อารามร้าง
ในคืนนั้นก่อนจูอี้เหลียนจะเดินทางเข้าเมือง เถ้าแก่เนี้ยจู ที่ยังสาวและสวยยังได้มอบเสื้อผ้าและน้ำดื่ม รวมถึงฝากของกินมาให้เด็กทั้งสองอีกเล็กน้อย ทั้งถามว่าอยากฝากจดหมายถึงใครในเมืองเจี้ยนหรือไม่ เหลียงเปียวพยายามไตร่ตรองอยู่นาน แม้เห็นว่าจูอี้เหลียนเป็นคนที่ไว้ใจได้ กระนั้น เขาก็ไม่ควรประมาท ทั้งที่เขาชอบจูอี้เหลียนมิน้อย หากสิ่งที่บิดาบอกอยู่เสมอคือ คนหน้าซื่อใจคด มักคิดร้ายต่อผู้อื่นอย่างแนบเนียน
“ข้อฝากความถึงท่านป้า บอกว่าหลานรัก รออยู่ที่เดิม”
เหลียงเปียวบอกชื่อแซ่ และที่อยู่เฮ่อคัง ผู้เป็นป้าแท้ๆ พร้อมข้อความสั้นๆ เพียงเท่านั้น
“พวกเจ้าช่างเป็นเด็กกล้าหาญ อย่างไรจงรักษาตัวให้ดี ยิ่งฟ้ามืดยิ่งน่ากลัว ไม่ใช่มีแต่พวกนายหน้าค้าทาส หากยังเป็นพรรคมาร ที่ต้องการจับเด็กๆ ไปฝึกเป็นกองกำลังลับ”
ได้ยินอย่างนั้น จวี้ชิงหรานพลันตัวแข็งทื่อ เรื่องนี้ชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ
“ข้าย่อมปกป้องน้องสาวได้”
จูอี้เหลียนยิ้มให้เหลียงเปียว
“เจ้าเป็นเด็กดี หากอยากทำงาน อย่าลืมไปหาข้าที่ร้าน รับรองว่า จ่ายค่าแรงอย่างไม่เอาเปรียบผู้ใด”
จากนั้นจูอี้เหลียนก็จากไปพร้อมคณะของนาง ฝ่ายจวี้ชิงหราน ยืนโบกไม้ โบกมือส่งอีกฝ่ายจนพ้นสายตา
ซึ่งเด็กทั้งสองไม่ได้นอนบริเวณหน้าประตูเมือง เพราะเมื่อฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศบริเวณดังกล่าว น่ากลัวจับใจ
“ไปที่อารามร้างดีกว่า อย่างน้อยคงมีห้องต่างๆ และที่ซ่อนตัวได้ ที่นี่โล่งเกินไป พี่กลัวคนร้าย กับพวกสัตว์ป่า” เหลียงเปียวเสนอ
“แล้วที่นั่น จะมีขอทาน หรือคนพเนจรน่ากลัวไหม” คำถามของจวี้ชิงหราน ทำให้เหลียงเปียวทำหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบเด็กหญิง
“พี่จะเข้าไปดูก่อน หากมีผู้อื่น เราก็ไปหาที่เงียบๆ พัก ไว้รุ่งสางค่อยมารอท่านป้าที่หน้าประตูเมืองเช่นเดิม”
“ดีๆ และป้ายที่เราเขียนชื่อทิ้งไว้ หน้าประตูเมือง ท่านป้าคงเห็น”
ด้วยความฉลาดของจวี้ชิงหราน นางขอกระดาษ หมึก แล้วก็พู่กันจากจูอี้เหลียน จากนั้นจึงเขียนชื่อตนและเหลียงเปียวไว้ แจ้งว่ารอพบญาติ พร้อมนัดเวลาเอาไว้ว่าเป็นช่วงเวลาใดบ้าง แล้วนำไปติดไว้ที่ป้ายหน้าประตูเมือง ทั้งยังฝากเจ้าหน้าที่ของทางการผู้หนึ่งไว้ด้วย หากมีคนถามหาเด็กน้อยสองคนให้บอกว่า พวกเขาจะมาตามเวลาที่แจ้งไว้ในกระดาษ
