“บ่าวคือแม่นมจาง สาวใช้ของท่านอีกสองคนนี้ก็คือ ซินอี้และซินยี่ บิดาท่านคือใต้เท้าหยูซุน เป็นราชมนตรีฝ่ายเชื้อพระวงศ์ในพระราชสำนัก มารดาท่านคือฮูหยินเหยี่ยนฟางซิน ท่านยังมีพี่ชายอีกสองคน และน้องสาวอีกสองคนด้วยเจ้าค่ะ จำได้หรือยังเจ้าคะ”
แม่นมจางไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการตั้งคำถามของหยูจินเซียง คุณหนูของนางเป็นสตรีที่ชื่นชอบดอกไม้และความสวยงามทุกอย่าง เมื่ออายุได้ 8 ปี คุณหนูพยายามปีนกำแพงขึ้นไปเด็ดดอกไม้จากกิ่งไม้สูงแล้วพลัดตกลงมาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
ตั้งแต่นั้นคุณหนูก็มักจะมีอาการหลงๆ ลืมๆ จำสิ่งใดไม่ได้เป็นครั้งคราว ผ่านมา 11 ปีจนคุณหนูอายุได้ 19 ปีแล้ว นางและบ่าวรับใช้ในจวนต้องตอบคำถามและเล่าเหตุการณ์ซ้ำซากเดิม ๆ เช่นนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“แล้วข้าเป็นบุตรสาวที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่รักหรืออย่างไร เหตุใดพวกเขาต้องให้ข้าดื่มยาและจับข้ามัดเอาไว้เช่นนี้ด้วย” หญิงสาวโอดครวญกับสภาพน่าสมเพชของตนเอง
“คุณหนูอย่ากล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ นายท่านและฮูหยินรักคุณหนูมากกว่าพี่น้องคนอื่นด้วยซ้ำ คุณหนูมักจะจำสิ่งใดไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง น้อยครั้งนักที่ท่านจะอาละวาดรุนแรงเช่นนี้ ที่พวกเราต้องมัดท่านเอาไว้ก็เพราะเกรงว่าท่านจะล้มได้รับบาดเจ็บเอาได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ปล่อยข้าได้แล้วใช่หรือไม่ ข้าจะไม่โวยวายอะไรอีกแล้ว ข้าต้องการเดินไปดูรอบๆ เรือนหลังนี้”
แม่นมจางกับสาวใช้สองคนมองหน้ากันไปมาครู่หนึ่งก็คลายผ้าที่มัดหยูจินเซียงออก พวกนางไม่ได้กังวลเรื่องที่คุณหนูอยากออกไปเดินเล่นรอบจวน แต่พวกนางแปลกใจที่คุณหนูใหญ่คล้ายว่าจะเข้าใจคำพูดและสามารถตอบโต้ได้เป็นประโยคยาวๆ ต่อเนื่องต่างหาก
หยูจินเซียงใช้เวลาเกือบเดือนในการปรับตัวและทำความเข้าใจกับเนื้อหาของตัวละครที่นางกำลังได้รับบทบาทอยู่ในเวลานี้อย่างสมจริงสมจังเป็นที่สุด
นางเป็นบุตรสาวลำดับที่สามของครอบครัว แต่เป็นบุตรสาวคนแรกที่เกิดจากภรรยาเอกจึงมีตำแหน่งเป็นคุณหนูใหญ่ประจำจวนราชมนตรีหยู
เซตติ้งแผ่นดินที่นางอาศัยอยู่ในเกมเวลานี้ คือแผ่นดินจีนที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก แคว้นโจว รัชสมัยของฮ่องเต้สือเซิ่นจิ้ง
งานเลี้ยงเสี่ยงบุปผาที่เกิดขึ้นในฉากก่อนหน้านี้ ถูกจัดขึ้นโดยฉินอ๋องผู้ซึ่งเป็นโอรส และครอบครองตำแหน่งมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปพร้อมกัน
เนื่องจากแคว้นโจวมีสงครามต่อเนื่องมายาวนาน แม้สงครามจะไม่ได้รุนแรงและส่งผลกระทบกับความมั่งคั่งของพสกนิกรในแคว้น แต่ท่านอ๋อง พระโอรส เชื้อพระวงศ์ชายตลอดจนบุตรชายขุนนางใหญ่น้อยทั่วทั้งแคว้นต่างก็มีหน้าที่สลับสับเปลี่ยนเพื่อเข้าร่วมกองทัพกันอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัว
