เด็กๆ
เด็กเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่าตนเองจะใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องทำงานช่วยพวกเขาบ้าง แต่ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งใดก็นำพาเรื่องยุ่งยากมาให้คนอื่นต้องแก้ไขเสมอ แต่นางก็ไม่ยอมแพ้แน่นอน คิดได้ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นเก็บที่นอนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ราวกับไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้มาก่อน เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงเดินออกมาที่ลานกว้าง
“พี่ไป๋เซ่อตื่นแล้วหรือ?”
เป็นเสียงของหงเซ่อทักขึ้นแล้วยกตะกร้าใส่เสื้อผ้าจะไปซักผ้าที่ลำธารไม่ไกลนัก
“มีสิ่งใดให้ข้าช่วยได้บ้างไหม” ไป๋เซ่อถามแล้วเดินเข้าไปช่วยยกตะกร้าใส่ผ้า
“พี่สาวยังบาดเจ็บอยู่ จะถูกน้ำเย็นไม่ได้” หงเซ่อพูดขึ้นแล้วพยักหน้าไปทางห้องครัว “พี่สาวไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถิดแล้วมากินข้าวเช้ากัน”
แม้หงเซ่อจะเป็นเพียงเด็กหญิงแต่การสั่งงานดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไป๋เซ่อพยักหน้ารับแล้วเดินหาไปทางบ่อน้ำด้านหลัง ใช้เวลาไม่นานนางก็รีบเดินเร็วๆ มาช่วยเด็กคนอื่นๆ ในครัว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่เกี่ยงงอน ไป๋เซ่อถูกจูงมือให้มานั่งรอที่เก้าอี้ เสียงหัวเราะครืนเครงแบบที่นางไม่คุ้นเคยแต่ให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาดนัก
“ตื่นเช้ากันจริงๆ” เสียงหมอมู่เอ่ยทักทาย ตนเองนั้นตื่นนานแล้วแต่ออกไปเก็บสมุนไพรเพิ่งกลับเข้ามา
“พ่อบุญธรรมอาหารเช้าพร้อมแล้วมากินกันเถิด” เด็กๆ ส่งเสียงเรียก
“พวกเจ้ากินกันไปก่อน” หมอมู่โบกมือไล่แล้วปรายตามองทางหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าตัวหลวม “รอลี่หยางเอาของป่าไปขายแล้วค่อยซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้า”
ทำไมทุกคนดูเหมือนจะมีปัญหากับเสื้อผ้าที่นางสวมอยู่กันนะ?
ไป๋เซ่อก้มมองตัวเองอย่างงุนงง เสื้อผ้าของนางก็ไม่ต่างจากเด็กๆ เหล่านี้ สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็ห่อหุ้มร่างกายมิดชิด หมอมู่พอจะเข้าใจสายตาของหญิงสาว นางดูไร้เดียงสาราวเด็กน้อยจนน่าเป็นห่วง ยังนับว่าโชคดีที่ลี่หยางเป็นคนพบนาง หากเป็นผู้อื่นก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะทำอย่างไรกับหญิงสาวที่ไร้ความทรงจำเช่นนี้
“กินข้าวๆ อย่าเอาแต่เล่น” หมอมู่แสร้งดุเด็กๆ แล้วเดินกลับไปที่ห้องยาของตน ในบางวันก็มีชาวบ้านเจ็บป่วยมาให้รักษา
เด็กๆ ต่างลอบมองหญิงสาวผู้มาใหม่ ริมฝีปากอิ่มสวยเหมือนยิ้มไม่เป็นอีกต่างหาก ช่างเดาความรู้สึกได้ยากเหลือเกิน แต่พวกเด็กผู้ชายก็ดูจะตื่นเต้นมาก อาหารเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เซ่อที่กินช้าได้แต่ทำตาปริบๆ แต่ไม่ได้ทักทวงพวกเขา เมื่ออาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงก็ช่วยยกถ้วยชามไปล้าง แต่เพราะนางยังมีแผลที่ข้อมือ เด็กคนอื่นจึงไม่ให้นางทำงาน
“เจ้าก็อย่าทำตัววุ่นวายนัก”
เป็นเสียงของมู่ลี่หยางดังจากด้านหลัง เขากลับมาพร้อมกวางป่าชะตาขาด เด็กๆดูตื่นเต้นกับเจ้ากวางตัวนี้นัก
