ท้ายพระนคร อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกซึ่งเป็นที่อยู่ของเชื้อสายวงศ์ตระกูลเก่าแก่ เจ้านายเก่าแก่ จนถึงขุนนางบางคนที่สืบเชื้อสายเจ้า สยามยังคงเป็นสยาม แม้จะปกครองโดยระบอบ ประชาธิปไตยแล้ว แต่ยังมีระบอบกษัตริย์ควบคู่กันไป ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้มีขุนนางเพิ่มเข้ามา
โดยขุนนางจะเป็นเหมือนผู้ตรวจสอบและเรียกร้องแทนกษัตริย์ ราชวงศ์ รวมถึงประชาชน ตามแต่เห็นสมควรหรือตามแต่ที่ประชุมขุนนางทั้งสิบกรมตกลงกัน โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นที่สูงสุด แล้วจึงเข้าที่ประชุมกับสส. สว. ในระบอบประชาธิปไตยอีกทีหนึ่งเพื่อยื่นของบประมาณ หรือเสนอแผนงานใดใดต่อไป
ถึงอย่างนั้นด้วยความที่คนสยามนับถือพระมหากษัตริย์มาก จึงยกระบอบกษัตริย์ไว้เหนือประชาธิปไตยเล็กน้อย คือระดับขั้นของขุนนางจะสูงกว่าระดับขั้นของเหล่านายก สส สว. ทั้งนี้เพราะขุนนางก็ล้วนมีแต่เชื้อสาย หรือผู้ที่กษัตริย์เลือกมาทั้งสิ้น
นี่คือสิ่งที่ฉวีได้รู้มาจากการอ่านหนังสือพิมพ์ฝรั่ง ที่วิเคราะห์เกี่ยวกับการเมืองของสยาม อย่าง เดลี่นิวส์ ไทม์ส และหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจก็ทำให้สวีเข้าใจความเป็นไปของยุคสมัยได้เป็นอย่างดี
ในโลกนี้มีหลายสิ่งพัฒนารวดเร็วกว่าในยุคเดิม ยกตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ และระบบอินเทอร์เน็ต แต่การเดินทาง ยังคงล่าช้าเนื่องจากโลกทั้งใบขยายใหญ่ขึ้นนับสิบเท่า การพัฒนาเครือข่ายคมนาคมจึงล่าช้าตามไปด้วย
เพียงแต่ว่าแอพพลิเคชั่นต่างๆยังไม่แพร่หลาย เนื่องจากคอมพิวเตอร์ก็เพิ่งจะได้รับการปรับปรุงไม่ถึงยี่สิบปีดีด้วยซ้ำ
สวีเห็นร้านคอมพิวเตอร์หลายร้าน ร้านเกม ร้านเน็ต แต่โปรแกรมที่มี เกมต่างๆ หรือเว็บไซส์ใดใดก็ยังไม่หลากหลายนัก
กลับกันผู้คนในยุคนี้กลับโหยหาความหรูหรา เครื่องประดับ ของโบราณ เป็นยุคสมัยที่เริ่มหันมานิยมชมชอบของโบราณ วินเทจ ในยุครัตนโกสินทร์ ยุคกรุงศรีอยุทธยา แล้วยังเป็นยุคนิยมจีนอีกด้วย
คำเรียกของคนไทยที่เรียกคนจีน คือเจ๊ก เหมือนจะบูลลี่แต่กลับนิยมของจีนมากๆ อาจเพราะการเดินทางยากลำบาก ของจากจีนจึงเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับคนไทย เพราะเข้าใจว่าขนออกมาได้ยากเนื่องจากระบบสังคมของจีน
แล้วด้วยเหตุผลทางการเมืองของจีน พวกเจ้านายในประเทศไทยจึงมีความต้องการเครื่องประดับของเจ้านายจีนมาก เนื่องจากมีความเข้าใจว่าหาได้ยาก