การจัดงานแต่งงานระหว่างชายหญิงไม่ว่าจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เล็กหรือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสกุลหยุดชะงักด้วยเหตุผลสารพัดอย่าง เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
งานเลี้ยงต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มหญิงสาวได้พบกันไม่เคยถูกจัดขึ้นมายาวนานถึง 4 ปี เป็นเหตุให้จำนวนเด็กทารกแรกเกิดภายในแคว้นและคู่แต่งงานใหม่ลดจำนวนลงอย่างน่าตกใจ
ฮ่องเต้มอบปัญหาการขาดแคลนคู่รัก และขาดแคลนจำนวนประชากรแรกเกิดนี้ให้กับฉินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้ควบคุมกิจการภายในและภายนอกราชสำนัก ด้วยเหตุว่าฉินอ๋องก็ยังไม่มีชายา จึงคิดจะให้เขาจัดการเรื่องนี้และทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับคนอื่น ๆ ด้วยการรับชายาเข้าจวนมาสักคน
ฉินอ๋องไม่ใส่ใจเรื่องสตรีเพศ ยิ่งไม่คิดใส่ใจกับเรื่องไร้สาระเทือกนี้ เขาจึงแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการสุ่มจับคู่ ให้ฝ่ายบุรุษถือดอกไม้มาลงบันทึกกับขันทีว่าผู้ใดถือดอกไม้ชนิดใดสีใดมา แล้วก็นำไปวางใส่แจกัน ฝ่ายสตรีก็เข้ามาเลือกไปหนึ่งดอก ผู้ใดได้คู่กับผู้ใด ก็ให้จัดการแต่งงานเสียก็จบ
หญิงสาวผู้เข้ามาเริ่มเกม ก็เป็นจังหวะที่ต้องเดินไปเลือกดอกไม้มาหนึ่งดอก เดิมทีหลังจากการเลือกดอกไม้แล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นที่จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายชายและหญิงได้ทำความรู้จักกันในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ บ้าง แต่เพียงแค่เกิดพายุฝน ฉินอ๋องก็รีบไล่แขกจบงานเลี้ยงไปเสียเช่นนั้นอย่างรำคาญใจ
..........
“ท่านพี่บุตรชายของใต้เท้าไหวผู้นั้นน้องเองก็ว่าเหมาะสมไม่น้อย กิริยามารยาทสุภาพสง่างาม ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจจินเซียงของเราอีกด้วย” เหยี่ยนฟางซินชมไหวอี้ตี่ให้หยูซุนฟังไม่หยุด
“ไม่ใช่เพราะว่าจินเซียงของเราหายเป็นปกติแล้วหรอกหรือฮูหยิน เวลานี้สมควรให้นางตัดสินใจเองได้แล้ว ไหวปิงนั้นเป็นหัวหน้าพ่อครัวหลวง ยศตำแหน่งต่ำกว่าสกุลหยูของเรา จินเซียงเป็นบุตรีภรรยาเอกซ้ำยังไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายแล้ว นางสามารถเลือกคู่ครองที่เหมาะสมกว่านี้ก็ย่อมได้”
หยูซุนนั้นก็เห็นด้วยกับภรรยารักว่าไหวอี้ตี่นั้นดียิ่ง ก่อนหน้านี้หากแม้ว่าบุตรสาวจะยังคงมีสติไม่สมบูรณ์อีกฝ่ายก็ย่อมอยากยอมรับไว้เป็นภรรยาอยู่แล้ว การเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยู หากเป็นปกติสกุลไหวไม่กล้าอาจเอื้อมเป็นแน่ ยิ่งบุตรสาวหายป่วยเป็นปกติไหวอี้ตี่ยิ่งชมชอบนางมากขึ้นเป็นกำลัง
“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ แต่งเลย ยิ่งเร็วเท่าใดก็ยิ่งดีเจ้าค่ะ” หยูจินเซียงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด นางเล่นเกมจับคู่อยู่หากบรรลุเป้าหมายได้แต่งงานก็อาจเป็นหนทางให้นางออกจากเกมนี้ได้ ไม่สนใจเรื่องยศศักดิ์ความเหมาะสมใดๆ ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้การแต่งงานของไหวอี้ตี่กับหยูจินเซียงจึงถูกกำหนดขึ้นในอีก 15 วัน ท่ามกลางความกระตือรือร้นของหญิงสาวอย่างออกนอกหน้า
