“ข้าได้ยินว่าหากไม่เต็มใจก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันก็ได้นี่เจ้าคะ พี่ชายเวยยังไม่แก่เสียหน่อย รองานเลี้ยงเสี่ยงบุปผารอบหน้าเขาค่อยเข้าร่วมใหม่อีกครั้งก็ได้ ข้าเพิ่ง 19 ปี ท่านพ่อท่านแม่จะเร่งขับไล่ไสส่งข้าให้ออกเรือนด้วยเหตุใดกัน”
“19 ปีไม่น้อยแล้วนะเซียงเอ๋อร์ สตรีอายุ 14-15 ปีก็ออกเรือนกันได้แล้ว อีกอย่างได้ยินมาว่าฉินอ๋องใส่พระทัยกับหวังหย่งเป็นพิเศษ เมื่อครั้งที่พบหน้ากับท่านพ่อเจ้าในวังหลวงฉินอ๋องยังเร่งถามถึงวันแต่งงานของเจ้าสองคน กำหนดวันพิธีก็จัดการให้เสร็จสรรพ เจ้าวางใจเถิดหวังหย่งดูแลเจ้าได้อย่างแน่นอน” เหยี่ยนฟางซินดึงร่างบอบบางของบุตรสาวมากอดไว้แนบอกอย่างรักใคร่
หยูจินเซียงลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ นางยังเชื่อว่าบทบาทที่ตนกำลังแสดงอย่างสมจริงสมจังอยู่ในเวลานี้เป็นเพียงแค่เนื้อเรื่องในเกมเท่านั้น
แต่หน้าตา น้ำเสียงที่ดุดันน่าหวาดหวั่นของเวยหวังหย่งก็ยังทำให้นางตั้งสติยินยอมแต่โดยดีไม่ลง
ไหวอี้ตี่นั่นขี้อาย สุภาพ แต่กับบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้ หากนางกล่าวคำไม่เข้าหูหน่อยจะไม่ตัดหัวนางขาดจนหลุดออกจากเกมไปเลยหรือ เกมนี้สมจริงมากนัก เล่นจริงเจ็บจริงอยู่นะ
คำขอร้องวิงวอนจากหยูจินเซียงหรือจะทำให้หยูซุนผู้อยากให้บุตรีได้ออกเรือนเหมือนเช่นสตรีบ้านอื่นเขายอมอ่อนข้อให้ แต่ก่อนบุตรสาวยังมีอาการป่วยก็เกรงว่านางจะไม่ได้ออกเรือนอยู่แล้ว
สตรีที่อยู่ในวัยเหมาะสมแต่ไม่ได้แต่งงาน นับเป็นความอัปยศประการหนึ่ง เวลานี้หยูจินเซียงหายดีจนเกือบจะเป็นปกติทุกประการ มีเพียงแค่นางมักจะพูดภาษาแปลกๆ ที่ฟังไม่เข้าใจอยู่หลายครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ บุตรสาวพูดเป็น ดูแลตัวเองได้เช่นนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนมารังแก
ถึงกำหนดสิบวัน พิธีแต่งงานของสองสกุลก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติเพราะต่างฝ่ายต่างเป็นทายาทขุนนางชั้นสูง ฐานะทัดเทียมกัน
หยูจินเซียงนั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวประดับประดาด้วยผ้าแพรพรรณสีแดงสดพร้อมกับซินอี้และซินยี่เหมือนเดิมทุกประการ ผิดแปลกไปหน่อยก็เป็นที่เกี้ยวตัวนี้ใหญ่โตสวยงามกว่าของสกุลไหวไม่น้อย
“คุณหนู ท่านลองดูข้างนอกสิเจ้าคะ มีผู้คนมายืนรอชมขบวนเจ้าสาวไม่น้อยเลยทีเดียว น่าตื่นเต้นออก” ซินอี้ขยับผ้าม่านให้เปิดออกเล็กน้อยชี้ชวนให้หยูจินเซียงมองบรรยากาศภายนอก
สองมาตรฐานชัดๆ!! หญิงสาวกลอกตามองสาวใช้ส่วนตัวรอบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
ครั้งก่อนตอนที่นางแต่งกับไหวอี้ตี่ คิดอยากจะเลิกผ้าม่านแอบมองถนนหนทาง ซินอี้กลับให้นางรีบปิด พอครั้งนี้ก็อยากให้นางเปิดออกดูชาวบ้านชาวช่องเสียอย่างนั้น
หญิงสาวตระหนักรู้ในใจว่าเนื้อเรื่องในเกมน่าจะไม่เป็นไปในรูปแบบเดิมไปเสียทุกอย่าง สิ่งที่นางกังวลใจยังคงเป็นเรื่องของไหวอี้ตี่ นางเสียหัวใจไปอีกดวงเพื่อแลกกับการเข้าไปช่วยเขาเชียวนะ!
