"แล้วเจ้าชายและเจ้าหญิง...ก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุข"
เสียงหวานนั้นอ่านข้อความที่ปรากฎอยู่ในหนังสือนิทาน ที่เต็มไปด้วยภาพประกอบงดงาม เพื่อให้เหมาะกับวัยของเด็กอายุที่อยู่ในเกณฑ์สี่ถึงห้าขวบ ... พออ่านจบเธอก็พับหนังสือลง ดวงตาหวานฉ่ำคู่นั้นหลุบมองคนตัวเล็กที่หลับในวงแขน เห็นแล้วจึงยิ้มออกมาด้วยความรักและเอ็นดูอย่างท่วมท้น
เสียงกรนเบา ๆ ที่ออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงระเรื่อ ชวนให้คนเป็นแม่ต้องแนบจมูกลงกับหน้าฝาก ก่อนจะขยับตัวอย่างแผ่วเบา เพื่อย้ายศีรษะที่เต็มไปด้วยเรือนผมยาวดกดำ ไปอยู่บนหมอนรูปการ์ตูนที่อยู่ใกล้ ๆ จัดท่าทางให้คนตัวเล็กได้นอนอย่างสบายแล้ว จึงคลี่ผ้าห่ม ห่มให้อีกที
หลังมือขาวบอบบางเลื่อนแผ่ว ๆ อยู่บนวงหน้าแป้นแล้นนั้นอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของลูกสาว หากเพ่งดี ๆ ก็ให้ความรู้สึกสั่นไหวอยู่ในใจของเธอไม่น้อย
'จมูกและใบหน้าคงได้พ่อมาล่ะนะ'
เสียงใครคนหนึ่งเคยพูดมาแบบนี้ ยามเธอพาลูกน้อยไปไหนมาไหนด้วยกัน ด้วยความน่ารักน่าชัง แถมเป็นเด็กอารมณ์ดี จึงทำให้ลูกสาวคนนี้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น บางคนก็ขอมาถ่ายรูปด้วย บางคนก็มาทักทาย แล้วจะทิ้งท้ายคำพูดเช่นนี้เอาไว้กันทั้งนั้น
หญิงสาวจึงสาวยิ้มอ่อน ๆ ให้ ไม่ตอบว่าอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องที่เธออยากจะพูดถึงอีก
รินรดาถอนหายใจเบา ๆ ยามคร่ำครวญถึงความหลังครั้งนั้น…
ไม่มีใครสักคนที่รู้นอกจากเธอ ว่าเด็กผู้หญิงตัวน้อยผิวขาวจัด ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ ที่ใคร ๆ ต่างก็ชมเปาะว่าน่ารักน่าชังยามได้พบเห็นเพียงครั้งแรกคนนี้… จะมีพ่อเป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังของประเทศ ... '
จอมไตร เทพคุณากร'
เขาเป็นเจ้าของโรงแรม และรีสอร์ตระดับห้าดาวที่มีสาขาครอบคลุมไปหมดทั้งสี่ภาค…
ไม่มีใครเลยสักคนที่รู้ แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเธอเองก็เถอะ หลายครั้งที่พวกท่านถาม แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมบอก จนพวกท่านอ่อนใจไปกันเอง จึงไม่พากันถามไถ่ถึงผู้ชายคนนั้นอีกเลยจนมาถึงทุกวันนี้
พอนึกถึงเขา...ภาพวันคืนเหล่านั้นก็หลั่งไหลกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
เธอพบกับเขาครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยที่เธอศึกษาอยู่ ตอนนั้นเธออยู่ปีสี่คณะบริหารธุรกิจ ส่วนเขาคือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งจบจากนอก แถมชื่อและหน้าตาของเขายังปรากฏอยู่ตามสื่อในแวดวงสังคมนักธุรกิจ และสังคมชั้นสูงอยู่บ่อยครั้ง
ตอนนั้น...เขาไปเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายในเรื่องธุรกิจโรงแรม และ รีสอร์ตให้กับคณะที่เธอเรียน เธอจึงพบกับเขาเป็นครั้งแรกที่นั่น
วันนั้น... ด้วยความที่เธอไปมหาวิทยาลัยสาย จึงเดินอย่างรีบเร่ง เพราะอาจารย์ประจำวิชาได้ขู่เอาไว้ว่า ใครที่มาสายจะไม่สามารถเข้าไปนั่งในห้องบรรยายได้ เพราะห้องจะถูกล็อคเมื่อเริ่มมีการบรรยาย เมื่อนักศึกษาไม่สามารถเข้าห้องบรรยายได้ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมฟังและจดข้อมูลมาทำรายงานได้ หากไม่มีรายงานส่งจะโดนตัดคะแนนทันที
เธอจึงรีบในลักษณะกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ลัดเลาะไปตามตึกต่าง ๆ กระทั่งเข้าสู่ตัวอาคาร ขณะกำลังจะเลี้ยวมุมเพื่อขึ้นบันได พื้นที่เธอเหยียบลงนั้นลื่น ทำให้เธอเสียหลักจะหงายหลังล้ม พอดีกับวงแขนแข็งแรงของใครคนหนึ่ง ได้ตวัดรวบเอวบางของเธออย่างแรงได้ทัน เธอจึงไม่ต้องลื่นล้มให้ตัวกระแทกพื้น
หญิงสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ กับเหตุการณ์หวุดหวิดจะเจ็บตัว และยิ่งใจเต้นมากขึ้น ยามเห็นอกแกร่งของใครบางคนตรงหน้า กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่ลอยออกมาจากตัวเขา และกลิ่นบางที่เธอก็ไม่สามารถระบุได้...ไม่เหม็น แต่ก็ไม่หอม แต่สามารถทำให้เกิดความรัญจวนใจแปลก ๆ ตามมา
ตอนนั้น... แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็รู้สึกว่ายาวนานในชั่วโมงแห่งภวังค์ เธอไล่สายตาจากอกแกร่งลงมา เห็นหน้าอกตูมเต่งของตนภายในชุดนักศึกษาเข้ารูป กำลังเบียดแนบชิดกับอกแกร่งดั่งภูผา ในเวลาต่อมารู้สึกถึงความร้อนบางอย่างได้พุ่งทะยานไปทั่วร่าง เมื่อรับรู้ถึงบางสิ่งของเขากำลังแนบอยู่กับท้องน้อยของเธอป็นจุดกึ่งกลางแกร่งประจำตัวชายนั่นเอง!
