เจินไป๋เจีย ไม่ได้สนใจว่าใครจะประมวลหรือคิดอะไร นางนั่งเปลขาพาดยกสูง ไร้มารยาทเฉกสตรีทั่วไป ในเมื่อไม่ให้หย่า แต่นางคงออกไปไหนมาไหนได้กระมัง
“แม่นมมู่ ข้าจะไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านโอสถ ท่านช่วยจัดการให้ด้วย”
ไทเฮาเป็นบุตรสาวจากตระกูลอัน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีผู้นำตระกูลเป็นถึงปรมาจารย์โอสถการที่เจินไป๋เจียอยากจะไปเป็นเด็กฝึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
“ฮูหยินท่าน…เอ่อ..เจ้าค่ะ”
เป็นเด็กฝึกก็ต้องคอยรับใช้และฟังคำสั่งผู้อื่น เจินไป๋เจียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม่นมมู่แค่คิดว่าองค์หญิงของนางต้องไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นก็ปวดใจทันที
“ชิงอี ชิงอิง เจ้า 2 คนต้องคอยดูแลไม่ให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาดรู้ไหม” แม่นมมู่สั่งกำชับองค์รักษ์ข้างกายของเจินไป๋เจียด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
“ชิงอี ชิงอิง เจ้าทั้งสองต่อไปเรียกข้าว่าคุณหนูเจียเจีย เข้าใจหรือไม่”
เมื่อจะเดินออกมาข้างนอกเจินไป๋เจียก็สั่งบ่าวให้เรียกนางใหม่
“เจ้าค่ะคุณหนูเจียเจีย”
สามสาวดุรณีแรกแย้มอายุเพียง 16-17 เท่านั้น เมื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าไร้เครื่องประดับหรูหรา
เจินไป๋เจียก็สดใสไร้เดียงสา งดงามสมวัย
“คุณหนูไม่ว่าจะแต่งกายเช่นไรก็งดงาม”
ในสายตาแม่นมมู่ เจินไป๋เจียย่อมดีที่สุด นางจึงไม่เชื่อคำอีกฝ่ายเท่าไรนัก รถม้าที่ได้รับการออกแบบจากช่างเหล็กระดับปรมาจารย์จากตระกูลกัวที่แลกกับโอสถต่ออายุขัย ขับเคลื่อนด้วยพลังหินอัคคีของตระกูลหวง กำลังจอดรอรับเจินไป๋เจีย
นางมองดูนวัตกรรมในดินแดนแห่งนี้ด้วยสายตาชื่นชม รถม้าคันนี้คงเทียบกับรถเฟอรารี่ราคาหลักร้อยล้านกระมัง
“เราเดินไปดีกว่า หากขึ้นรถคันนี้ไปย่อมไม่เกิดผลในสิ่งที่ต้องการ”
เอ่ยเสร็จไป๋เจียเจียก็เดินออกมาบรรยากาศข้างนอกล้วนทำให้นางสดชื่นขึ้น
ดินแดนเทพประกาย หรือแคว้นที่นางกำลังอยู่เต็มไปด้วยความหลากหลายที่แตกต่างจากโลกที่นางจากมา
เพราะเจินไป๋เจียเติบโตในวังหลวงชีวิตนอกวังนางล้วนไม่คุ้นเคย
ในเมื่อได้ออกมาแล้วก็ใช้ชีวิตเสพสุขเสียดีกว่า นางวิ่งไปดูสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาตื่นเต้น รอยยิ้มของนางงดงามดุจตะวันเจิดจ้า
ดึงดูดสายตาผู้คน ไม่นานหญิงสาวก็กลายเป็นจุดสนใจทันที
