หลิวชิงเดินเข้ามานั่งด้านในของห้องรับรอง สาวใช้รินน้ำชาอย่างรู้หน้าที่ เขารับถ้วยชามาแล้วจิบเล็กน้อย ดวงตาคมวาวทำเอาสาวใช้ถึงกับมือไม้สั่น ซิงอีหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ซึมใบหน้าทันทีแล้วโบกมือไล่สาวใช้ออกไป
“ท่านหลิวชิงเดินทางมาใกล้ ข้าน้อยจะให้...”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค ชายหนุ่มก็ยกมือห้ามไว้ก่อน อาการนิ่งเงียบของเขาทำให้ผู้ดูแลสาขาพรรคกระเรียนดำไม่กล้าส่งเสียงออกมา
“มีข่าวความคืบหน้าบ้างไม่”
“ยัง...ยังไม่มีรายงานเข้ามาขอรับ” ซิงอีลอบเช็ดเหงื่อ “พวกเราออกตามหาอย่างเต็มความสามารถขอรับ”
“ดูเหมือนจะยังไม่มากพอ”
“ต้องขออภัยขอรับ”
“ถ้าไม่มีความคืบหน้าก็ไม่ต้องมาเสนอหน้า อย่ามายืนอยู่ให้หงุดหงิดดีกว่า”
ซิงอีเหงื่อแตกพลั่กๆ เพียงเสียงสูดลมหายใจลึกก็ทำเอาซิงอีเสียวสันหลัง แต่หลิวชิงกลับไม่พูดอะไรเพียงแค่โบกมือไล่ให้ออกไป ซิงอีก็ลอบถอนหายใจโล่งอกประสานมือคารวะก่อนเดินออกมาอย่างเงียบๆ
ผ่านมานานนับเดือนแล้วยังไม่มีข่าวคราวของคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ น้องสาวเพียงคนเดียวของประมุขพรรคกระเรียนดำ ตามกำหนดเดิมแล้วเขากับฟู่เหยียนอวี้จะเดินทางไปพบท่านประมุขที่หุบเขาอู่อี๋ แต่ด้วยความเอาแต่ใจ ฟู่เหยียนอวี้จึงเดินทางมาก่อนไม่ฟังคำคัดค้านจากใคร หญิงสาววัยสิบเจ็ดที่แสนเอาแต่ใจควบม้าพลัดหลงไปในคืนนี้ที่เขาล้มป่วย ทั้งที่เขาห้ามปรามนางแล้วแต่นางก็ดึงดันออกไป ผู้อารักขามีนับสิบแต่กลับตามฟู่เหยียนอวี้ไม่ทัน ทว่ากลับพบเพียงม้าที่คุณหนูขี่ไปแต่กลับไม่พบตัวคน ต่อให้เขาป่วยหนักแค่ไหนก็ต้องสั่งการให้คนออกตามหาฟู่เหยียนอวี้ แต่มาบัดนี้ก็ยังไร้ร่องรอยของนาง
บารมีของประมุขทำให้ใครต่อใครเกรงใจเขา ทั้งที่ความจริงเขาเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่มารดาของฟู่เหยียนอวี้รับอุปการะตั้งแต่อายุเพียงสิบขวบ และปีต่อมาฟู่เหยียนอวี้ก็ถือกำเนิด เขาถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยง ผู้อารักขา รวมทั้งคนรับใช้ของฟู่เหยียนอวี้ ทว่าฐานะของเขาก็ทำเหนือกว่าบ่าวรับใช้ทั่วไป จนกระทั่งฟู่อวิ๋นเซิงขึ้นรับตำแหน่งประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาจึงกลายเป็นมือขวาของฟู่อวิ๋นเซิง แต่หน้าที่ดูแลฟู่เหยียนอวี้ก็ยังเป็นของเขาเช่นที่ผ่านมา
เนื่องจากเขารับคำสั่งโดยตรงจากฟู่อวิ๋นเซิงเท่านั้น ผู้อื่นจึงยำเกรง แต่นั้นก็ทำให้เขาตระหนักถึงจุดยืนของตัวเองเสมอ แต่ที่สำคัญและเป็นความลับเขาต้องทิ้งทุกอย่างมาตามหาคนที่หายไป ไม่ใช่เพียงเพราะฟู่เหยียนอวี้เป็นน้องสาวของฟู่อวิ๋นเซิง แต่เพราะนางมีความพิเศษเหนือผู้อื่น กุมความลับไว้ในอุ้งมือเล็กๆ การมีชีวิตอยู่ของนางมีความหมายกับท่านประมุขอย่างยิ่ง
‘ข้าจะรีบไปหาพี่ใหญ่’
‘คุณหนูเดินทางคนเดียวไม่ได้’