"สวัสดีค่ะ ฉันมาขอพบคุณเจ้าหญิง ฉันมีของจากจีนมาเสนอ" ขณะที่ยืนมองอยู่บริเวณประตูวัง ว่าควรจะเรียกอย่างไรดี ชายคนหนึ่งก็เดินมาเปิดประตูข้างเพื่อเข้าไป สวีจึงเดินเข้าไปเอ่ยทักทายเขา
"สวัสดีครับ คุณเป็นคนไทยงั้นหรือ" ชายหนุ่มมองหญิงสาวในชุดกี่เพ้าตรงหน้า เธอดูสวยมากๆ มีผิวขาวน้ำนม ใบหน้ารูปไข่ปลายคางแหลมเล็กน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย ดูแล้วไม่เหมือนคนไทยเลย แต่ที่แปลกใจคือเธอพูดไทยชัดเหลือเกิน
"ไม่ใช่ค่ะ ฉันมาจากจีน แต่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ไทย" ต้องบอกว่าหลายๆประเทศต้องการประชากรเพิ่มขึ้น อย่างประเทศไทยก็เช่นกัน ดังนั้นเลยเปิดกว้างรับผู้อพยพจากหลายสัญชาติ
"เพราะอย่างนั้นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอทรายได้มัย้ครับว่าเป็นของอะไรที่มาจากเมืองจีน หากเป็นเด็กๆ ผู้หญิง ผู้ชาย คุณหญิงเธอไม่รับนะครับ"
"ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ขายชีวิต แต่มีสิ่งที่ไม่มีชีวิตมาขอแลกเปลี่ยน"
"คำว่าแลกเปลีย่นของคุณ ดูท่าแล้วคงไม่ใช่แลกเปลี่ยนเป็นเงินตราใช่มั้ย?"
สวีมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างแปลกใจ สายตาพลันเลื่อนไปเห็นแหวนพระที่เขาสวมไว้ที่นิ้วโป้ง เธอเลยนึกขึ้นได้และหยิบแหวนพระที่ได้มาจากวัดแห่งความรัก ก่อนจะยื่นให้เขา
"นี่เป็นของขวัญพบหน้าเล็กน้อย ที่ทำให้คุณเสียเวลานำทางไปพบคุณเจ้าหญิง"
"เครื่องประดับนี่เอง เชิญเข้ามาครับคุณเจ้าหญิงเธอกำลังตามหาเครื่องประดับจากจีนอยู่พอดี ว่าแต่ผมจะต้องจ่ายค่าแหวนนี้ด้วยอะไร"ชายหนุ่มประตูเดินนำเข้าไปในบ้าน ก่อนจะหันกลับมาถามด้วยความสงสัย เขายังไม่ได้สวมแหวนแต่ถือไว้ในมือแล้วใช้นิ้วถูเล่นไปมาราวกับของเล่นสนุกมือ
"เอาเป็นว่า คุณติดฉันสักหนึ่งคำขอก็พอค่ะ แน่นอนว่าคำขอของฉันนั้นธรรมดามาก"
"คำถามของคุณคืออะไร" ว่าแล้วชายหนุ่มก็เหลือบมองแม่หยงที่เดินตามเจ้านายอย่างเป็นระเบียบ ท่าทางเหมือนคนที่รับใช้เจ้านายระดับสูงมา เขาก็คาดเดาว่าหญิงสาวตรงหน้าคงมียศศักดิ์ไม่น้อยในประเทศจีน แต่อย่างไรบรรดาศักดิ์ก็ต้องจบสิ้นลงตามยุคสมัย
"ฉันแค่อยากทราบความชอบเล็กน้อยของคุณเจ้าหญิง เพื่อจะได้รู้ว่าควรเสนอสิ่งไหนให้ท่านก่อนดี"
"ท่านชอบกำไล แต่ไม่ชอบหยกจีน จะชอบหยกพม่ามากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ชอบหยกพม่าที่มาจากจีน เพราะช่างในจีนนั้นชำนาญการแกะสลักหยกมากกว่าในพม่าที่ไม่มีเทคโนโลยีเหล่านั้น"
"ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ"
"แค่นี้หรือที่คุณต้องการ ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้หรือ แหวนนี้ถ้านำไปขายอย่างน้อยๆก็ได้เป็นหมื่น แค่นั้นก็ซื้อที่นาระแวกเมืองได้เป็นไร่แล้ว"
