคนฟังเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวสบตากับเหมราชมองเห็นความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถ่องแท้ และยังมีความกังวลเจือจางอยู่ในดวงตาคมปลาบนั้นด้วย
"แล้วทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรกล่ะคะ"
"รู้แล้วก็คิดมากเปล่าๆ เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็นอนไม่หลับเต็มตื่นกับเขาเสียทีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" เขากล่าวนุ่มเนิบ พร้อมยกมือลูบศีรษะทุยสวยอย่างเอ็นดู รับรู้ได้ถึงความหวาดกลับที่เพิ่มพูนทุกขณะจิตของเธอ
"ไม่ต้องห่วง เราจะผ่านมันไปด้วยกัน..." รอยยิ้มละมุนเป็นตัวช่วยยืนยันคำพูดดังกล่าว สื่อบอกให้รู้ว่าเธอจะยังมีเขาอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ได้เดียวดายอ้างว้างอย่างที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ และเขา...สัมผัสมันได้
"ขอบคุณมากค่ะ คุณพอส...คุณดีกับเจ้าขาเหลือเกิน" เจียระไนโผตัวเข้ากอดร่างใหญ่ไว้เต็มแรง เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน ด้วยสำนึกนั้นรู้ดีว่าไม่ควรล้ำเส้นฐานะของตัวเอง เขาให้มาเท่าไหร่ก็รับไว้แค่เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องหรือคิดเลยเถิดคาดหวังความผูกพันกว่าที่เป็นอยู่
"อืม...ก็เรา...มีข้อแลกเปลี่ยนกัน ฉันก็ต้องทำตามสัญญาให้ดีที่สุดสิ ในเมื่อ...เธอก็ทำหน้าที่ของเธอดีที่สุดแล้วเหมือนกัน"
คนตัวใหญ่โอบร่างบางที่โถมตัวเข้ามา แต่คำตอบของเขาเสมือนมีดแหลมคมกริบที่เฉือนผิวเนื้อหัวใจให้ขาดวิ่นเจ็บปวดไร้คำอธิบาย นอกจากความเจ็บจุกจนต้องกลั้นหายใจชั่วขณะ และทุกอย่างก็ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นน้ำตาเมื่อไม่อาจหาทางออกอื่นได้
"อ้าว...ร้องอีกแล้ว ขี้แยจริงๆ ไปเถอะ...ฉันมีงานต้องทำ นานๆ มาที่นี่สักที ต้องเคลียร์ความเรียบร้อยเสียหน่อย"
"ค่ะ..." ยินยอมอย่างเสียไม่ได้ ก็อย่างที่เขาว่า...เธอต้องทำหน้าที่ของเธอ เหมือนกันที่เขาก็ทำหน้าที่ต้องเขา รอวัน...รอเวลาให้สิ้นสุด ทุกอย่างก็จะจบ
เหมราชปาดเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวในการอุปการะของเขา เธอยิ้มอย่างเศร้าสร้อยก่อนทั้งคู่จะจูงมือเดินลงไปจากบ้านพักแห่งนั้น ต่างกันต่างความคิด ต่างความรู้สึก หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ขุ่นมัวอยู่ในใจเหมือนกัน มันคือเส้นตายที่กีดกัน คือบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกของกันและกันต่อประสานกันอย่างไม่สนิทใจเสียที...