‘ก็เจ้าเป็นไข้สูงขนาดนี้จะไปพร้อมข้าได้อย่างไร’ แม้จะเอาแต่ใจแต่ก็เป็นคนห่วงใยผู้อื่น ‘หากเจ้าเป็นอะไรไป ใครจะคอยช่วยเหลือพี่ใหญ่ของข้า และที่สำคัญพี่ใหญ่รอข้าอยู่ ข้าเถลไถลทำให้เดินทางล่าช้าเอง และยังทำให้เจ้าล้มป่วยอีก ข้าควรรับผิดชอบเรื่องนี้’
‘พักอีกสองวันข้าคงดีขึ้นเอง’
‘ข้ารู้’ นางส่งยิ้มให้ ‘หากไม่เพราะเจ้าเคยช่วยข้าจนโดนไอเย็นทำร้ายร่างกาย เจ้าคงไม่เจ็บป่วยบ่อยเช่นนี้’
‘เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว’
‘ก่อนท่านแม่สิ้นลม ยังบอกให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี ไม่ให้ข้ารังแกเจ้า’ นางเบ้ปากใส่
มารดาของฟู่เหยียนอวี้ร่างกายอ่อนแอ หลังคลอดบุตรสาวล้มป่วยมาตลอด จนฟู่เหยียนอวี้อายุสิบสองก็จากไปอย่างสงบ
‘ข้าจำได้ว่า ท่านแม่บอกว่าที่เมืองเหมียนหยางมีทิวทัศน์งดงามมาก เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าพักสักสองคืนแล้วค่อยตามไปพบข้าที่เหมียนหยาง ที่นั้นมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่ ข้าจะไปรอเจ้าที่นั้นก่อน’
‘คุณหนู’
‘ผู้ติดตามที่พี่ใหญ่ส่งมาล้วนเป็นยอดฝีมือ ข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน’
หลิวชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาพยายามรั้งนางไว้ แต่สุดท้ายนางก็ลอบหนีออกไปจนได้ และมาบัดนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวของนางเลย
“น้องอวี้...เจ้าอยู่ที่ไหนกัน”
หลิวชิงรำพันกับตัวเอง นางคือสิ่งเดียวทีมีค่าที่สำหรับเขา ในฐานะผู้ดูแล เขาจำเป็นต้องหาให้พบให้เร็วที่สุด แต่ในใจของเขานางเป็นเสมือนน้องสาวที่เขาต้องปกป้องด้วยชีวิต.
เสียงดนตรีดังมาจากหอสุราเจี่ยนตาน หญิงสาวสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบยืนมองอย่างหลงใหราวกับเท้าทั้งสองถูกตะปูตอกตรึงไว้ แม้ถูกเรียกชื่อหลายครั้งยังยืนนิ่งอยู่ ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินมาจูงมือหญิงสาวให้เดินตามไปด้านหลังของหอสุรา
“เจ้าชอบรึ” มู่ลี่หยางถามอย่างแปลกใจ หรือว่านางอาจจำอะไรขึ้นมาได้
หญิงสาวหันมาส่งยิ้มกระจ่างจนดวงตาหยีเล็กแล้วพยักหน้าหน้าหงึกหงัก
“ชอบ”
“เสียงเพลงไพเราะผู้ใดก็ย่อมชื่นชอบทั้งนั้น”
“แม่นางหวงหลัน” มู่ลี่หยางค้อมศีรษะให้เล็กน้อย
หญิงสาวในชุดแดงสดใสคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนหันไปกวาดตามองหญิงสาวที่นายพรานหนุ่มจับข้อมืออยู่ ปกติมู่ลี่หยางนำของป่ามาขาย หรือบางคราวนางก็เขียนรายการที่ต้องการให้เขาหามาให้ สินค้าที่ได้รับเป็นของดีมีคุณภาพ นางจึงให้เขานำของป่าที่หาได้มาขายที่นี่ก่อนไปที่อื่น
“แม่นางผู้นี่คือ...”
“ข้าเป็นน้องสาวของพี่ลี่หยาง” ไป๋เซ่อรีบพูดขึ้นตามที่ได้รับคำชี้แนะจากเด็กๆ ในบ้านหลังนั้น ทว่าอีกฝ่ายได้ยินกลับหัวเราะเบาๆ แล้วกวาดสายตามองนางอีกครั้ง
“นายพรานมู่ช่างมีพี่น้องเยอะเหลือเกิน”
ใครๆ ในเมืองก็ต่างรู้ว่าเขาอยู่กับท่านหมอมู่ที่เก็บเด็กกำพร้ามาเลี้ยง แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้ว่า คนในบ้านหลังนั้นนับเป็น ‘พี่น้อง’ กันทั้งหมด