พอรู้สึกตัวแล้วว่ามีสัมผัสบางอย่างระหว่างกันและกัน ก่อให้เกิดความวาบหวาม หญิงสาวจึงขืนตัวเองออกจากวงแขนเขาโดยพลัน ปรับความเขินอายตามประสาสาวที่เพิ่งถูกสัมผัสเช่นนี้เป็นครั้งแรก โดยการเสมือขยับแว่นตากรอบสีดำเล็กน้อยเพื่อแก้เขิน
"ขอบคุณค่ะ" เธอกล่าวขอบคุณแผ่วเบา โดยไม่กล้ามองหน้าเขา จึงทำให้ไม่เห็นว่าริมฝีปากบางเฉียบนั้น มีรอยยิ้มขันเล็กน้อย ประกายอะไรสักอย่างเต้นระยับอยู่ในดวงตาสีดำลึก แต่ก็เลือนมลายหายไปในพริบตา
"ไม่เป็นไร คราวหลังก็ระวังหน่อย แม่บ้านคงเพิ่งถูพื้นเสร็จ พื้นจึงยังไม่แห้ง" เสียงทุ้มตอบกลับเรียบ ๆ หญิงสาวจึงก้มหน้ามองไปโดยรอบ ก็พบว่าจริงดังที่เขาว่ามา
"ค่ะ" ตอบเสียงสั่น ใจเธอยังเต้นแรงอยู่ สับสนอยู่ว่าใจมันยังระทึกอยู่กับเหตุการณ์หวิดจะเจ็บตัว หรือเพราะเหตุวาบหวิวเมื่อครู่ เธอเหลือบตามองขึ้นข้างบนเล็กน้อย เห็นเขากำลังตวัดนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา พอเลื่อนสายตาขึ้นไปอีก จึงได้เห็นวงหน้าคมคร้ามได้รูปสมชายไทย จมูกโด่งเป็นสันสวยงาม คิ้วดกดำขมวดเข้าด้วยกันน้อย ๆ ดูเหมือนเขามีเรื่องให้ต้องคิดขึ้นมา
เขาก้มมองหน้าเธออีกที พูดอะไรออกมาเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้ยิน เพราะเธอยังตะลึงไม่คาดคิดว่าคนที่ช่วยเธอจะเป็น 'เขา'
จากนั้นเขาก็ผละจากไปทันที หญิงสาวได้แต่มองตามจนลับตา เมื่อปรับสติให้หายจากอาการตะลึงงันได้ ริมฝีปากคู่อิ่มจึงเผลอพึมพำชื่อเขาออกมาเบา ๆ "คุณจอมไตร"
นั่นเป็นความประทับใจปนวาบหวิวยามแรกพบ ที่ทำให้ใจเธอเต้นอย่างแรงขึ้นเสมอเวลาเห็นเขา แม้ตามสื่อโทรทัศน์ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ใกล้ที่พัก
กระทั่งวันหนึ่ง ดังโชคชะตาได้ลิขิตเอาไว้...
เธอที่ได้มาทำงานในบริษัทในเครือของตระกูลเทพคุณากร บริษัททีเคแอนด์ดับบิว อันเป็นบริษัทแม่ได้ส่งเรื่องคัดเลือกเลขานุการเฉพาะกิจ ให้ไปทำงานแทนเลขาฯ ของเขาที่ประสบอุบัติเหตุต้องพักรักษาตัวนาน รินรดาจึงยกมือขึ้นขอสมัครเองอย่างไม่ต้องคิด แม้จะมีคนสมัครอีกหลายคน แต่ก็ราวกับชะตาฟ้าได้ลิขิตเรื่องของเธอและเขาเอาไว้จริง ๆ เพราะ สุดท้ายเธอก็ได้รับเลือกให้ไปช่วยงานที่นั่นเป็นเวลาสามเดือน
รินรดาจดจำวันแรกที่ไปทำงานที่นั่นได้ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มั่นใจว่าเขาสามารถจดจำเธอได้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่รินรดามั่นเสมอใจคือ เขาอ่านสายตาที่เธอมองเขาอย่างชื่นชมชื่นชอบออก ทว่า...เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และเฉยเมยไปเสีย ตามประสาชายหนุ่มผู้มีบุคลิกเข้าถึงยาก ไว้ตัว เย่อหยิ่ง และเย็นชา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ทำให้เธอได้ใกล้ชิดเขามากกว่าทุกครั้ง ในครั้งนี้เอง เรื่องมันก็ดำเนินไปจนถึงสุดท้ายปลายทางแห่งความฝัน ฝันที่เธอไม่ได้คาดคิด ว่ามันจะเกิดขึ้น และเหนือกว่าฝันทุกครั้งที่เธอได้ฝันถึงเขา…
เพราะเธอได้ตกเป็นของเขาด้วยความรักและความเต็มใจ…นั่นเอง