เจ้าหน้าที่เห็นเด็กเล็ก ก็กลัวจะไม่ปลอดภัย จึงอาสาหาที่พักใกล้ๆ ให้ ทว่าเป็นเหลียงเปียว ซึ่งไม่อยากไว้ใจผู้อื่นมากเกินไป เขาจึงขอฝากแค่ข้อความเอาไว้
“พี่เปียว หิวอีกหรือไม่ เรายังมีลูกอมเปรี้ยวหวานอีกหลายเม็ดเลย กินแล้วอร่อย และหลับปุ๋ยแน่นอน”
เสียงเล็กๆ ของจวี้ชิงหรานทำให้เหลียงเปียวไม่เหงา หรือกังวลใจถึงบิดาจนมากเกินไป และเขาดีใจอยู่สักหน่อย ที่จวี้ชิงหรานไม่ได้ถามถึงย่าของนางในตอนนี้ คงเป็นเพราะเขาย้ำเตือนหลายหนว่า อีกฝ่ายจะตามมาสมทบแน่นอน ทั้งที่ความจริงคือ ย่าของจวี้ชิงหรานได้จากโลกนี้ไปแล้ว และอนิจจา แม้แต่ศพก็ไม่ได้ฝัง
กระทั่งเหลียงเปียวเข้าไปสำรวจอารามเก่าแห่งนั้น เขาพบว่าส่วนที่อยู่ด้านปีกตะวันออก ไม่มีใครอาศัย ทั้งยังสงบเงียบ และมีที่ให้นอนอย่างปลอดภัย
“เราจะพักที่นี่กัน แต่ต้องไม่ทำเสียงดังรู้ไหม” เหลียงเปียวบอก
จวี้ชิงหรานตื่นเต้น และช่วยเหลียงเปียวก่อไฟ เพื่อช่วยไล่แมลง พร้อมให้ความอบอุ่น กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงปลายยามซวี (19.00-20.59น.) เรื่องที่ชวนให้เด็กหญิงต้องกลัวก็เกิดขึ้น
เหลียงเปียวตัวร้อนจี๋ และครางเสียงต่ำๆ อาการเขาไม่สู้ดี
“พี่เปียว กินยาอีกดีหรือไม่ ยาของเถาแก่เนี้ยจูไง”
เหลียงเปียวส่ายหน้า ดวงตาเขาหรี่ปรือ ก่อนบอกว่า
“ไม่มีสิ่งใด อย่าห่วงพี่ ก็แค่หนาว... นอนสักพักคงหาย ขะ ขอน้ำได้หรือไม่” เขาบอกและยามนั้น จวี้ชิงหรานสังเกตเห็นว่าดวงตาอีกฝ่ายแดงยิ่งกว่าเดิม ทั้งริมฝีปากซีดทั้งแห้งเป็นขุย ตามลำคอมีเม็ดตุมแดงๆ ผุดขึ้น
“พี่เปียว ได้รับพิษอันใดหรือไม่” เด็กหญิงสังหรณ์ใจในแง่ร้าย พร้อมคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้า เป็นตอนนั้นที่แม่นางน้อย ยกมือปิดปากตนเอง พอดึงสติของตนกลับคืนได้ก็เอ่ยว่า
“ทำไม ไม่บอกข้าว่าพี่ถูกหมาป่ากัด!”
เหลียงเปียวไม่ได้คิดปกปิดเด็กหญิง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงก่อนที่พวกสกุลอู๋จะโผล่มาช่วย และหมาป่าตัวหนึ่งกัดเข้าที่ขาด้านหลังเขา รอยเขี้ยวไม่ได้ฝังลึก และเขาคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดร้ายแรง จึงทำการล้างด้วยน้ำแล้วใส่ยาสมานแผลที่บิดาเคยให้ไว้ ทว่าเป็นยามนี้ที่จู่ๆ เขากลับจับไข้ หนาวสั่น ทั้งยังมีตุ่มขึ้น
“น้องต้องช่วยพี่เปียวให้ได้!”