"คุณซองพลูจะกลับวันไหนคะ" เสียงเรียกถามจากแม่บ้านเรียกสติหลุดลอยของหฤทชนันท์ที่กำลังจัดกระเป๋าใบโตให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยอีกครั้ง
"ก็...คงไปไม่นานหรอกจ้ะ ตอนเย็นก็พามอลลี่ไปอยู่บ้านคุณแม่ได้เลยนะ ฉันโทร.ไปบอกท่านไว้แล้ว"
"ค่ะ...แล้วเอ่อ...ท่านไม่ถามเหรอคะว่าคุณจะไปไหน ไปกับใคร..." เพราะด้วยปกติแล้วนายสาวมักไม่ค่อยห่างลูก จะอยู่ดูแลกันตลอดจึงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น และตัวเธอเองก็ใจไม่ดีเอาเสียเลย คุณผู้ชายของบ้านก็ไม่อยู่ นี่คุณผู้หญิงก็จะไปเสียอีกคนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวเหลือเกิน...กลัวว่าบ้านที่คุ้มหัวจะระส่ำระสายไปมากกว่านี้
"ถ้าคุณพ่อคุณแม่ถาม ละไมก็บอกไปว่าฉันไปช่วยพี่พอสทำงานที่ต่างจังหวัดก็แล้วกันนะ"
"ค่ะ...แล้วคุณซองพลูติดต่อคุณพอสได้แล้วเหรอคะ แล้ว เอ่อ...เรื่องที่หายไปเมื่อสองสามวันก่อนจะให้เรียนท่านยังไงดีคะ"
"ละไม!" นายสาวเอ็ดด้วยความหงุดหงิดที่ถูกซักไซ้ไล่เลียงเสมือนเธอกำลังทำความผิดเสียอย่างนั้น
"ขอโทษค่ะ ละไมแค่เป็นห่วง..." สาวใช้ก้มหน้าก้มตาช่วยเจ้านายของเธอจัดข้าวของใส่กระเป๋าต่อโดยดุษณี คงได้แต่เก็บความไม่สบายใจไว้แต่เพียงผู้เดียว ด้วยไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวซึ่งอยู่เกินหน้าที่ของตัวเอง
เสร็จจากนั้น ของทั้งหมดก็ถูกขนใส่รถประจำตัวของหฤทชนันท์ หญิงสาวหันมองบ้านอีกหลังด้วยความรู้สึกหลายหลาย อ้างว้างและเจ็บปวดลึกๆ
ในยามที่ภัยมหันต์เหยียบย่างมาเยือน คนแรกที่คิดถึงคือเหมราช ชายหนุ่มผู้ที่อยู่เคียงข้างเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ต่อให้ใครต่อใครห่างเหินตีจาก เธอก็ไม่เคยต้องเผชิญโลกอันเลวร้ายเพียงลำพังเพราะมีเขาคอยให้กำลังใจ คอยดูแลมาตลอด หาแต่ครั้งนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
เธอต้องเอาตัวรอด...ต้องหาทางหาวิธีให้หลุดพ้นจากวิกฤตนี้ด้วยตัวคนเดียวให้ได้
เพราะเหมราชไม่อยู่ และไม่ได้คิดโกรธเคืองเขาหรอก ที่ผ่านมาเขาให้เธอมากเกินพอ เกินกว่าที่ไม่อาจเรียกร้องเอาจากใครได้อีก แม้แต่...
"คุณท่านโทร.มาค่ะ ถามว่าคุณผู้หญิงออกไปหรือยัง จะให้ดิฉันบอกว่าอย่างไรดีคะ" ละไมถือโทรศัพท์บ้านไร้สายเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจไม่กล้าสบตาผู้เป็นนายสาว
"ตอบไปว่าฉันไปแล้ว...อาจจะติดต่อไม่ได้สักระยะเพราะที่ที่ไปไม่ค่อยสะดวกนัก"
"ค่ะ..." แม่บ้านสาวขานรับและทำตามคำสั่ง สีหน้าของหฤทชนันท์หม่นหมองเกินกว่าที่เธอจะซักไซ้อะไรต่อ และแล้วรถคันหรูสีขาวมุกก็เล่นฉิวออกจากบริเวณรั้วบ้านไปโดยมีละไมมองตามด้วยสายตาสุดแสนเป็นห่วงสุดบรรยาย
อดีต...กำลังวนเวียนตามาหลอกหลอนชีวิตนายสาวของเธออีกแล้วเช่นนั้นหรือ หลายปีมานี้อะไรทุกอย่างดีอยู่แล้ว หลายคนลืมเลือน หลายคนเลิกพูดถึงเรื่องราวฉาวโฉ่ในวันวานเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น แต่วันนี้...มันย้อนกลับมาแล้ว
ความเจ็บปวดของทุกๆ คน...