ร่างชอกช้ำปวดร้าวไปทุกส่วนของร่างกายทำให้เซียนบุปผาน้อยที่สลบไสลฟื้นตื่นขึ้น นางเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อมองเห็นรอบกายเป็นตำหนักใหญ่โตโอฬาร บนเรือนร่างของนางสวมด้วยชุดสีแดงสดดูแปลกตา เซียนบุปผาอยากจะก้าวลงจากเตียง แต่ทว่าขานางกับไม่มีแรง มิหน้ำซ้ำยังเจ็บปวดบริเวณจุดที่ที่เขายัดแท่งปริศนาเข้ามาในกายของนางจนรู้สึกร่างแทบแตกสลาย ทั้งที่ความเจ็บปวดนี้น้อยกว่าตอนแรกที่นางถูกจอมมารจับกิน
แต่อย่างน้อย...อย่างน้อยนางก็ยังมีชีวิตอยู่ จอมมารไว้ชีวิตนาง นางยังไม่ได้ดวงจิตแตกสลายเหมือนคำกล่าวของอาจารย์ ดังนั้นนางก็ยังพอมีหวังที่จะกลับไปยังนครบุปผา...
เมื่อคิดได้ดังนั้นเซียนบุปผาจึงรีบลุกขึ้นมาจากเตียงแล้ววิ่งไปหน้าประตูทันที นางค่อยๆ เปิดประตูออก นางเห็นปีศาจเฒ่าตนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องของนาง แต่ทว่าเขานั้นหลับอยู่ นางจึงค่อยๆ ย่องออกไปอย่างเงียบที่สุด
ภายในตำหนักนี้กว้างใหญ่กว่าที่นางคิดมากนัก ยามนี้เซียนบุปผาไม่ทราบว่าตนเองกำลังอยู่ที่ใด นางเห็นปีศาจสองตนจึงรีบหลบไปเข้ายังห้องห้องหนึ่งทันที ปีศาจสองตนนั้นกำลังจะเดินผ่านประตูที่นางแอบอยู่ไป นางกลั้นหายใจพลางภาวนาไม่ให้พวกมันจับได้
“นี่เจ้าได้กลิ่นหอมของดอกไม้หรือไม่” ปีศาจตนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น พลางทำยื่นจมูกดมหาต้นตอของกลิ่น
แต่ทว่าปีศาจอีกตนหนึ่งที่วันนี้จมูกไม่ได้จึงไม่ได้กลิ่นอันใดตบศีรษะของผู้เอ่ยถามเสียเต็มแรง “เจ้าเพี้ยนหรือไร ที่นี่ดินแดนปีศาจ มิหน้ำซ้ำยังเป็นตำหนักของจอมมาร จะมีกลิ่นดอกไม้ได้อย่างไร ไป รีบไปกันได้แล้ว”
ปีศาจตัวที่โดนตบศีรษะลูบศีรษะตนเองอย่างงงๆ เขามองประตูบานหนึ่งที่รู้สึกเหมือนกลิ่นจะออกมาจากหลังประตูบานนั้น แต่ทว่าเมื่อเจอปีศาจอีกตนเร่งเขาจึงจำใจเดินจากไป พลันคิดว่าเขาอาจจะจมูกเพี้ยนไปจริงๆ ก็เป็นได้ เพราะอย่างจอมมาร หากมีกลิ่นแปลกปลอมอยู่ในตำหนัก เขาย่อมทราบอยู่แล้ว
เซียนบุปผาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสามารถลอดมาได้อย่างหวุดหวิด นางได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของปีศาจจากทางข้างหน้า จึงเปลี่ยนเส้นทางไปอีกทางหนึ่ง เนื้อกายของนางสั่นเทา นางกลัวว่าจะถูกจับได้ แต่ก็ไม่อยากจะกลับไปรอความตายอยู่ที่ห้อง เพราะนางไม่รู้ว่าจอมมารจะกลับมาเอาชีวิตนางหรือไม่นางจึงตัดสินใจที่จะเสี่ยงเช่นนี้
แต่ทว่าไม่ว่านางจะเดินไปไกลแค่ไหน นางก็รู้สึกว่าตนเองวนกลับมายังจุดเดิม...ร่างของบุปผาน้อยทรุดลงไปกับพื้นอย่างหมดแรง นางจำได้ว่าตรงนี้นางเคยผ่านมาแล้ว นางหลงทางอย่างงั้นหรือ? นางยันกำแพงลุกขึ้นแล้วลองเดินไปอีกทาง แต่ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ยังกลับมายังจุดเดิม...