“ข้าจัดการกวางตัวนี้แล้วจะไปในเมือง” เขาพูดแล้วเดินเลยไปด้านหลังสำหรับชำแหละสัตว์ป่าที่จับมาได้
ไป๋เซ่อคิดอยากช่วยจึงเดินตามเด็กๆ คนอื่นไป แต่พอเห็นว่าเขากำลัง ‘ชำแหละ’ สัตว์ตัวนั้น นางก็ตัวสั่นขึ้นมา มู่ลี่หยางเห็นใบหน้าสวยซีดเผือดไปก็รีบให้เด็กๆ ช่วยกันพาไป๋เซ่อกลับเข้าเรือนเพื่อพักผ่อน นางรับน้ำมาดื่มแล้วทิ้งตัวลงนอน นางไม่ได้กลัวเลือดแต่...รู้สึกคุ้นเคยจนน่าตื่นตระหนก
นางเป็นใครกันแน่ ...ก่อนหน้านี้ นางเป็นใครกัน
ชายหนุ่มจัดการกวางตัวนั้นเรียบร้อย ถลกหนังตากแดดไว้ขาย เขากวางสำหรับทำยา เนื้อกวางเก็บไว้ทำอาหาร เขาเกรงกลิ่นคาวจะทำให้หญิงสาวหวาดกลัวจึงอาบน้ำชำระล้างกายหมดจด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินมาดูคนไร้ความทรงจำที่ยามนี้ผล็อยหลับไปราวเด็กน้อย
“ข้าจะไปตลาดหาซื้อข้าวของและเสื้อผ้าให้เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่อย่าซุกซน” เขาเอ่ยพึมพำแต่หญิงสาวกลับรู้สึกตัวลืมตาขึ้น
“ใส่แบบนี้ก็ได้ไม่ต้องลำบากหรอก”
“ไม่ได้นี่มันเสื้อผ้าของข้า…แล้วเจ้าก็ใส่ของเด็กๆไม่ได้”
เขามองร่างบอบบางของหญิงสาว ประเมินรูปร่างทางสายตาเพื่อจดจำไปซื้อเสื้อผ้าให้นางสักสองสามชุด
“แต่พี่ลี่หยาง…ต้องพักผ่อน” ริมฝีปากอิ่มสวยขยับบอกเขาช้าๆ เหมือนเรียบเรียงคำพูด
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวกลับมานอนต่อก็ได้ ซักผ้าแล้วค่อยออกไป จริงซิ กินข้าวเช้าหรือยัง” เขาถามอย่างนึกได้ เด็กๆที่นี่กินเร็วราวพายุ แต่นางกินช้าเกรงว่าจะไม่อิ่มด้วยซ้ำ
“ข้ากินแล้ว” นางเอ่ยตอบแต่ไม่มีแรงจะขยับตัว “ขอบคุณ”
“หือ?”
“ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้” นางพูดพลางอ้าปากหาวแล้วผล็อยหลับไปอีกครั้ง
มู่ลี่หยางรู้ว่าคนป่วยมักจะนอนมากกว่าคนปกติ แต่ไม่คิดว่านางจะหลับง่ายดายถึงเพียงนี้ ช่างเถิด ให้นางได้พักผ่อนมากๆ อาจจะดีต่อการฟื้นความทรงจำของนางเอง ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกไปอย่างเงียบเฉียบ.
..
บุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งเส้นผมสีดำดุจย้อมหมึกรวบขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ปักด้วยปิ่นปะการังสีแดงเป็นประกายจนผู้คนต้องหันมองมอง เขาเดินไปจุดหมายของการมาเยือนดินแดนแห่งนี้
“ท่านหลิวชิง”
เสียงหนึ่งทักขึ้นอย่างนอบน้อมและก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า ซิงอีพยายามยิ้มให้เป็นที่ประทับแต่อีกฝ่ายกลับเพียงก้มศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ท่าทีนิ่งสงบจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มผู้สวมชุดสีเขียวใบไผ่ราวบัณฑิตผู้นี้คิดสิ่งใด
หลิวชิงเพียงกวาดตามอง แม้มุมปากจะยกยิ้มแต่แววตาเย็นเยือก
“ข้าน้อยซิงอี หัวหน้าสาขาเมืองเหมียนหยาง ขอต้อนรับท่านหลิวชิงขอรับ” ซิงอีแนะนำตัว “เชิญด้านในขอรับ”
ซิงอีผายมือเชิญให้เดินไปข้างหน้า เพียงคล้อยหลังได้ไม่กี่ก้าว ชายวัยสี่สิบคนนี้ก็เหยียดยิ้มออกมาอย่างไม่อาจซ่อนความริษยาในตัวชายหนุ่มผู้นี้ แต่กระนั้นก็ยังกระวีกระวาดดูแลชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าอย่างดียิ่ง อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ ‘แตะต้องไม่ได้’ เพราะชายผู้นี้เป็นมือขวาของท่านประมุขฟู่อวิ๋นเซิง