"แหวนนั้นเป็นแหวนพระ ฉันเห็นคุณสวมแหวนพระ แต่ไม่สวยแหวนแต่งานจึคาดเดาว่าคุณยังโสด แหวนพระนั้นพิเศษตรงที่ได้มาจากวัดจีนที่โด่งดังเรื่องความรัก หากคุณสวมแหวนวงนั้นจะได้พบกับความรักดีดีแน่นอน"
"ขอให้เป็นเช่นนั้นครับ ขอบคุณสำหรับแหวนดีดีและพรดีดี ถ้าอย่างนั้นถือว่าผมติดค้างคุณอีกเรื่องหนึ่งแล้วกัน เชิญครับคุณหญิงเธอรออยู่ด้านในแล้ว"
เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายผู้นี้เรียกคนรับใช้หญิงที่เดินผ่านให้ไปแจ้งคุณหญิงเธอก่อนแล้ว ทำให้ไม่ต้องรอนานมาก พอเดินเข้ามาถึงด้านในซึ่งเป็นศาลารับแขก ก็สามารถเห็นคุณเจ้าหญิงเธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว
ชายคนนั้นทำความเคารพคุณเจ้าหญิงก่อนจะเดินไปยืนอยู่ด้านหลังห่างออกไปเงียบๆ ขณะที่คุณเจ้าหญิงเธอวางแก้วชาลงแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน
"มีอะไรจะเสนอฉันหรือ เธอพูดไทยได้ถนัดหรือเปล่า"
"สวัสดีค่ะคุณเจ้าหญิง ฉันพูดไทยได้ค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลงก่อน ไหนล่ะของที่อยากให้ฉันดู"
"ดิฉันเพิ่งมาถึงสยามไม่นาน จึงอยากพึ่งพาใบบุญของคุณหญิง ดิฉันมีบุตรสาวที่กำลังจะคลอดบุตรในอีกไม่นาน และข้ารับใช้อีกสิบคน เดินทางมาพร้อมปศุสัตว์และพันธุ์พืช กำไลนี้ 'สวี' มอบให้คุณเจ้าหญิงเพื่อขอพึ่งพาบารมีของท่าน"
คุณเจ้าหญิงประภา พยักหน้าน้อยๆอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นท่าทางนอบน้อมให้เกียรติกันแต่ก็ไม่ต่ำต้อยด้อยค่าตนเองของหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้า คิดแล้วก็มองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
"คุณเจ้าหญิง ชื่นชอบกำไลนี้มาก" ชายหนุ่มพูดขึ้นมาเมื่อถูกมอง คุณเจ้าหญิงจึงยิ้มแล้วหันกลับมามองสวีที่ยื่นชุดเครื่องประดับหยกออกมาหนึ่งชุด
"ฉันชื่นชอบเครื่องประดับเหล่านี้มาก กำไลนี้ฉันขอรับเอาไว้ ส่วนชุดเครื่องประดับนี้อย่างไรฉันก็ต้องแลกเปลี่ยน เธอต้องการเท่าไหร่"
"คุณเจ้าหญิง ความจริงสิ่งที่สวีต้องการคือแลกเปลี่ยนเครื่องประดับหยกพม่าชุดนี้ กับที่ดินสี่สิบไร่ เป็นที่นายี่สิบไร่ ที่สวนยี่สิบไร่" สวีพูดอย่างตรงประเด็น
"ความจริงฉันไม่ชอบหยกชุดนี้สักเท่าไหร่ แต่ฉันชอบกำไลมาก ยังไงฉันจะรับไว้แค่กำไล แต่..." สวีกลั้นใจฟังสิ่งที่คุณเจ้าหญิงท่านกำลังจะพูดต่อ เห็นท่านมีแววตาขบขันเธอก็รู้ว่าตัวเองหลุดบุคลิคไปแล้ว สวีจึงรีบกลับมาสงบทันทีแล้วยิ้มน้อยๆให้ท่าน