ไหวอี้ตี่มาพบนางในจวนสกุลหยูอยู่สองครั้ง ครั้งแรกเป็นการนำเอาดอกกุหลาบสีแดงอีกดอกหนึ่งมามอบให้หญิงสาวพร้อมกับแนะนำตัว ยามนั้นหยูจินเซียงก็รู้สึกว่าไหวอี้ตี่รูปงามตรงปกตามที่ตนเห็นบนหน้าต่างเกมทุกประการ
เขามีรูปร่างผอมสูง ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน มักจะคอยเดินตามนางและแอบมองเป็นระยะด้วยความสุภาพ ฝ่ายหญิงสาวก็ไม่ได้เก้อเขินหรือวางตัวว่าเหนือกว่าแต่อย่างใด ทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว
ครั้งที่สองเป็นการพบหน้ากันเพื่อแลกดวงชะตา ไหวอี้ตี่จ้องมองนางแทบไม่ละสายตาด้วยความปลาบปลื้มโดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเป็นส่วนตัว
ทุกวันนางก็เรียนรู้การใช้ชีวิตตามแบบฉบับของคุณหนูใหญ่ สำเริงสำราญกับอาหารและการปรนนิบัติจากบ่าวใช้จนกระทั่งถึงวันออกเรือน
..........
“คุณหนูปิดผ้าม่านเร็วเข้า ท่านจะเปิดเผยให้ผู้อื่นเห็นท่านไม่ได้นะเจ้าคะ” ซินอี้รีบเตือนคุณหนูของนาง
“ข้าแค่อยากเห็นฉากนอกจวนบ้างก็เท่านั้นน่ะซินอี้” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยินยอมลดผ้าม่านลงมาตามเดิม
เวลานี้หยูจินเซียงนั่งอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงสด โดยมีซินอี้และซินยี่ติดตามมาเป็นบ่าวรับใช้ออกเรือนไปพร้อมกับนาย
นางค่อนข้างจะมั่นใจว่าหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เกมก็จะจบและนางก็จะสามารถออกจากเกมได้ ชีวิตหนึ่งเดือนเศษที่อยู่ในจวนสกุลหยูนางรู้สึกว่ามันเหมือนจริงยิ่งกว่าจริง วันเวลาแต่วินาทีขับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าจนหญิงสาวแทบเสียสติ
ยิ่งคิดหญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นบรรยากาศภายนอกเกี้ยวเจ้าสาว ถนนหนทาง บ้านเรือนผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะร้านค้าข้างทาง ผู้คนหรือแม้แต่กลิ่นมูลสัตว์เวลาที่เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัวผ่าน ช่างสมจริงยิ่งนัก นางต้องการเก็บภาพเหล่านี้เอาไว้ในความทรงจำ
เสร็จสิ้นพิธีเคารพฟ้าดิน ไหวตี้อี่ก็จูงมือนางไปส่งที่ห้องหอ ระหว่างทางเดินนางยังลอบสำรวจจวนสกุลไหวผ่านผ้าคลุมโปร่งบางสีแดงสดอย่างเพลิดเพลิน
จวนสกุลไหวมีขนาดเล็กกว่าจวนสกุลหยูมากกว่าครึ่ง สวนดอกไม้หรือศาลารับลมแทบจะไม่มีให้เห็น ภายในเนื้อที่ขนาดเล็กพวกเขาสร้างอาคารชิดติดกัน มีทางเดินสั้น ๆ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเรือนแต่ละหลัง แม้จะดูอีดอัดอยู่บ้างแต่ก็สวยงามตระการตาไม่น้อย
“ฮูหยินเจ้าพักผ่อนให้ดีก่อน ข้าต้องออกไปต้อนรับแขก แล้วข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าให้เร็วที่สุด” เสียงแหบพร่าของไหวอี้ตี่ดังขึ้น หลังจากเขาพาหยูจินเซียงมานั่งพักผ่อนบนเก้าอี้ภายในห้องหอ