การแต่งงานกับเวยหวังหย่งก็น่าห่วงตัวเองไม่น้อย ครั้งนี้ไม่รู้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในห้องหออีกบ้าง จะมีฉากวาบหวามหรือไม่? พี่ชายท่านนี้ไม่อ่อนโยน นางจะยอมแต่โดยดีหรือจะหาทางหลบหลีกไม่เข้าหอ หญิงสาวได้แต่เฝ้ารอลุ้นระทึกอยู่ฝ่ายเดียวในใจ
..........
ห้องหอจวนแม่ทัพเวย
“คุณหนู ท่านกลับมานั่งให้เรียบร้อยเถิดเจ้าค่ะ หากผู้ใดมาเห็นเข้าจะไม่งามนะเจ้าคะ” ซินยี่ขอร้องนายหญิงของตนเป็นรอบที่หนึ่งร้อยแปด
ไม่รู้ว่าคุณหนูไปกินยาอะไรผิดมา ตั้งแต่ท่านเขยมาส่งนางไว้ในห้องหอ นางก็เอาแต่แนบหูไว้กับประตูคอยฟังเสียงพูดคุยด้านนอก บางครั้งก็สลับมาถอดสลักกลอนหน้าต่างออกจนหมด แง้มดูนอกหน้าต่างแล้วปิดกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนั้น
“พวกเจ้าได้ยินเสียงพลุ เสียงประทัดบ้างหรือไม่ หรือหูข้าเป็นอะไรไปแล้วเหตุใดข้างนอกจึงได้เงียบเชียบเหลือเกินเล่า มาช่วยกันตั้งใจฟังให้ดีๆ หน่อยสิ” หญิงสาวเข็ดขยาดกับพลุและประทัดจริงๆ แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับการเลือกคู่ครั้งที่สามของนาง แต่ความสมจริงของเกมมันทำให้นางกลัว
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ จวนแม่ทัพเวยผู้ใดจะกล้ามาเล่นอะไรแผลงๆ เช่นนั้นเล่าเจ้าค่ะ หากจะจุดก็จุดกันตั้งแต่หน้าประตูจวนไปแล้ว เวลานี้พวกเขาดื่มกินกันอย่างสงบเป็นระเบียบเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”
หยูจินเซียงสูดหายเจ้าเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมสติก่อนจะกลับมานั่งที่เตียงอย่างว่าง่าย
“พวกเจ้าห้ามออกไปไหนนะ ต่อให้เราสามคนหิวจนไส้ขาดตายในห้องนี้ก็ห้ามออกไปเด็ดขาด”
“คุณหนู!! ท่านอย่ากล่าวคำไม่เป็นมงคลสิเจ้าคะ” ซินอี้ร้องเตือนเสียงหลง
ฝ่ายหยูจินเซียงก็รีบตบปากตัวเองเบาๆ คิดจะถ่มน้ำลายถอนคำพูดก็คิดว่าน่าเกลียดเกินไป พื้นห้องภายในห้องหอแห่งนี้มีทั้งพรมทั้งดอกไม้โรยอยู่เต็มไปหมด
ผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ทุกวินาทีที่หายใจเข้าออกหญิงสาวก็วิตกกังวลจนแทบคลั่ง ไม่ว่าจะเรื่องเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเรื่องตัวของเจ้าบ่าวหน้าตึงของนาง
หยูจินเซียงกำผ้าปูเตียงสีแดงสดเอาไว้แน่น เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผากและใบหน้างามใต้ผ้าคลุมสีแดง เมื่อเสียงฝีเท้าของคนหลายคนดังใกล้เข้ามา
เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบเบาๆ ด้านนอกบ่งชี้ว่าคนที่กำลังมาถึงเป็นบุรุษและย่อมเป็นเวยหวังหย่ง คนที่เหลืออาจจะเป็นสหายหรือบ่าวรับใช้ของเขาที่เดินมาส่งเจ้าบ่าวก็เป็นได้
“เจ้าสองคนออกไปได้แล้ว” น้ำเสียงเข้มอย่างชายชาติทหารของเวยหวังหย่งดังขึ้นเมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้องหอได้สองก้าว