"แต่เพื่อตอบแทนเครื่องประดับที่แสนจริงใจนี้ ฉันจะแลกเปลี่ยนเป็นที่ดิน หกสิบไร่ ที่นา20ไร่ ที่สวนยี่สิบไร่ และที่ภูเขายี่สิบไร่ ซึ่งที่ภูเขานี้เธอสามารถนำเครื่องประดับชุดนั้นไปแลกเพิ่มอีกสองร้อยยี่สิบไร่ ที่คุณหญิงสะเดาได้"
"แต่มีข้อแม้" ชายหนุ่มด้านหลังพูดแทรกขึ้นมา สวีเดาว่าเขาอาจจะเป็นพ่อบ้าน ผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาด้านกฎหมายและทรัพย์สินของคุณเจ้าหญิง โชคดีจริงๆที่เธอเจอเขา นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดจากเซ้นต์อีกครั้งก็เป็นได้
"แต่มีข้อแม้" คุณเจ้าหญิงพูดซ้ำ "คือเธอต้องขายเครื่องประดับจากจีนชุดที่ไม่ได้มีมูลค่ามากนัก แลกกับที่นามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จำทำได้ อ้อ ใช้ฉันเป็นข้ออ้างก็ได้ บอกว่าฉันให้เธอมากกว่าที่คุณหญิงสะเดาเสนอ แล้วฉันจะแบ่งที่นาที่เธอได้รับมาให้เพิ่มอีก1ส่วน แบบนี้ดีมั้ย?"
"ที่ป่า 280ไร่นั้น อยู่ที่ไหนคะ" สวีไม่ได้ตกลงทันที แต่สอบถามเสียก่อน นี่ทำให้คุณเจ้าหญิงประภาเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว แต่ที่แปลกคือเธอไม่สวมแหวน ไม่แน่...
"ที่นา ที่สวน รวมสี่สิบไร่ อยู่ติดกับที่ป่ายี่สิบไร่ อีกสองร้อยแปดสิบไร่นั้น อยู่ติดกับที่ป่ายี่สิบไร่ ส่วนที่นาที่เธอจะได้มา ฉันจะให้คนติดตามไปเจรจาเอาในสวนที่ใกล้กับที่นาเดิมของเธอแล้วกัน"
"ขอบคุณค่ะคุณหญิง"
"ไม่เป็นไร ตาหยก เตรียมสัญญามาให้คุณเขาเซ้นส์ แล้วเอาเข้าไปให้ฉันที่ด้านในนะ" ว่าแล้วคุณหญิงเธอก็ขอตัวจากไปก่อน
สวีจึงต้องอยู่เพียงลำพังบนศาลา เพราะชายหนุ่มที่ชื่อคุณหยก ก็ต้องไปเตรียมเอกสารเช่นกัน เธอเดาว่าเขาน่าจะเป็นผู้ช่วยของคุณหญิงเธอจริงๆ รอเพียงครึ่งชั่วโมง คุณหยกก็กลับมาพร้อมกับเอกสาร
"อ่านรายละเอียดก่อนเซ็นต์นะครับ คุณอ่านภาษาไทยได้มั้ย"
"ได้ค่ะ" เมื่อสวีตอบอย่างนั้น แม่หยงก็แปลกใจไม่น้อยเพราะคุณหนูของเธอค่อนข้างเมาเรือจึงหัดพูดมากกว่าอ่านเขียน แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรด้วยคิดว่าคุณหนูฉลาดมาตั้งแต่เด็ก
สวีเป็นคนไทยทำไมจะอ่านภาษาไทยไม่ออกล่ะ เธอไม่ลืมว่าตัวเองเป็นคนแก่ในชาติก่อน ดังนั้นจึงอ่านสัญญาแล้วยื่นให้แม่หยงอ่านต่อ เมื่อแน่ใจจึงเซ็นต์ชื่อ คุณหยกนำเอกสารมอบให้คนรับใช้ ก่อนจะรับเอกสารที่ดินมามอบให้หญิงสาว และมันกลายเป็นชื่อของเธอเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายเขาก็เดินออกมาส่ง ก่อนจะอธิบายว่าทำไมเขาจึงติดตามมา
"ผมจะนำทางคุณไปยังพื้นที่ และเป็นคนพาคุณไปพบคุณหญิงสะเดาด้วย เชิญครับ"