“คุณหนูพักก่อนดีไหมเจ้าคะ ข้างหน้าเป็นหอชิงหยวนมีอาหาร ขนมหลากหลาย”
“ดีจริง ไปกัน” เจินไป๋เจียช้อนดวงตาเป็นประกายสุกใสอย่างยินดี นางรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงหอชิงหยวน
ชิงอีอยากให้เจินไป๋เจียเข้าไปหลบหลบสายตาผู้คน เมื่อไปถึงก็แสดงป้ายประจำตัว
พวกนางจึงได้ห้องพิเศษทันที
“ท่านชาย นั่นคือ เจินไป๋เจียน้องสาวของท่านขอรับ”
องค์รักษ์กล่าวแนะนำตามหลัง ร่างของหญิงสาวทั้งสาม
“จำได้ว่าองค์หญิงได้รับสมรสพระราชทานแต่งให้กับหวงซีซวน ทำไมตอนนี้แต่งกายเป็นเด็กสาววัยปักปิ่นออกมาวิ่งเล่นได้”
น้ำเสียงแม้จะกล่าวอย่างเนิบ ๆ ทว่าก็ยังเปี่ยมด้วยอำนาจน่าเกรงขาม
“ได้ยินว่า อนุของหวงซีซวนมีมากมายยิ่งกว่าหญิงสาวในหอนางโลม และยังมีฮูหยินรองที่เพิ่งตบแต่งเข้าไป คาดว่าฐานะนางในจวนคงลำบากไม่น้อย”
องค์รักษ์พยายามอธิบายอย่างรวบรัด
“แม้ไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน ทว่าก็เป็นน้องสาวร่วมอุทร ส่งคนคอยประกบดูแลนางด้วย”
องค์รักษ์รับคำและถอยออกมาให้เจ้านายพักผ่อนเพียงลำพัง
กัวเลี่ยงโยวหรือว่าที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ ใบหน้าหล่อเหลาดั่งบุรุษชั้นสูง ลมปราณสายไฟระดับขั้นไม่มีใครทราบได้
ดวงตาสีดำเข้มราวหลุมลึกไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายวาววับ มีเปลวไฟอยู่สองดวงพร้อมมอดไหม้สรรพสิ่งตลอดเวลา
ในขณะเดียวกัน หวงซีซวนก็ได้รับรายงานเช่นกัน
“นางอยากทำก็ปล่อยนางทำไป ต่อไปไม่ต้องรายงาน”
เฮอะ!! ไปเป็นเด็กฝึกร้านโอสถ
เจินไป๋เจียก็ยังเป็นเจินไป๋เจีย ไร้สาระเช่นไรก็ยังเป็นเช่นนั้น
เขาต้องมานั่งฟังรายงานบ้า ๆ แบบนี้ไปทำไมกัน
ตกบ่าย เจินไป๋เจียก็มาถึงร้านโอสถ วันนี้มีคุณหนู คุณชายจากต่างเมืองเข้ามาสมัครเป็นเด็กฝึกงานเช่นกัน แม่นางน้อยวัยแรกแย้มคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเจินไป๋เจียอย่างยินดี ในขณะที่กำลังจะเข้าไปใกล้ชิงอิงก็ออกไปยืนขวางทาง
“ชิงอิง” เจินไป๋เจียเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เอ่อ … ข้าเองที่พรวดพราดเข้ามา..ข้าอี้หราน เจ้าล่ะ”
“ข้าไป๋เจียเจีย ยินดีที่รู้จักนะ”
พวกนางล้วนทักทายอย่างคนกันเอง
ในขณะนั้นก็หญิงสาวคนหนึ่งมองเหล่าคุณหนูด้วยสายตาหวาดระแวง
วันนี้มีคุณหนูมาสมัครมากมายขนาดนี้นางคงไม่ได้รับเลือก
เจินไป๋เจียมองดูใบหน้าที่ฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน หากวัดความสามารถกันเด็กที่มาจากครอบครัวธรรมดาย่อมไม่ได้รับคัดเลือกแน่นอน เพราะคุณหนูหรือคุณชายล้วนได้รับการอบรมและมีความพร้อมในการเตรียมตัวมากกว่า