ซินอี้และซินยี่หันมามองนายหญิงของตนแวบหนึ่ง ก่อนจะค้อมตัวถอยหลังออกจากห้องพร้อมทั้งปิดประตูให้คู่บ่าวสาวได้อยู่กันตามลำพัง
“จินเซียงข้าขอโทษ ข้าต้องทำผิดต่อเจ้าแล้ว อภัยให้ข้าด้วย” เวยหวังหย่งก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวในระยะประชิด เอ่ยคำออกมาโดยที่ยังไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกเลยด้วยซ้ำ
“ท่าน!! ย..ย..อย่าบอกนะว่า!” หยูจินเซียงไม่กล้ากล่าวประโยคต่อไป หรือว่าเวยหวังหย่งคิดจะสังหารนางตั้งแต่วันแรกที่แต่งงานกัน!!
ใช่ว่านางจะดูไม่ออกว่าเจ้าบ่าวของนางไม่ได้เต็มใจเข้าพิธีแต่งงานกับตนเท่าใดนัก สาเหตุนั้นมาจากเรื่องใดนางไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เวลานี้นางรู้สึกได้ถึงรัศมีอันเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากร่างฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน
หญิงสาวลุกพรวดขึ้นจากเตียงก้าวถอยหลังไปยังมุมหนึ่งของห้องหอ พยายามหาที่กำบัง
“ใช่ ข้าต้องทำเช่นนั้นจริงๆ” ไม่พูดเปล่าเวยหวังหย่งก้าวตามหญิงสาวที่หวาดกลัวจนร่างสั่นพร้อมกับดึงมือนางหมายจะให้หยูจินเซียงกลับมานั่งพูดคุยกันดีๆ
“กรี๊ด!!” หยูจินเซียงแตกตื่นตกใจอย่างหนัก นางไขว่คว้าหาสิ่งของรอบกายไปทั่ว แต่ผ้าคลุมหน้าที่ตนสวมใส่อยู่เวลานี้เป็นผ้าคนละชนิดกับเมื่อครั้งที่เข้าพิธีกับไหวอี้ตี่ นางไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน มองเห็นเพียงปลายเท้าของอีกฝ่ายที่เข้ามาใกล้ตนยิ่งกว่าเดิม
“จินเซียง!! เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่อยู่ เยว่ฉีก็ยังอยู่ ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ดูแลเจ้าได้เช่นกัน” เวยหวังหย่งดึงร่างเล็กที่กำลังออกแรงดิ้นรนมากอดไว้แนบอกพยายามปลอบขวัญให้หญิงสาวคลายความวิตกกังวล
“ข้าจะไม่ตายหรือ?”
“ข้าไม่อยู่เพียงคนเดียว เจ้าจะตายได้อย่างไรกัน เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่าท่านพ่อท่านแม่ และเยว่ฉีก็จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ไม่ใช่หรือ”
เวยหวังหย่งไม่รู้ว่าเจ้าสาวของเขาคิดไกลไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เห็นหญิงสาวที่ตนมองว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งกำลังเสียขวัญเขาก็ได้แต่ปลอบประโลมนางให้ใจเย็นลง
ชายหนุ่มจับหัวไหล่สองข้างที่ไหวสั่นของหยูจินเซียงให้นั่งลงบนเตียงด้วยความรู้สึกปวดใจ
เขาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของสตรีร่างเล็กออกช้าๆ ดวงตาดุจผลเมล็ดซิ่งใสบริสุทธิ์ของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ขอบตาสองข้างแดงก่ำ จนชายหนุ่มอดใช้นิ้วมือหยาบกร้านของตนเช็ดน้ำตาบนใบหน้างามแผ่วเบาด้วยความระมัดระวังไม่ได้