ปัง! เสียงประตูที่เปิดด้วยตนเองทำให้เซียนบุปผาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้ง นางรับรู้ถึงไอสังหารอันน่ากลัวที่อยู่ข้างหลัง เมื่อนางหันกลับไปมอง นางก็เห็นจอมมารอยู่ในบ่อน้ำที่มีไอร้อนขึ้นมา พร้อมกับปีศาจสาวตนหนึ่งในชุดที่ดูวาบหวิวแนบเนื้อ
ปีศาจสาวซึ่งเป็นปีศาจงูนั้น แนบหน้าอกไปกับแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่า สองมือโอบกอดคอของเขา ลิ้นเรียวยาวแลบออกมาข้างใบหูจอมมาร ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “นางเป็นเซียนไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดเซียนที่พลังบำเพ็ญเพียรไม่กี่ร้อยปีถึงมาอยู่ในตำหนักของท่านได้เล่า”
จอมมารไม่ตอบ ดวงตาสีแดงก่ำยังคงจ้องไปที่เซียนบุปผาซึ่งทรุดเข่าลงอย่างหวาดกลัว นางรับรู้ถึงไอสังหารของจอมมารได้อย่างชัดเจน จนแม้แต่จะส่งเสียงร้องขอชีวิตก็ไม่กล้า น้ำตาของนางร่วงหล่นทันทีเมื่อคิดว่าคงไม่มีโอกาสกลับไปหาอาจารย์บนนครบุปผาได้อีกแล้ว
แม้นางจะยังความรู้น้อยนัก แต่ก็ทราบได้ว่าเหตุที่นางต้องเดินวนอยู่ในตำหนักแห่งนี้เป็นเพราะจอมมาร และแน่นอนว่าที่นางแทบจะไม่เจอปีศาจตนอื่นเลยก็คงเป็นเพราะเขาเช่นกัน เขารับรู้การกระทำของนางทั้งหมดแม้จะไม่ได้จับตามอง หากเป็นที่นางคิดจริงๆ นางคง
ไม่มีทางหนีไปจากตำหนักของจอมมารได้ทั้งที่มีชีวิตอยู่เป็นแน่
“บุปผาของข้า...เจ้ากำลังทำอันใดถึงได้เดินไปทั่วตำหนักของข้าเช่นนี้” น้ำเสียงของเขาเอ่ยถามออกมาอย่างเรียบ ๆ แต่ทว่าสำหรับเซียนบุปผานั้นกลับฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก น่ากลัวจนนางไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น
“ข้า...” เสียงของนางสั่นเทา น้ำตานางไหลนองใบหน้างามอย่างน่าสงสาร แต่ทว่าไม่ได้ทำให้จอมมารเกิดความรู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย
“ตอบ!” เขาตวาดเสียงดัง เรียกรอยยิ้มเย้ยของปีศาจงูขึ้นมา
“ข้าจะหนีกลับไปนครบุปผา...” นางตอบเสียงสั่น
คำตอบที่ใสซื่อตามตรงนี้ทำให้จอมมารส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ยากนักที่จะเดาได้ว่าเขาหัวเราะเพราะเรื่องอันใดกันแน่ แต่ทว่าปีศาจงูที่กำลังคลอเคลียอยู่ไม่ยอมออกห่างจากจอมมารกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจและดูแคลนเซียนบุปผาที่ดูใสซื่อผู้นี้ “ท่านดูสิ นางคิดจะหนีจากท่าน แถมยังมีหน้ามาบอกท่านตามตรงอีก พวกเซียนเนี่ยสมองน้อยกันหมดหรือไง” นางเอามือปิดปากหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมาจากหลังของจอมมารเลื้อยมายังตรงหน้าเซียนบุปผา
เซียนบุปผามองร่างของปีศาจงูอย่างหวาดกลัว นางรีบถอยหลังหนีไปจนสุดกำแพง เบื้องล่างของปีศาจงูตนนี้มีเกล็ดงูเงางาม ลำตัวของนางยาวเกือบสามจั้ง เพียงสัมผัสถึงพลังของปีศาจงูตนนี้เซียนบุปผาก็ทราบได้ว่านางไม่อาจจะเอาชนะได้ นางรีบลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งหนีออกไปทันที
แต่เพียงไม่กี่ก้าว นางก็ถูกปีศาจงูตนนี้ใช้ร่างกายบีบรัดนางจนนางแทบจะหายใจไม่ออก สายตาอ้อนวอนของนางมองไปที่จอมมารหวังให้เขาช่วยทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าเขาคงไม่ช่วยนาง ใช่ มีจอมมาร มารหรือปีศาจที่ไหนจะไว้ชีวิตเซียนเล่า เซียนกับปีศาจไม่ถูกกันมาเป็นหมื่นปี เขาไม่ฆ่านางตั้งแต่แรกเห็นก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
“หายใจไม่ออก...” นางเอ่ยออกมาอย่างลำบาก เท้าของนางลอยขึ้นเหนือพื้น โดยที่ปีศาจงูนั้นใช้เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด
“เจ้าคือเซียนบุปผาหรือ” นางถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ พร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา “เป็นบุปผาที่บอกบางเหลือเกิน” นางยิ้มเย้ย ก่อนจะหันมาทางจอมมารที่มองดูอยู่เงียบๆ “บุปผาดอกนี้ข้าขอได้หรือไม่เจ้าคะ อย่างไรเสียนางก็คิดจะหนีไปจากท่านอยู่แล้ว สู้ให้ข้าดูดพลังของนางมาเสริมความงามของข้าดีกว่า”
ลิ้นยาวเป็นแฉกแลบออกมาเลียริมฝีปากแดงของตนเอง ใบหน้าของปีศาจงูดูน่ากลัวยิ่งขึ้นเมื่อเกล็ดงูเริ่มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง
“ข้าไม่อนุญาต”