เจินไป๋เจียสายศีรษะเบา ๆ
ไม่ว่าจะที่ใดความเลื่อมล้ำเช่นนี้ก็ย่อมมีให้เห็น
ทว่าการคัดเลือกที่ดีย่อมให้โอกาสทุกคน
ไม่นานผู้รับสมัครก็ออกมาประกาศกติกา
“ในกระดาษต่อไปนี้ จะเป็นชื่อสมุนไพรทั้งหมด 1000 ชนิด ข้าให้พวกเจ้าท่องจำ 1 ชั่วยามจากนั้นจะสอบเป็นรายบุคคล”
พวกเขาแจกแผ่นไม้ให้ทุกคน เจินไป๋เจียนำมาเปิดอ่านดู ไม่น่าเชื่อนางรู้จักสมุนไพรทุกตัวดีอยู่แล้ว
แบบนี้ถือว่านางโกงรึเปล่านะ
เมื่อถึงคิวของเจินไป๋เจีย นางถูกให้จัดให้ไปยืนอยู่หน้าแผ่นหินขาวขนาดใหญ่ และมีคนสอบสัมภาษณ์นางเพียง 1 คนเท่านั้น
ไม่นานหินขาวก็สว่างวาบขึ้น กลายเป็นภาพสมุนไพรชนิดต่าง ๆ แทน
“ตอบสิ” เสียงแม่นางน้อยที่กำลังจะจดคะแนนมองดูเจินไป๋เจีย ด้วยสายตาดูแคลนคงไม่เคยเจอจอหินกระมัง
ความจริงไม่เคยเจอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะจอนี้ ปรมาจารย์ได้มาเพราะแลกกับยาโอสถเพิ่มพลังลมปราณกับช่างเหล็กคนหนึ่ง
เมื่อได้สติ เจินไป๋เจียก็รีบตอบชื่อสมุนไพรทันที ภาพในจอหินขาวก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
“ดีมาก เจ้าคิดว่าจะทำงานที่นี่นานแค่ไหน” บุรุษที่ได้รับหน้าที่มาคัดเลือกเด็กฝึกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นเขาเบื่อพวกลูกหนูพวกนี้เต็มทน หากเป็นเหล่าคุณชายยังพอพูดคุยได้อยู่บ้าง
“ข้าตั้งใจจะพัฒนาตนเองจนเป็นเซียนโอสถเจ้าค่ะ”
พูดเสร็จก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขำของเด็กสาวคนนั้น ตลกจริง ๆ
“อย่างน้อยเจ้าก็เป็นเด็กกล้าคนหนึ่ง เอาเถอะพรุ่งนี้ก็มารายงานตัวตั้งแต่เช้า” บุรุษกล่าวแบบผ่าน ๆ
เจินไป๋เจียเดินยิ้มออกมาอย่างยินดี นางเดินออกไปเดินเล่นสักพักก่อนจะกลับเข้าไปพักที่หอชิงหยวน เมื่อมองเห็นเด็กสาวคนเดิมที่ไปสมัครเป็นเด็กฝึกด้วยกันเดินยิ้มด้วยสีหน้ายินดี คงสอบผ่านด้วยกระมังเจินไป๋เจียจึงเดินเข้าไปทักทาย
“ข้าไป๋เจียเจีย เจ้าจำข้าได้ไหมเราเคยเจอกันที่ร้านโอสถ”
“จำได้ เจ้างดงามข้าจำเจ้าได้” เด็กสาวหน้าตาหมดจด ทว่าก็ดูออกว่ามาจากครอบครัวธรรมดา นางจึงเอ่ยบอกชื่อตัวเองอย่างแผ่วเบาไม่ค่อยจะมั่นใจ
“ข้าหลิงอีอี”
“พรุ่งนี้เราเจอกันที่ร้านโอสถนะ”
เจินไป๋เจียเป็นคนชวนคุยไม่เก่ง หลังทักทายนางก็บอกลาทันที
หลิงอีอีมองดูตามหญิงสาวผู้งดงามสดใส นัยน์ตาที่ทอประกายวาววับราวกับไข่มุกที่จ้องมองมาทำให้นางรู้สึกพร่ามัวจนเกือบลืมหายใจ