“เด็กน้อย นอกจากเป็นนักแสดงปาหี่แล้ว เจ้ายังจะเป็นหมอตำแยอีกหรือ”
ในยามนั้น จวี้ชิงหรานนึกย้อนถึงบางสิ่ง ใช่... นับแต่นางได้มีโอกาสย้อนกลับมาในเส้นทางเดิมของตนอีกครั้ง โดยอยู่ในร่างเด็กหญิงวัย 6 ขวบ เป็นชีวิตที่สองที่ฟ้าประทานให้
และนางย่อมเป็นได้ทุกอย่าง และสิ่งที่อยากเป็นมากที่สุดคือ มารดาของเด็กน้อย ซึ่งนางจะมอบชีวิตให้เขาได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก มิใช่เหมือนในชาติก่อนที่นางเลือกให้ตนมีชีวิตรอด แล้วพรากลมหายใจของเขาไป หากสุดท้ายชีวิตที่เหลือ ต้องตกอยู่ในความโศกเศร้า ก่อนต้องสิ้นลมหายใจไป ด้วยความโง่เขลา และอ่อนแอ ซึ่งแม้แต่ป้ายวิญญาณในหอบรรพชนก็ไม่ได้สลักชื่อของจวี้ชิงหราน
ยามนี้ จวี้ชิงหรานอยู่ในร่างตนเอง ที่มี่ชื่อแซ่เดียวกันในช่วงอายุ 6 ขวบ อันเป็นอดีตชาติของเธอ หญิงสาวผู้มาจากโลกในปีค.ศ. 20xx มีเรื่องจำเป็นต้องแก้ไข โดยที่มันจะเกี่ยวพันไปถึงอนาคต!
ก่อนการย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ เธอกับสามีชาวไทย เดินทางไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะอยากได้ลูกไว้สืบเชื้อสาย เนื่องจากแต่งงานกันมาเกือบสิบปี พร้อมใช้วิธีทางการแพทย์เข้าช่วย หากวี่แววจะตั้งครรภ์ยังไม่มีให้เห็นสักที อีกทั้งเธอกับสามีต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ มากกว่าเพิ่งวิทยาศาสตร์ หรือให้ผู้อื่นอุ้มบุญให้ การมีลูกยากกลายเป็นปมเล็ก ๆ ในใจ กระทั่งได้เสี่ยงเซี่ยมซี่ทั้งของเธอกับสามี ซึ่งมีความหมายคล้ายกัน คือต้องแก้ที่ตัวของจวี้ชิงหราน เมื่อเดินออกมาด้านนอกศาลเจ้า เธอได้พบหมอดูตาบอด ฝ่ายนั้นร้องทักเรียกเธอ
“แม่หนู แก้ไขเรื่องในชาติภพสำเร็จเมื่อไหร่ ลูกชายจะมาเกิด เขารักหนูมาก รอมาหลายภพหลายชาติ เพียงแต่ยามนี้มีกรรมซึ่งยังไม่ได้รับการชำระ”
จวี้ชิงหรานประหลาดใจที่ถูกทักเช่นนั้น ทว่าพอจะถามหมอดูตาบอด ก็เป็นช่วงที่มือถือจากทางบ้าน โทร.เข้ามา เป็นเหตุใดต้องเดินทางกลับบ้านด่วน กระทั่งเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็เริ่มฝันแปลกประหลาดว่าตนอยู่ในวัยเด็กหญิง แทนที่จะเป็นในยุคปัจจุบัน หากกับเป็นจวี้ชิงหรานอีกคนซึ่งช่วงเวลาห่างกันนับพันปี
จากความฝันซ้ำๆ ในเรื่องเดิม กลับกลายเป็นว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้ไขเรื่องที่เคยทำผิดพลาด...
กลับคืนโลกคู่ขนาน
“พี่เปียว เชื่อน้องนะ ยังไงน้องต้อง รักษาพี่หายแน่นอน”
เหลียงเปียวไม่อยากขัดใจจวี้ชิงหราน อีกอย่างเขาเพลียเหลือเกิน เมื่อได้ดื่มน้ำแล้ว ก็อยากหลับตาพักสักหน่อย
“เสี่ยวหรานอย่าไปไหนนะ ข้างนอกมีอันตราย”
จวี้ชิงหรานแม้ยังเด็ก แต่จิตใจ ความคิดของนางนั้นเติบโตในวัยผู้ใหญ่ และอีกทั้งยังล่วงรู้ว่า ในภายภาคหน้าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง แต่เรื่องปลีกย่อยในอดีตชาติ คงต้องให้มันเรียงร้อยกันไปทีละนิด โดยที่นางจะไม่แตะต้อง มิเช่นนั้นสิ่งสำคัญที่นางต้องแก้ปมอันใหญ่ของชีวิต ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสย้อนเวลามาครั้งนี้คงไร้ประโยชน์
“วางใจได้ น้องไม่ไปไหน”
เด็กหญิงบอก จากนั้นก็ใช้กระบอกไม้ไผ่เพื่อต้มน้ำ แม่นางน้อยตั้งใจจะเตรียมไว้ป้อนเหลียงเปียวยามที่เขาขอดื่ม
ส่วนลูกอมที่ทำจากผลไม้ รวมถึงขนมข้าวเหนียวนึ่งที่จูอี้เหลียนมอบให้ แม่นางน้อยก็ค่อยๆ กินทีละคำ นอกจากนั้นจวี้ชิงหรานยังเด็ดดอกไม้สีเหลือง สีแดงมาตำๆ เพื่อเอาน้ำของมันด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ใช่การเล่นสนุก หากมันคือแผนการเล็กๆ ที่จะกระทำไว้เพื่อตบตาผู้อื่น
ดึกสงัดแล้ว จวี้ชิงหรานยังนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างเหลียงเปียว ในหัวคิดหลายสิ่งอย่าง และแม้ตอนนี้นางก็สลัดภาพท่านย่าออกจากหัวไม่ได้ แม้รู้ว่าอย่างไรเสียตนก็เป็นเพียงเด็กเล็ก จึงไร้เรี่ยวแรงหรือความสามารถรับมือทหารรับจ้างแคว้นเสอ อันที่จริงนางอยากร้องไห้ อยากแสดงความอ่อนแอ ทว่าด้วยมีดวงจิตเป็นของผู้ใหญ่ย่อมตระหนักได้ว่า หากทำตนเป็นภาระแก่เหลียงเปียวย่อมไม่เป็นการดี
“หลานอกตัญญูต่อท่านย่า... ศพก็ไม่ได้ฝังให้ แต่หลานสัญญาจะทำบุญให้ท่าน และทำป้ายวิญญาณของท่านย่าเก็บไว้กับตน”
แม่นางน้อยว่าแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากเหลียงเปียว และรับรู้ได้ว่าตัวเขาร้อน หากไร้เหงื่อ ไข้คงกำเริบ เขาจะมีอาการเช่นนี้อย่างน้อยสองถึงสามวัน จนกว่าจะมีเหงื่อและขับพิษไข้ออกมา
“พี่เปียว อดทนอีกสักหน่อย ขอให้ผ่านคืนนี้ไปได้ น้องเชื่อว่าเราจะต้องได้เข้าเมืองเจี้ยน”
เด็กหญิงบอกอีกฝ่าย ทั้งที่เหลียงเปียวนั้นอยู่ในอาการของคนกำลังเพ้อเพราะพิษไข้ ด้วยเขาร้องหามารดาที่จากไป รวมถึงบิดาที่ถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในกองทัพสกุลอู๋